ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 152 บาดเจ็บ
บ่าวใช้สองสามคนถูกถีบจนกระเด็นออกไป
พระชายาฉีกัดฟันพยายามลุกขึ้นยืน แต่ความเจ็บปวดจากหัวเข่าที่คุกจนเป็นแผลแล่นแปลบ เลือดไหลซิบๆ นางพยายามลุกหลายหน แต่ก็ลุกไม่ได้
อ๋องฉีปวดใจก้มตัวลงประคองนางอย่างระมัดระวัง เมื่อนางลุกยืนได้แล้ว อ๋องฉีหันหน้าไปพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง พระชายาของข้าทำผิดอะไร เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้”
เมื่อครั้งเกิดกบฏในวัง ตอนนั้นเฮ่อกุ้ยเฟยเข้าวังแล้ว นางได้เห็นอ๋องฉีเลือดอาบตัวบุกเข้ามาในวังกับตาตนเอง เพื่อช่วยฮ่องเต้และไทเฮาไว้ จนบัดนี้เฮ่อกุ้ยเฟยยังคงจดจำภาพความกระหายเลือดในครานั้นได้อย่างดี
เฮ่อกุ้ยเฟยสัมผัสถึงความเดือดดาลของเขา ถอยหลังไปหนึ่งก้าว กัดฟันสู้พูดอย่างไม่กลัวตายว่า “นางเจอข้าแล้วไม่คารวะ ข้าก็แค่ให้ข้าราชบริพารสั่งสอนเล็กน้อย”
อ๋องฉีไม่เชื่อสิ่งที่กุ้ยเฟยพูด “พระชายาของข้าไม่เคยทำผิดกฎอะไร ข้ออ้างที่เฮ่อกุ้ยเฟยกล่าวมาช่างน่าขัน”
เฮ่อกุ้ยเฟยกระพริบตาด้วยความรู้สึกละอายใจ ไม่ได้พูดอะไร
เสียงเคร่งขรึมของอ๋องฉีดังขึ้นอีกครั้ง “ร่างกายพระชายาข้านั้นอ่อนแอ แม้แต่เสด็จแม่ยังถนอมรักใคร่ แต่วันนี้เจ้ากลับลงโทษนางเช่นนี้ เจ้าก็แค่จงใจหาเสี้ยนเพื่อแก้แค้นแทนเหลียนอีแต่เจ้าลืมไปเสียแล้ว พระชายาข้าไม่ใช่คนที่คนอย่างเจ้าจะมารังแกได้”
เมื่อกล่าวถึงน้องสาวตัวเอง เฮ่อกุ้ยเฟยก็ลืมความกลัว พูดอย่างเย้ยหยันว่า “ท่านอ๋องยังมีหน้าพูดถึงน้องข้าอีกงั้นหรือ นางมีใจแก่ท่านคนเดียวมาตลอดหลายปี คอยดูแลทำทุกอย่างเพื่อท่าน ท่านปฏิบัติต่อนางอย่างไร จนทำให้นางประสบจุดจบที่น่าสังเวชเช่นนี้”
“เรื่องของข้ากับเหลียนอีไม่เกี่ยวกับคนนอกอย่างท่าน เหลียนอีเข้ามาอาศัยในบ้านของข้า ก็คือคนของข้า ข้าจะปฏิบัติต่อนางอย่างไร มันก็เรื่องของข้า แม้ท่านจะเป็นกุ้ยเฟยก็มิอาจมายุ่งได้” อ๋องฉีกล่าวอย่างเคร่งขรึม
เสียงของเฮ่อกุ้ยเฟยแหลมดังขึ้น “ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เหลียนอีเป็นน้องสาวข้า เรื่องของนางเหตุใดข้าจึงยุ่งไม่ได้”
“ได้” อ๋องฉีตอบอย่างไม่ใยดี น้ำเสียงเดือดพล่าน “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงอยากยุ่งอย่างไร อยากไปอยู่เป็นเพื่อนนางหรือ”
พระชายาฉีอยู่ใกล้ท่านจนสัมผัสได้ถึงความอาฆาต จึงรีบห้ามปรามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านอ๋อง ท่านอย่าโมโหไปเลย เราอยู่ในวัง เสด็จแม่จะเป็นผู้ตัดสินทุกเรื่องเองนะเพคะ”
