ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 172-2 เลวทรามยิ่งนัก
ย้อนอดีตกลับมาได้หลายปี เมิ่งเชี่ยนโยวได้กลายเป็นคนในครอบครัวไปจริงๆ เสียแล้ว บางครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ในชาติที่แล้ว ก็คิดว่านั่นคือเรื่องในความฝัน เหตุการณ์ตรงหน้าถึงจะเป็นเรื่องจริง ตนเองเป็นลูกสาวตระกูลเมิ่ง อยู่ในครอบครัวนี้มาตั้งแต่เกิด มีพวกเขาดูแลประคบประหงมจนโตขึ้นมา มีพ่อแม่ที่รักตนเอง มีพี่ชายที่คอยปกป้อง มีน้องชายที่นับถือตน มีซ้อใหญ่ ซ้อรองที่เห็นตนราวกับน้องสาวคนหนึ่ง มีหลานชายน่ารักสดใส และยังมีปู่ย่าที่แม้จะหัวโบราณแต่ก็ยังรักและตามใจตน และทั้งหมดนี้กลับมีคนคิดจะทำลายมันลงไป คิดว่าหากเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะรั่วหลานยังมีความดีเหลืออยู่บ้าง ไม่ได้รีบลงมือทำ หากไม่ใช่เพราะนางกลับมาฉลองตรุษจีนที่บ้าน จัดการกับรั่วหลานอย่างทันท่วงที แต่เรื่องดีงามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็จะถูกทำลายด้วยเสียงกรีดร้องของของรั่วหลานที่จะเกิดขึ้นในวันมะรืน และไม่แน่ว่านางอาจจะกลายเป็นเด็กกำพร้าไร้ที่พึ่ง คิดถึงตรงนี้ความโกรธในใจนางก็ยิ่งมีเพิ่มขึ้น ห่อยาในมือถูกนางบีบจนแตก ผงยาด้านในหกออกมาด้านนอก ซุนเชี่ยนรู้จักนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวดี เกรงว่านางจะทำร้ายรั่วหลาน จึงได้กดตัวนางเอาไว้แน่น “น้องเล็ก ใจเย็นไว้ก่อน พวกเราค่อยๆ ช่วยกันคิดหาทางแก้ คนที่จ้องทำลายพวกเรา พวกเราจะไม่ปล่อยไปแน่”
คำพูดของซุนเชี่ยนทำให้ความโกรธของเมิ่งเชี่ยนโยวลดลงเล็กน้อย นางปิดตาข่มอารมณ์ของตนไว้ ถามรั่วหลานที่กลัวจนหัวหดว่า “เจ้าเขียนหนังสือได้หรือไม่”
รั่วหลานไม่เข้าใจความหมายของนาง ส่ายหน้าอย่างงุนงน ตอบอย่างสัตย์จริงว่า “ไม่เจ้าค่ะ”
“ชิงหลวน!” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง
ชิงหลวนรีบตอบกลับมาว่า “เจ้าค่ะ นายหญิง”
“รีบไปเอาหมึกและพู่กันมา เจ้าเขียนตามที่นางพูด นำความที่นางพูดทั้งหมดเขียนลงไป”
ชิงหลวนตอบรับ เดินไปยังหน้าจวนเพื่อหาพู่กันและหมึก และเดินกลับมาที่โต๊ะภายในห้อง
จูหลีปิดประตูเบาๆ และออกไปจากห้องอย่างรู้ความ
สาวใช้ทั้งสองของซุนเชี่ยนแม้ว่าจะสงสัย แต่ก็มิได้เงยหน้าขึ้นมามองในห้องเลยแม้แต่น้อย ยืมก้มหน้าก้มตาอยู่ที่หน้าประตูด้วยความเรียบร้อย
รั่วหลานเริ่มเล่าตั้งแต่ที่ตนถูกตระกูลเฉียวซื้อตัวมา และส่งให้ผู้ว่าการเขต ไปจนถึงเรื่องที่พวกเขาวางแผนทำลายตระกูลเมิ่ง ชิงหลวนฟังที่นางเล่า แม้ว่าสีหน้าจะเรียบเฉยและเขียนอย่างรวดเร็ว แต่ในใจนั้นกลับกลัวเป็นอย่างมาก แผนการณ์นี้ช่างเลวทรามเหลือเกิน หากสำเร็จได้นั้น ครอบครัวของนายหญิงก็คงจบสิ้นแล้ว ไม่มีพื้นที่ให้ยืนในสังคมอีกเป็นแน่
แม้ว่าอารมณ์โกรธของเชี่ยนโยวจะหายไปแล้ว แต่บรรยากาศรอบตัวกลับน่ากลัวยิ่งขึ้น เมื่อได้ยินรั่วหลานเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอีกรอบ สายตาของนางก็ขยับไปมา ไม่รู้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อรั่วหลานพูดจบ ชิงหลวนเองก็เขียนเสร็จแล้ว ยกคำสารภาพยื่นให้เมิ่งเชี่ยนโยว “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ นายหญิง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มอง แต่ได้สั่งชิงหลวนว่า “ให้นางพิมพ์ลายนิ้วมือ”
