ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 162 เข้าเฝ้าฝ่าบาท
เมื่อได้ยินเสียงของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น เม้มปาก และส่ายศีรษะ “ไม่เป็นอะไร”
หวงฝู่อี้เซวียนถอนหายใจโล่งอก แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อวี้เอ๋อร์ล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้เขาฟังอย่างรวบรัด
หวงฝู่อี้เซวียนโกรธแค้นมาก แล้วพูดว่า “เจ้าวางใจเถอะ วันนี้จะไม่ปล่อยให้พวกเขาผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างง่ายๆ แน่นอน หากยังไม่ได้ถลกเนื้อหนังของพวกเขาออกมาแม้แต่ชั้นเดียว ข้าสาบานว่าจะไม่ยอมเลิกรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดสายตามองนายทหารบาดเจ็บที่อยู่ภายในเรือน ดูแล้วน่าจะมีประมาณสี่ห้าสิบนาย ความคิดในใจก็เปลี่ยนไป และนึกวิธีหนึ่งขึ้นได้ จึงเขยิบตัวเข้าไปข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วกระซิบว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าทำตามนี้ เช่นนี้ๆ นะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบ ก็มองเขาด้วยความประหลาดใจ
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้นาง แล้วพูดว่า “เจ้าส่งคนไปจัดการให้เร็วที่สุด อีกประเดี๋ยวข้าจะไปพระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าเสด็จลุง และท่านน้าก็อยู่ที่นั่นด้วยพอดี ท่านเป็นคนที่รักในการปกป้องคนของตัวเองเป็นที่สุด เมื่อถึงตอนนั้นจะต้องทำให้คนพวกนี้กระอักเลือดในใจจนพูดอะไรไม่ออก”
เมิ่งเชี่ยนโยวอดหัวเราะไม่ได้ ส่ายหัวไปมา แล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะต้องโชคร้ายเสียแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างแค้นใจ “บังอาจมารังแกผู้หญิงของข้าก็ต้องชดใช้ สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ถือว่ายังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำตาโตใส่เขา จากนั้นสั่งคนให้พาเหล่านายทหารที่บาดเจ็บทั้งหมดนี้ไปส่งที่ร้านยาเต๋อเหรินตามที่เขาแนะนำ
หลังจากหวงฝู่อวี้ได้รับการแก้จุดบนกาย ก็เข้าไปวนสำรวจในโรงงานกุนเชียงรอบหนึ่ง แล้วจึงเดินออกจากโรงงาน ครั้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียน ก็วิ่งไปหาทันที และพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “พี่ใหญ่ ขออภัยด้วย ข้าสร้างปัญหาอีกแล้ว”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอวี้เอ๋อร์เลย เพราะไม่รู้ว่าพวกเขาไปสืบมาจากแหล่งใดจนรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ แล้วมาตามถึงที่ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายแทนเขา
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “พวกเขามาหาเจ้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”
หวงฝู่อวี้ส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่ทราบ”
“ทำงานอยู่ในโรงงานดีๆ ล่ะ ต่อจากนี้ก็อย่าไปคบค้าสมาคมกับพวกเขาอีก”
หวงฝู่อวี้พยักหน้ารัว “ข้าจำไว้แล้ว”