อ๋องฉียังคงโกรธไม่หาย จ้องเฮ่อกุ้ยเฟยด้วยความโมโห ราวกับว่าถ้านางกล้าดีพูดอีกคำหนึ่ง เขาจะฉีกกุ้ยเฟยเป็นชิ้นๆ เสียให้ได้ เฮ่อกุ้ยเฟยเกิดรู้สึกกลัว ถอยหลังไปสองสามก้าว
กูกูผู้ดูแลวังไทเฮาพาบ่าวหญิงสองคนเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน เมื่อเห็นอ๋องฉีอยู่ข้างๆ พระชายาฉีก็โล่งอก คารวะเฮ่อกุ้ยเฟย อ๋องฉี และพูดขึ้นว่า “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง อ๋องฉี หวงเฟยเหนียงเหนียง ไทเฮามีคำสั่งให้เข้าพบเจ้าค่ะ”
สีหน้าเฮ่อกุ้ยเฟยเปลี่ยนไปทันใด บ่าวหญิงทั้งหลายตกใจพากันถอยกลับไปหากุ้ยเฟย
อ๋องฉีระงับความโกรธ ยื่นมือไปประคองพระชายาและปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เดินไหวไหม”
กูกูผู้ดูแลวังผงะไปครู่หนึ่ง แล้วจึงอดยิ้มออกมาอย่างปลื้มใจ ผ่านมาหลายปี เมฆทุกก้อนมีเส้นสีเงินเสมอ ในที่สุดซู่อิงก็มีวันนี้ เมื่อเห็นท่าทางของอ๋องฉีเช่นนี้ ต่อไปต้องเป็นหัวแก้วหัวแหวนแน่ๆ
พระชายาฉีลองขยับ รู้สึกเจ็บแปลบตรงหัวเข่าจนหน้าเบ้ ก่อนจะกัดฟัน และฝืนเดินไปข้างหน้า
กูกูผู้ดูแลวังเพิ่งสังเกตเห็นรอยเลือดซึมบนกระโปรง ตกใจจนรีบเข้าพยุงพระชายาไว้ และถามว่า “หวงเฟยเหนียงเหนียง เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ”
เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว เม็ดเหงื่อก็ซึมออกมาทางหน้าผาก พระชายายืนนิ่งพร้อมโบกมือไปมา “ไม่มีอะไร ประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
กูกูผู้ดูแลวังเห็นสีหน้าเจ็บปวดจนเหงื่อซึม จึงรีบสั่งบ่าวหญิงที่ตามมา “ไปสั่งคนให้ยกเกี้ยวมา”
บ่าวหญิงขานรับ และรีบเดินออกไปทันที
เฮ่อกุ้ยเฟยถอนหายใจแรง พูดขึ้นเบาๆ ว่า “เสแสร้งแกล้งทำ ก็ไม่รู้ว่าจะแกล้งทำเป็นอ่อนแอแบบนี้ให้ใครดู”
เมื่อพูดจบ อ๋องฉีหันขวับ นัยน์ตาลุกเป็นไฟ
เฮ่อกุ้ยเฟยตกใจถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว
พระชายาฉีรับรู้ถึงความโกรธของอ๋องฉี จับแขนเสื้อของเขาไว้แน่น รั้งไว้ไม่ให้เขาทำอะไรเกินเลย
ขันทีสี่คนยกเกี้ยวมา หลิงหลงและกูกูผู้ดูแลวังประคองพระชายาฉีขึ้นเกี้ยวอย่างระมัดระวัง ประกบทั้งสองฝั่งเดินตามไปที่วังไทเฮา อ๋องฉีเดินตามหลังเกี้ยว
เมื่อเห็นเกี้ยวห่างไปสักระยะ เฮ่อกุ้ยเฟยค่อยโล่งใจ กัดฟันขึ้นเกี้ยว นั่งคิดว่าจะพูดอย่างไรให้ไทเฮาลงโทษพระชายาอีก
ไม่แปลกที่เฮ่อกุ้ยเฟยจะคิดเช่นนี้ นางเข้าวังมาหลายปี ได้รับความเอ็นดูจากฮ่องเต้ตลอด ปกติก็ไม่สร้างเรื่องอะไรให้ แม้แต่ไทเฮาเองยังชื่นชอบนาง
ขันทีแบกเกี้ยวจนถึงหน้าวังไทเฮา กูกูผู้ดูแลวังและหลิงหลงขนาบด้านซ้ายและขวา คอยพยุงพระชายาฉีลงจากเกี้ยวอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ ประคองพระชายาเข้าไปในวัง
ไทเฮานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา เห็นสภาพของพระชายาฉีก็ตกใจ ถามขึ้น “นี่เจ้าเป็นอะไร”
พระชายาฉีส่งสัญญาณให้กูกูผู้ดูแลวังและหลิงหลงปล่อยมือตัวเอง ฝืนตัวเองคารวะไทเฮา “หม่อมฉันขอคาราวะเสด็จแม่”
เพียงแค่ท่าทางคารวะง่ายๆ แบบนี้ก็เห็นสีหน้าเจ็บปวดจนคิ้วขมวดเป็นปม ไทเฮาพูดขึ้นทันที “รีบนำเก้าอี้มาให้พระชายานั่งเดี๋ยวนี้”
พระชายาฉีขอบพระทัย จากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้
อ๋องฉีอยู่ด้านหลัง หน้าตาเคร่งขรึม คารวะไทเฮา
ลูกชายคนนี้เป็นคนอ่อนโยนมีมารยาท ยิ้มแย้มตลอด ยังไม่เคยเห็นสีหน้าท่าทางแบบนี้มาก่อนเลย ไทเฮาคิดสงสัย ครั้นกำลังจะเอ่ยปากถาม เฮ่อกุ้ยเฟยก็เดินเข้ามาพอดี คารวะไทเฮาตามธรรมเนียม
ไทเฮาเอ็นดูกุ้ยเฟยมาตลอด พูดด้วยน้ำสียงอ่อนโยนว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
ใครจะไปรู้ว่าเฮ่อกุ้ยเฟยไม่เพียงแต่ไม่ลุกขึ้น แต่กลับ พลุบ คุกเข่าลงบนพื้น น้ำตาไหลพราก ร้องไห้และพูดว่า “ไทเฮา ท่านต้องช่วยหม่อมฉันนะเพคะ”
ไทเฮาตกใจ ในวังหลังแห่งนี้ นอกจากสถานะของฮองเฮาแล้ว ก็มีเฮ่อกุ้ยเฟยอีกคนที่มีสถานะน่าเกรงขาม ได้รับความเอ็นดูจากฮ่องเต้มาหลายปี แม้แต่ฮองเฮายังชื่นชอบกุ้ยเฟย คนที่กล้าทำผิดต่อกุ้ยเฟยในวังหลังนั้นจึงหามีไม่ วันนี้เกิดอะไรขึ้น เมื่อคิดถึงตรงนี้ พลันเก็บรอยยิ้ม พร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เรื่องอะไรหรือถึงต้องให้ข้าช่วย”
เฮ่อกุ้ยเฟยน้ำตาไหล พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “วันนี้พระชายาฉีเข้าวัง พอดีกับที่หม่อมฉันเดินเจอเข้า พระชายาไม่เพียงไม่คารวะหม่อมฉัน ยังปล่อยปละให้บ่าวหญิงมาชนหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงโกรธ และให้บ่าวใช้สั่งสอนพระชายาเพคะ ใครจะไปรู้อ๋องฉีเดินเข้ามาพบเข้าพอดี หน้าตาคล้ายจะเข่นฆ่าหม่อมฉันโดยไม่ถามมูลเหตุเลยเพคะ”
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เฮ่อกุ้ยเฟยถูกตามใจเกินไป แม้ภายนอกดูเป็นกันเอง อัธยาศัยกับทุกคน แต่แท้จริงแล้วในใจคิดดีใจเหมือนกระดี่ได้น้ำ ดีใจจนลืมตัว ลืมไปแล้วว่าอ๋องฉีเป็นพระราชโอรสของไทเฮา อย่างไรกุ้ยเฟยก็ไม่สมควรมาพูดเรื่องโอรสของตน ไทเฮาได้ยินดังนั้นหน้าก็เริ่มเปลี่ยนสี เฮ่อกุ้ยเฟยมัวแต่แสร้งใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ไม่เห็นสีหน้าของไทเฮาเลย ร้องไห้พูดต่อไปว่า “ตั้งแต่ที่หม่อมฉันมาอยู่ในวัง หม่อมฉันทำตามกฎระเบียบวังมาตลอด แม้แต่นางสนมที่ทำผิด หม่อมฉันยังไม่เคยลงโทษหนักเลย เหตุใดหม่อมฉันจะลงโทษหนักกับพระชายาเล่า อ๋องฉีก็แค่ต้องการลงความคับข้องใจที่หม่อมฉัน”