รั่วหลานมองนางอย่างทรมานใจ
ชิงหลวนรำคาญ จึงได้คว้ามือขวาของนางมา หยิบมีดเล็กที่พกติดตัวออกมา และกรีดนิ้วชี้ของนางเป็นแผลเล็กๆ และกดไว้ที่คำสารภาพนั้น
กว่ารั่วหลานจะร้องออกมา ชิงหลวนก็ได้ปล่อยมือจากนางเรียบร้อยแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาเป็นปกติ สีหน้าไม่มีอะไรเปลี่ยนไป พูดกับรั่วหลานว่า “เห็นแก่ความดีที่มีเพียงน้อยนิดของเจ้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า และจะช่วยครอบครัวเจ้าออกมา…”
ไม่รอให้นางพูดจบ รั่วหลานก้มหัวนับด้วยความดีใจ พูดขอบคุณไม่หยุด “ขอบพระคุณแม่นาง ขอบพระคุณแม่นาง”
“ส่วนตัวเจ้านั้น ขอให้อยู่กับข้าไปก่อนชั่วคราว รอจนกว่าข้าต้องการตัวเจ้าไปเป็นพยานแล้วนั้น เจ้าก็จงนำคำสารภาพวันนี้พูดออกไปอีกรอบก็พอ จำไว้ว่าขอเพียงเจ้าเชื่อฟังคำสั่ง อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ข้าก็จะดีกับเจ้าและครอบครัวเจ้า แต่หากเจ้าเล่นแง่กับข้า เจ้าและครอบครัวก็จะได้กลับบ้านเก่าไปด้วยกัน ข้าพูดจริงทำจริง”
ฟังคำของนางจบ รั่วหลานตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ นี่เป็นโอกาสเดียวที่คนในครอบครัวของนางจะมีชีวิตรอด นางพยักหน้าติดกันหลายครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ซุนเชี่ยนเองก็อยากจะลุก แต่นางอ่อนไปทั้งร่าง พยายามอยู่หลายหนแต่ก็ไม่สามารถยืนขึ้นได้ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “น้องเล็ก ขาข้าเกิดอ่อนแรงขึ้นมาเล็กน้อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก พยุงนางขึ้นมา เดินออกไปอย่างช้าๆ สั่งบ่าวไพร่เหล่านั้นว่า “จับตาดูนางเอาไว้ให้ดี!”
สาวใช้ทั้งสอง ชิงหลวนและจูหลีตอบรับ
เมื่อเดินออกไปด้านนอก ถูกลมหนาวพัดเข้าใส่ ลมโกรธในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้ถูกพัดหายไป พูดกับซุนเชี่ยนที่ยังไม่ได้สติกลับมาว่า “ซ้อคะ เรื่องวันนี้นอกจากข้าและท่านก็ห้ามบอกให้ใครรู้อีก แม้แต่พี่ใหญ่ก็ไม่ได้ หากพวกเขารู้เข้าอาจจะทำแผนแตกได้”
แม้ว่าซุนเชี่ยนจะดูแลจัดการโรงงานของครอบครัว ทำงานเก่งกว่าหญิงทั่วไป ทัศนวิสัยกว้างไกล แต่นางก็ไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน หากไม่ได้ยินเองกับหู นางเองก็คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีคนที่สามารถเลวร้ายได้เช่นนี้ เมื่อได้ยินคำของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วจึงหยุดฝีเท้าลง หันมองหน้านาง ปากสั่นอยู่หลายครั้งจึงได้พูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือว่า “น้องเล็ก พวกเราทำอย่างไรกันต่อดี”
“ทั้งหมดให้ข้าจัดการเองเจ้าค่ะ ซ้อทำตัวเหมือนเช่นเคย อย่าให้ผู้ใดจับพิรุธได้”
“ต้องการคนช่วยหรือไม่ หากเจ้าต้องการข้าสามารถไปขอความช่วยเหลือจากท่านปู่ได้” ซุนเชี่ยนพูดอย่างร้อนรน