“ไปทำธุระของเจ้าเถิด ข้าเพิ่งว่าราชการกลับมาจากนอกเมือง แล้วกำลังจะไปรายงานผลต่อเสด็จลุงที่พระราชวัง” เขาพูดเช่นนี้เพื่อถือโอกาสอธิบายแก่เมิ่งเชี่ยนโยวถึงสาเหตุที่เขาไม่ได้ไปที่บ้านในช่วงที่ผ่านมา
หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปในโรงงานอีกส่วนอย่างว่าง่าย
หวงฝู่อี้เซวียนมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาอ่อนโยนแวบหนึ่ง แล้วจึงหันกายเดินออกจากโรงงาน กระโดดขึ้นหลังม้าและตะบึงมุ่งตรงไปยังพระราชวัง
ฉู่เหวินเจี๋ยมาถึงหน้าประตูพระราชวัง ส่งป้ายห้อยเอวให้ แล้วบอกว่าตนเองมีเรื่องสำคัญต้องรายงานต่อฝ่าบาท ขันทีรีบไปห้องทรงพระอักษรเพื่อรายงาน ผ่านไปเพียงไม่นานก็ออกมาพูดว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าไปขอรับ”
ฉู่เหวินเจี๋ยรับป้ายห้อยเอวคืน ปลดอาวุธทหารส่งให้ขันทีที่เฝ้าประตู จากนั้นรีบสาวเท้าเดินเข้ามาถึงห้องทรงพระอักษร คุกเข่าและก้มศีรษะลงจนติดพื้นเพื่อคำนับ “ถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้วางเอกสารราชการบนพระหัตถ์ลง แล้วตรัสขึ้น “ลุกขึ้นได้”
ฉู่เหวินเจี๋ยลุกขึ้นยืน
“อ้ายชิง มีเรื่องรีบด่วนอันใดหรือ”
ฉู่เหวินเจี๋ยเล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้น และสุดท้ายพูดต่อว่า “ฝ่าบาท เหล่าคุณชายแห่งจวนเจ้าพระยาและพระยาประพฤติเช่นนี้ ก่อให้เกิดผลกระทบที่เลวร้ายอย่างมาก ตอนที่กระหม่อมไปถึงเป่ยเฉิง บนท้องถนนไม่มีผู้คนแม้แต่คนเดียว คาดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว หากครานี้มิได้ลงโทษพวกเขาอย่างหนัก เกรงว่าประชาชนเป่ยเฉิงจะเกิดความเคืองขุ่นในใจได้พ่ะย่ะค่ะ”
หลายปีมานี้ เป่ยเฉิงเป็นเมืองที่ทำเอาฮ่องเต้และบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็นต้องปวดหัวมาตลอด เพราะทุกๆ วันจะมีผู้คนออกมาค้าบุตรชายขายบุตรสาวบนท้องถนนใหญ่ ไม่ง่ายเลยที่ปีนี้จะได้เมิ่งเชี่ยนโยวมาเปิดโรงงาน ซื้อที่ดินหลายร้อยหมู่ แล้วว่าจ้างผู้คนเป่ยเฉิงมากมายไปทำงาน ความเป็นอยู่ของผู้คนเป่ยเฉิงจึงดีขึ้นบ้าง ฤดูหนาวปีนี้จึงได้ไม่เกิดเหตุค้าบุตรชายขายบุตรสาวขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ภายในโรงงานนี้ยังว่าจ้างทหารผ่านศึกที่พิการและบาดเจ็บหลายร้อยนาย ทว่า พวกคุณชายกลับใจกล้าสามหาวถึงขนาดระดมทหารของจวนเพื่อไปถล่มโรงงาน ฮ่องเต้จึงทรงพิโรธอย่างยิ่ง รีบดำรัสสั่งขันทีผู้ดูแล “ไปตรวจสอบที่ประตูดูว่าเป็นคนของจวนเจ้าพระยาและพระยาคนใด แล้วเรียกพวกเจ้าพระยาและพระยาให้มาเข้าเฝ้า”
ขันทีผู้ดูแลรับพระบัญชาแล้วเดินออกไป เมื่อมาถึงหน้าประตูพระราชวังจึงไถ่ถามให้แน่ชัดว่าเป็นผู้ใดในจวน แล้วรีบส่งขันทีไปรายงานต่อพระองค์
แต่ละคนก่อความวุ่นวายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ ผู้คนทั้งเมืองหลวงล้วนทราบกันหมด แล้วทั้งสี่ครอบครัวแห่งจวนเจ้าพระยาและพระยาจะไม่ทราบได้อย่างไร ขณะที่กำลังร้อนรนกระวนกระวายอยู่ในบ้าน ก็อยากจะไปจับลูกของตัวเองกลับมา แล้วโบยตีสั่งสอนอย่างหนักเสียเดี๋ยวนั้น พอขันทีมาบอกว่า ฮ่องเต้มีรับสั่งให้พวกเขาไปหาที่ห้องทรงพระอักษร ทั้งสี่คนก็รู้แล้วว่าลูกของบ้านตัวเองได้ก่อหายนะอันใหญ่หลวงเข้าแล้วจริงๆ จึงรีบสวมใส่ชุดราชการ แต่งองค์ทรงเครื่องให้เรียบร้อย แล้วทยอยกันมาที่ประตูพระราชวัง เมื่อเห็นทหารจวนในสภาพที่ดูน่ากระอักกระอ่วนกับลูกชายที่หน้าม่อยคอตกและได้รับบาดเจ็บ ในใจก็ทั้งโกรธทั้งเป็นกังวล โกรธที่พวกเขากล้าใช้ทหารของจวนมากมายเช่นนี้ไปก่อเรื่องที่โรงงานอย่างโจ่งแจ้ง และกังวลที่ไม่เพียงแต่เหล่าทหารจวนได้รับบาดเจ็บ ลูกชายของตัวเองก็ไม่รอดเหมือนกัน