ความคับข้องใจเรื่องอะไร กุ้ยเฟยไม่ได้กล่าวละเอียด ไทเฮาเองก็รู้ดีว่าหมายถึงเรื่องของเฮ่อเหลียนอี
การเสียชีวิตด้วยอาการป่วยหนักของเฮ่อเหลียนอี ไทเฮาเองก็รู้สึกแปลกชอบกล คิดอยู่ว่าวันไหนจะเรียกอ๋องฉีเข้าวังมาถามไถ่เสียให้รู้เรื่องรู้ราว เมื่อฟังกุ้ยเฟยพูดจบ ไทเฮาไม่ได้พูดอะไร คิ้วขมวด ในใจรู้ดีว่าเฮ่อกุ้ยเฟยคงได้ยินอะไรมาบ้างแล้ว รู้ว่าเฮ่อเหลียนอีจากไปอย่างไร ถึงพูดจาเช่นนี้ออกมา
เฮ่อกุ้ยเฟยเองก็ฉลาด แต่กลับถูกความฉลาดทำร้าย นึกว่าไทเฮารู้สาเหตุการเสียชีวิตของเฮ่อเหลียนอีแล้ว จึงกล้าพูดจาเช่นนี้
ไทเฮาได้ยินดังนั้น ตอบเบาๆ ว่า “อือ” น้ำเสียงปะปนด้วยความโกรธ “ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคับข้องใจเรื่องอะไร ถึงมาลงกับเจ้า”
“ก็เรื่อง…” ได้ยินคำถามของไทเฮา เฮ่อกุ้ยเฟยพูดโพล่งไปทันที ครั้นรู้สึกไม่เหมาะสม ก็กลืนคำพูดทั้งหมดลงไป
เสียงไทเฮาเคร่งขรึมกว่าเดิม “ก็เรื่องอะไร เหตุใดเฮ่อกุ้ยเฟยไม่พูดให้จบ”
เฮ่อกุ้ยเฟยหยุดร้องไห้แล้ว เหงื่อกลับไหลลงมาแทน
ไทเฮาเสียงสูงถามเค้นคำตอบอีกครั้ง “เรื่องอะไร”
เฮ่อกุ้ยเฟยจะตอบก็ไม่เหมาะสม ไม่ตอบก็ไม่เหมาะสม ในขณะที่ลนลานอยู่นั้น เสียงบ่าวข้างนอกก็ดังขึ้น “ฝ่าบาทเสด็จ!”
ที่แท้หลังจากที่อ๋องฉีออกมาจากห้องหนังสือ ก็มุ่งหน้าไปวังไทเฮาทันที ระหว่างทางเห็นพระชายาฉีเข้า ทำให้เขาใช้เท้ากระทืบบ่าว ทั้งหมดนี้หนีไม่พ้นสายตาของบ่าวในวัง จึงถูกรายงานฮ่องเต้ทันที
เมื่อฮ่องเต้ได้ยิน รู้สึกชอบกล จึงวางหนังสือจดหมายเหตุลง และเสด็จมาวังไทเฮาทันที
สิ้นเสียงร้อง ฮ่องเต้ก็เดินเข้ามา ทุกคนทำการคารวะ
เฮ่อกุ้ยเฟยคุกเข่าบนพื้น เห็นฮ่องเต้เข้ามา ดั่งเห็นวีรบุรุษ โอดครวญอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ฮ่องเต้เพคะ”
ฮ่องเต้มองกุ้ยเฟยเพียงครู่ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนท่าทางจะกลับมาปกติ และคารวะไทเฮา “ลูกขอคารวะเสด็จแม่”
ไทเฮาให้สัญญาณนั่งลงบนพระราชอาสน์และพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้มาได้ถูกเวลา เฮ่อกุ้ยเฟยรายงานว่าพระชายาไม่เคารพกฎระเบียบ ไม่คารวะกุ้ยเฟย ส่วนท่านอ๋องก็เอาความคับข้องใจมาลงที่กุ้ยเฟย เข้ามาถึงก็คุกเข่าร้องไห้โอดครวญ”
ประโยคเดียวของไทเฮาพูดจบทั้งสามเรื่อง บอกฮ่องเต้ว่า ไม่ใช่ข้าลงโทษให้คุกเข่า กุ้ยเฟยคุกเข่าลงเอง และเหตุผลที่คุกเข่าก็คือสองเรื่องนั้น
เสียงอันน่าเกรงขามของฮ่องเต้ดังขึ้น “เฮ่อกุ้ยเฟย เป็นเช่นนั้นจริงหรือ”