ซุนซ่านเหรินมาการค้ามาหลายปี ก็จะต้องมีพรรคพวกเป็นธรรมดา ในเมื่อไม่ให้คนในบ้านนี้รู้ อย่างนั้นกลับบ้านตนเองไปขอความช่วยเหลือจากท่านปู่ก็คงเป็นไปได้
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ครั้งนี้พวกมันมาร้าย ผู้เกี่ยวของยิ่งน้อยยิ่งดี ทุกวันนี้ซุนซ่านเหรินต้องยุ่งอยู่กับการเลี้ยงหลาน ไม่ได้ดูแลเรื่องค้าขายมากนัก พวกเราก็อย่าเอาปัญหาไปให้ท่านเลย วางใจเถิด คนของข้ามีพอใช้ ครานี้ข้าจะต้องจัดการพวกมันให้ราบคาบ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมีความน่าเชื่อถือมากในสายตาของคนในครอบครัว นางทำได้อย่างที่พูด เมื่อได้ยินดังนี้ ซุนเชี่ยนก็รู้สึกสบายใจขึ้น พูดว่า “ได้ ข้าจะเชื่อเจ้า” เมื่อพูดจบ ก็พูดต่อว่า “พวกเรายืนตรงนี้อีกครู่เถิด ตัวข้าอ่อนแรงไปหมดแล้ว ขาก็สั่น หากเดินเข้าไปในจวนหลักเช่นนี้ เตี่ยกับแม่จะต้องจับพิรุธได้แน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พยุงนางยืนต้านลมหนาวอยู่ราวสิบห้านาทีได้ ซุนเชี่ยนถึงได้บังคับตัวเองให้สงบลงได้ และพยายามฉีกยิ้มอย่างแข็งทื่อ “ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเรากลับไปเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวคล้องแขนของนาง ทั้งสองคนเดินกลับไปด้วยสีหน้าปกติ
เมิ่งเสียนกินข้าวเช้าแล้วเรียบร้อย นำอาหารที่เหลือเก็บไว้ในหม้อให้ซุนเชี่ยนอย่างบรรจง ปิดฝาหม้อไว้อย่างเรียบร้อย และไปช่วยงานที่ห้องซีเซียง
หวงฝู่อี้เซวียนนำของมาฝากถึงสองคันรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีเองก็ซื้อของมาบ้าง ของทั้งหมดรวมกันก็เกือบจะเต็มห้องแล้ว คนหลายคนแบ่งของฝากตามรายการที่เขียนมา
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนสองคนเดินเข้ามา เมิ่งเสียนก็โผล่ออกมาจากห้อง ถามอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดจึงไปนานสองนานเช่นนี้ อาหารเย็นจนหมดแล้ว”
ซุนเชี่ยนยิ้มออกมา “ไม่ได้เจอกันเสียนาน ระหว่างทางข้าและน้องเล็กจึงได้คุยกันมากเสียหน่อย”
“อากาศหนาวเช่นนี้ พวกเจ้าไม่กลัวหนาวกันหรือ จึงยังไปคุยกันอยู่ด้านนอก” น้ำเสียงของเมิ่งเสียนมีความกล่าวโทษเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราไม่หนาว เจ้าทำงานของเจ้าไปเถิด ข้าไปเก็บห้องครัวแล้วจะตามมา” ซุนเชี่ยนพูด
เมิ่งเสียนมองพวกเขาเล็กน้อย เมื่อเห็นสีหน้าของพวกนางเป็นปกติดี หนำซ้ำยังมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้น จึงไม่ได้คิดอะไรมาก หันหลังกลับมาแบ่งของขวัญต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับซุนเชี่ยนด้วยเสียงเบาว่า “ซ้อ ท่านไปเก็บของเถิด ข้าจะไปช่วยพวกกัวเฟยเขาน่ะ”
ซุนเชี่ยนพยักหน้าเบาๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยมือจากแขนนาง เดินไปยังหน้าห้องซีเซียง ยื่นหัวเข้าไปดูในห้องเล็กน้อย ยิ้มและถามว่า “แบ่งเสร็จแล้วหรือยัง”
“ใกล้แล้วล่ะ อีกราวครึ่งชั่วโมงก็น่าจะเสร็จเรียบร้อย” นางเมิ่งซื่อพูดจบก็พูดต่อว่า “เจ้าบอกอี้เซวียนนะว่าคราวหน้าคราวหลังไม่ต้องซื้อของมามากมายเพียงนี้หรอก ของเหล่านี้จะต้องเปลืองเงินทองเท่าใดกันนี่”