เมื่อเห็นเจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่มา ลูกๆ สี่คนก็กรูกันเข้ามาร้องเรียกอย่างน่าเวทนา “ท่านพ่อ”
เจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่คนจ้องพวกเขาตาขมึงด้วยความโกรธ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า “กลับจวนไปค่อยคิดบัญชีกับเจ้า” จากนั้นก็รีบเร่งไปยังห้องทรงพระอักษร
ขณะที่คุกเข่าก้มศีรษะคำนับ ก็รู้สึกได้ถึงรังสีแห่งความพิโรธจากพระวรกายของฮ่องเต้ ในใจของพวกเขาก็อดสั่นเทาไม่ได้
และแล้ว เมื่อฮ่องเต้อ้าพระโอษฐ์ ความไม่พอใจที่อยู่ภายในน้ำเสียงที่แม้ว่าพวกเขาทั้งหลายจะก้มศีรษะอยู่แต่ก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจนก็ปรากฏขึ้น “อ้ายชิงทั้งสี่เลี้ยงลูกได้ดีกันทั้งนั้น”
เหงื่อบนใบหน้าของสี่คนไหลออกมาโดยพลัน แล้วก้มศีรษะจรดพื้นเพื่อคำนับอย่างพร้อมเพรียง พูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า “ขอพระองค์พระราชทานอภัยโทษให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เราขอถามพวกเจ้าว่า พวกเจ้าจะให้เราให้อภัยอย่างไร นี่ถ้าหากว่าได้พังโรงงานเข้าจริงๆ จะช่วยเหลือพวกนายทหารที่บาดเจ็บและพิการกว่าร้อยนายนั่นอย่างไร และหากเป่ยเฉิงจะต้องกลับไปประสบเหตุการณ์แบบเดิมเช่นนั้นอีก แล้วจะทำอย่างไร”
ทั้งสี่คนตอบไม่ได้
ราวกับว่าฮ่องเต้ดึงดันต้องการให้พวกเขาให้คำตอบ จึงไม่ตรัสอะไรอีก เพียงแต่มองพวกเขาอย่างน่าเกรงขาม
เสื้อผ้าออกว่าราชการบนกายของทั้งสี่คนล้วนเปียกชุ่ม
ภายในห้องทรงพระอักษรปกคลุมไปด้วยความเงียบ
ขันทีผู้ดูแลเข้ามารายงานอย่างระมัดระวัง “ทูลฝ่าบาท อ๋องฉีและซื่อจื่อมาที่พระราชวัง เพราะมีเรื่องที่ต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนถูกส่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ แล้วกลับมารายงานผลก็เป็นเรื่องปกติ ทว่า อ๋องฉีมีเรื่องสำคัญอันใดกัน คิดอยู่ในใจขณะหนึ่ง จนได้เห็นสี่คนนี้ที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องพระพักตร์ ก็เข้าพระทัยอะไรบางอย่าง จึงตรัสขึ้น “ให้เข้ามาได้”
อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาภายในห้องทรงพระอักษร เหลือบเห็นสี่คนที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น หลังจากคำนับเรียบร้อย อ๋องฉีก็พูดขึ้น “เสด็จพี่ กระหม่อมได้ยินมาว่าโรงงานเป่ยเฉิงเกือบจะถูกถล่มแล้ว น้องรู้สึกเป็นกังวลยิ่ง จึงส่งเซวียนเอ๋อร์ไปตรวจสอบดูก่อน โชคดีที่โรงงานไม่เป็นอะไร ทว่า มีนายทหารที่พิการและบาดเจ็บส่วนหนึ่งถูกทำร้ายจนบาดแผลสาหัสยิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยความวิตกกังวลของเซวียนเอ๋อร์จึงให้แม่นางเมิ่งส่งพวกเขาไปรักษาที่ร้านยาเต๋อเหริน”