“กราบทูลฮ่องเต้ หม่อมฉันพูดจริงทุกอย่าง ไม่โกหกแม้แต่น้อย ทั้งหมดนี้บ่าวใช้หม่อมฉันเป็นพยานได้เพคะ” เฮ่อกุ้ยเฟยคิดว่าฮ่องเต้เชื่อสิ่งที่ไทเฮาพูด จึงตอบกลับอย่างได้อกได้ใจ
ฮ่องเต้หันไปถามอ๋องฉี “ที่เฮ่อกุ้ยเฟยพูดจริงหรือ”
อ๋องฉีคารวะ “ทูลเสด็จพี่ ไม่จริงพะยะค่ะ เมื่อตอนที่กระหม่อมเห็น เฮ่อกุ้ยเฟยสั่งคนให้กดตัวของพระชายากระหม่อมไว้บนพื้น”
“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ” ไทเฮาถามอย่างไม่น่าเชื่อ
“นั่นเพราะว่าพระชายาไม่มีมารยาท ไม่รู้จักกฎระเบียบ หม่อมฉันจึงให้คนมาสอนเพคะ” เฮ่อกุ้ยเฟยแก้ตัว
“ช่างน่าขัน!” อ๋องฉีส่งเสียงเย็นชา “พระชายาข้าเกิดในบ้านนายพลชั้นสูง จะไม่รู้ระเบียบอะไรบ้างหรือ ยังต้องให้เจ้ามาสั่งสอนหรือ”
เฮ่อกุ้ยเฟยชะงักไป
ฮ่องเต้เหล่มองชั่วครู่ เสียงเคร่งขรึมมากขึ้น “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ใครช่วยอธิบายให้เราได้บ้าง”
พระชายาฉีกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่อาการเจ็บหัวเข่าแล่นจนร่างสะท้านไปครู่หนึ่ง กูกูผู้ดูแลวังรีบพูดขึ้นว่า “ไทเฮา ฮ่องเต้ หม่อมฉันเห็นกระโปรงของพระชายามีเลือดซึม เลือดคงไหลออกมาแล้วแน่ๆ เจ้าค่ะ”
ไทเฮาได้ยินดังนั้นก็มองไปที่กระโปรงของพระชายา เห็นรอยเลือดตามนั้นจริงๆ จึงรีบสั่งบ่าวใช้ “รีบไปเรียกแพทย์หลวงเข้าวัง” จากนั้นก็พูดกับกูกูผู้ดูแลวังว่า “รีบพยุงพระชายาไปนั่งบนเก้าอี้”
แพทย์หญิงในวังมาอย่างรวดเร็ว ไทเฮาให้กูกูผู้ดูแลวังพยุงพระชายาฉีไปหลังผ้าม่าน
แพทย์หญิงค่อยๆ ถลกกระโปรงพระชายาขึ้นอย่างระมัดระวัง เข่าที่ฟกช้ำและเต็มไปด้วยเลือดปรากฎต่อหน้ากูกูผู้ดูแลวังและแพทย์หญิง
กูกูผู้ดูแลวังร้องตกใจอย่างอดใจไม่ได้ ไทเฮานั่งไม่อยู่กับที่ ลุกตัวขึ้นเดินไปหลังม่าน เห็นเข่าของพระชายาฉีก็ตกใจ ถามแพทย์หญิง “นี่ต้องทำอย่างไร”
แพทย์หญิงใช้มือสัมผัสรอบๆ หัวเข่าของพระชายาฉี หลังจากถามอาการไปอย่างละเอียดชั่วครู่ ตอบกลับว่า “แค่แผลถลอกเพคะ ไม่เป็นปัญหาใหญ่ คอยประคบยารักษา ช่วงนี้เดินให้น้อย สองสามวันก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ”
ไทเฮาพยักหน้า เดินออกมาจากม่านด้วยสีหน้าหนักหน่วง
อ๋องฉีได้ยินเสียงตกใจของกูกูผู้ดูแลวัง ถ้าไม่ใช่ว่าฮ่องเต้อยู่ด้วย อ๋องฉีคงบุกเข้าไปหลังม่านแล้ว
ไทเฮาเดินออกมา พร้อมถามว่า “เฮ่อกุ้ยเฟย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดพระชายาจึงบาดเจ็บหนักขนาดนี้”
เฮ่อกุ้ยเฟยทำตาปริบอย่างรู้สึกผิด อธิบายขึ้นว่า “หม่อมฉันสั่งให้บ่าวสอนกฎระเบียบในวัง บ่าวคงลงมือหนักไปหน่อยเพคะ”