นายทหารเหล่านี้ได้รับบาดเจ็บเพื่อชาติ จึงเป็นผู้สร้างคุณูปการให้แก่ชาติ ในตอนนี้กลับถูกทหารของจวนเหล่านี้ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว หากจัดการได้ดี ก็จะสามารถปลอบขวัญของทหาร และปลอบขวัญของประชาชนได้พร้อมกัน แต่หากจัดการได้ไม่ดี ก็จะทำให้ผู้คนเกิดความขุ่นข้องใจ เช่นนั้น ผลลัพธ์ที่ตามมา… คิดถึงตรงนี้แล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงกริ้วยิ่งขึ้นอีก คว้าเอกสารราชการบนโต๊ะโยนใส่ผู้คนเหล่านั้น “พวกสารเลว ก่อหายนะอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ ควรต้องรับโทษอย่างไรดี”
เมื่อคำพูดของอ๋องฉีสิ้นสุดลง ทั้งสี่คนก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีแล้ว ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากวิงวอนขอพระกรุณา เอกสารราชการของฮ่องเต้ก็ปะทะลงมาที่ศีรษะอย่างจัง ทั้งสี่คนไม่กล้าหลบ ได้แต่ปล่อยให้เอกสารนั้นกระแทกใส่ร่างของตัวเอง ผ่านไปสักพักถึงจะกล้าเอ่ยปากอ้อนวอน “ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานอภัยโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกลับไปจะสั่งสอนพวกเขาเป็นอย่างดีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“สั่งสอนอย่างดีหรือ หากพวกเจ้าสั่งสอนอย่างดี แล้วทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นวันนี้ได้ ข้าว่าพวกเขาคงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเกินไปเป็นปกติสินะ จึงไม่รู้ว่าพวกทหารที่คุ้มครองชาติบ้านเมืองเหล่านี้ลำบากแสนเข็ญเพียงใด ข้าว่า พวกเขาควรไปลองสัมผัสความรู้สึกในค่ายทหารดูบ้างนะ”
เหงื่อของทั้งสี่คนไหลพรูลงมาอีกครั้ง รีบก้มศีรษะคำนับ “ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นความผิดของบุตรกระหม่อมจริง จะโบยหรือจะลงโทษอะไร ก็แล้วแต่จัดการเถิดพ่ะย่ะค่ะ แต่ขอฝ่าบาทอย่าได้ส่งพวกเขาไปค่ายทหารเลย ครอบครัวของกระหม่อมมีผู้สืบทอดตระกูลเพียงแค่คนเดียวเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พูดไปเช่นนั้นก็เพียงเพื่อจะทำให้พวกเขาตกใจกลัวเสียหน่อย แน่นอนว่ามิได้มีพระประสงค์จะส่งพวกเขาไปค่ายทหารจริง เมื่อได้ยินดังนั้นก็ถามด้วยเสียงเข้มว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าบอกมาสิ ว่าควรโบยอย่างไร ควรลงโทษอย่างไร”
“นั่น…” คำพูดนั้นเป็นเพียงคำที่หลุดออกมาจากความร้อนรนและความกังวลของทั้งสี่คน ยังไม่ได้คิดไปถึงว่าควรจะทำอย่างไรจริงๆ
ฮ่องเต้เห็นท่าทีของพวกเขา ในใจก็เดือดพล่าน ขณะที่กำลังจะตวาดใส่ หวงฝู่อี้เซวียนก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน “เสด็จลุง หลานคิดวิธีหนึ่งออกพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ทราบว่าใต้เท้าทั้งหลายจะสามารถรับปากได้หรือไม่”
“ว่ามา!” ฮ่องเต้พูดอย่างองอาจ
“ประการแรก ให้พวกคุณชายไปขอโทษต่อแม่นางเมิ่ง พร้อมกับรับปากว่าจะไม่ไปก่อความวุ่นวายที่โรงงานอีก ประการที่สอง ค่ายาและค่ารักษาของนายทหารที่บาดเจ็บเหล่านั้นต้องให้พวกคุณชายเป็นคนจ่าย อีกทั้งมอบเงินอีกจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นค่าปลอบขวัญแก่นายทหารที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ”
สองข้อนี้สมเหตุสมผล ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ถาม “พวกเจ้าคิดว่าข้อเสนอของเซวียนเอ๋อร์เป็นอย่างไร”
เสียเงินเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร แต่จะให้ลูกชายของตนเองไปขอโทษต่อหญิงสาวบ้านนอกคนหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่เสื่อมเสียเกียรติและศักดิ์ศรีของจวนเป็นอย่างยิ่ง ในใจของแต่ละคนรู้สึกไม่ยินยอมเท่าไรนัก เจ้าพระยาหลิวจึงลองเอ่ยปากถาม “ฝ่าบาท เงินพวกนั้นจะให้กระหม่อมจ่ายเพิ่มก็ย่อมได้ แต่เรื่องที่ต้องขอโทษ สามารถละเว้นได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ที่หวงฝู่อี้เซวียนต้องการก็คือให้คนพวกนั้นไปขอโทษ จะได้ให้คนทั้งเมืองหลวงทราบโดยทั่วกันว่าเบื้องหลังของโรงงานแห่งนี้มีใครหนุนหลังอยู่ ต่อไปไม่มีเหตุอันใดก็อย่าได้คิดจะทำอะไรโรงงานอีก
แน่นอนว่าไม่อาจยอมถอยได้ จึงพูดกับฮ่องเต้ด้วยความนอบน้อมว่า “เสด็จลุง หลานเห็นว่าความผิดนี้จำเป็นต้องรับ ไม่ต้องพูดถึงว่าโรงงานได้รับผลกระทบเสียหายไปแค่ไหน ดูจากผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงกับประชาชนเป่ยเฉิงก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ตลอดทางที่หลานผ่านมา แทบไม่เห็นคนบนท้องถนนเลย คาดว่าคงไม่เคยเห็นกองทัพทหารเช่นนี้มาก่อนจึงตกใจกลัว และหลบอยู่ในบ้านไม่กล้าออกมา ตอนนี้ ผู้คนในแต่ละบ้านต้องรู้สึกประหวั่นพรั่นใจอยู่เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ถ้าพวกคุณชายไม่ไปยอมรับผิด ผู้คนเป่ยเฉิงจะต้องคิดว่า เสด็จลุงเข้าข้างพวกเขา ถึงเวลานั้นจะสูญเสียความเชื่อมั่นของประชาชนได้พ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าพระยาอู๋ผูเป็นพ่อของจิงเหิง ก็ไม่ยอม แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อพูดเช่นนี้ก็ออกจะดูร้ายแรงเกินไปหน่อย นี่เป็นเพียงการกระทำที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ของคนไม่กี่คน มิได้เกี่ยวข้องกับใจของประชาชนแต่อย่างใด”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ยอมถอย “ขอถามเจ้าพระยาอู๋ว่า แม่นางเมิ่งมิได้มีความบาดหมางอันใดกับพวกเขา เหตุใดพวกเขาจึงต้องบันดาลโทสะ เหตุใดจึงต้องสั่งคนให้ไปถล่มโรงงาน แล้วเหตุใดจึงต้องใส่ร้ายป้ายสีนางท่ามกลางผู้คนมากมายที่จับจ้องอยู่ เจ้าพระยาอู๋ก็คงทราบดีนะขอรับ ถ้าแม่นางเมิ่งละทิ้งโรงงานแห่งนี้กับที่ดินนอกเมืองหลายร้อยหมู่ แล้วกลับบ้านเกิดไป เพราะมีสาเหตุมาจากความโกรธของพวกคุณชาย แล้วหลังจากนั้นจะต้องมีประชาชนในเป่ยเฉิงที่กินไม่อิ่มท้องจนต้องค้าบุตรชายขายบุตรสาวอีกเท่าไรกัน”
เจ้าพระยาอู๋กระวนกระวาย ออกปากโต้แย้ง “ความสัมพันธ์ของนางบ่าวใช้บ้านนอกนั่นกับซื่อจื่อไม่ธรรมดา คนในเมืองหลวงนี้ต่างก็รู้กันหมด เมื่อนางยังไม่ได้บรรลุเป้าหมาย แล้วจะยอมละทิ้งทุกสิ่งกลับบ้านเกิดไปได้อย่างไรล่ะ”
สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนนิ่งขรึมขึ้น
สีหน้าของอ๋องฉีก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แล้วถามเขากลับว่า “ในเมื่อเจ้าพระยาอู๋ต่างทราบเรื่องนี้แล้ว เช่นนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เหล่าคุณชายจะไม่รู้ และในเมื่อรู้แล้ว และยังทำเรื่องเช่นนี้ลงได้ นั่นหมายความว่าพวกเจ้าไม่ได้เห็นหัวจวนอ๋องฉีอย่างข้าเลยสินะ”
ในตอนนี้เจ้าพระยาอู๋ถึงจะตระหนักได้ว่าตัวเองพูดผิดไป ในใจก็ตื่นตระหนกอย่างมาก แล้วรีบกลับคำพูด “อ๋องฉีเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้นขอรับ”
อ๋องฉีกดดัน “เช่นนั้นเจ้าพระยาอู๋หมายความว่าอะไร”
เจ้าพระยาอู๋ถูกถามจนพูดออกมาไม่ได้
อ๋องฉีพูด “เสด็จพี่ น้องเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ต้องลงโทษ แต่ต้องลงโทษอย่างหนัก นอกจากปลอบขวัญประชาชนเป่ยเฉิงแล้ว ยังต้องปลอบขวัญพวกนายทหารในค่ายทหารเหล่านั้นด้วย พวกเขาอาบเลือดอาบเนื้อบนพื้นทราย เป็นผู้ปกป้องและคุ้มครองชาติบ้านเมือง ทั้งหมดก็เพื่อให้คนในครอบครัวของตัวเองมีชีวิตที่สงบสุข แต่ในเวลานี้ กลับมีคนมารังแกเหล่าพี่น้องที่บาดเจ็บของพวกเขา ในใจพวกเขาต้องไม่ยอมเป็นแน่ เรื่องนี้ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี จะทำให้จิตใจของเหล่าทหารไม่เป็นอันสงบได้”
ฉู่เหวินเจี๋ยคล้อยตามด้วยเสียงที่เคร่งขรึม “กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ นายทหารผ่านศึกที่พิการและบาดเจ็บพวกนั้นล้วนเป็นทหารที่ข้าพาออกมา ในสนามรบพวกเขาต่างเป็นทหารฉกาจชั้นยอด ในกองทัพก็มีอัธยาศัยที่ดีเลิศ หากพวกเขาไม่ได้รับความเคารพนับถือตามเกียรติที่มี ก็คงจะแล้งต่อน้ำใจของเหล่าทหารในค่ายทหารนี้ด้วย”
พูดเช่นนี้ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นอีกแล้ว เหงื่อบนหน้าผากของทั้งสี่คนไหลพรูลงมาอีกครั้ง
ฮ่องเต้มองอ๋องฉี หวงฝู่อี้เซวียน และฉู่เหวินเจี๋ย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่น่ายำเกรง “เช่นนั้นก็จัดการตามที่อวี้เอ๋อร์ต้องการ พวกคุณชายต้องไปขอโทษต่อหน้าเจ้าของโรงงาน นอกจากนั้น แต่ละคนจะต้องถูกปรับโทษด้วยเงินจำนวนสองหมื่นตำลึง เพื่อเป็นค่ารักษาแก่นายทหารที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้น ส่วนพวกเจ้าทั้งหลาย ด้วยเหตุที่ไม่สั่งสอนบุตรอย่างเข้มงวดแล้วทำให้พวกเขาประพฤติผิดอย่างร้ายแรง จึงต้องรับโทษงดเว้นเงินราชการเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป”
วาจาของฮ่องเต้นั้นศักดิ์สิทธิ์ ไหนเลยที่ทั้งสี่คนจะกล้าทักท้วง จึงน้อมรับและคำนับโดยพร้อมเพรียงกัน “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เซวียนเอ๋อร์อยู่ก่อน คนอื่นออกไปได้”
ทั้งหกคนกล่าวขอบคุณ แล้วออกจากห้องทรงพระอักษร
เจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่คนซับเหงื่อบนใบหน้า ประสานมือคำนับต่ออ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ย แล้วกระวีกระวาดกันออกจะพระราชวังไป จนมาถึงตรงหน้าลูกชายตัวเอง ก็ตะโกนสั่งพร้อมกัน “ไสหัวกลับบ้านไป หากข้าไม่อนุญาต ก็ห้ามออกจากจวนอีกต่อไป”
คุณชายทั้งสี่นึกว่าเรื่องจบลงเพียงเท่านี้ จึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง หลิวเยี่ยนถามขึ้น “ท่านพ่อ ฝ่าบาทมิได้ตำหนิพวกข้าหรือ”