ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 197-1 เป็นตายร้ายดีก็ต้องอยู่ด้วยกัน
หลังจากกัวเฟยจัดการเรียบร้อย ก็นำทุกคนเดินกลับไปที่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว
และคนเสื้อดำที่เหลือก็ก้าวขึ้นมาพร้อมกับคำนับเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่า “แม่นางเมิ่ง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
คนเสื้อดำพูด “ท่านอ๋องฉีรู้ข่าวว่าแม่นางเมิ่งได้นำคนออกมาจากเมือง เป็นห่วงว่าระหว่างทางจะเกิดเหตุขึ้น จึงเร่งส่งข้ามาสนับสนุน”
“ขอบพระคุณท่านอ๋องเป็นอย่างมาก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
คนเสื้อดำยังบอกอีกว่า “พวกข้าจะอยู่จัดการที่นี่ ขอให้แม่นางเมิ่งไปที่หลินเฉิงก่อนช จัดการทางนี้เสร็จเรียบร้อยเมื่อใดพวกเราจะเร่งตามไปทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้างในมีผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่สองคน ขอให้เจ้าดูแลเขาให้ดีด้วย”
คนเสื้อดำตอบรับ แล้วยังบอกอีกว่า “แม่นางเมิ่ง ท่านอ๋องบอกแล้วว่า ถ้าหากมีคนกล้าทำร้ายท่าน ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสงสาร ถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ท่านอ๋องรับผิดชอบเอง”
ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะคาดการณ์เรื่องบางอย่างได้ จึงบอกกับนางมาแบบนี้
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วพาทุกคนไปด้านหลังโรงเตี๊ยม จูงม้าออกมา ขึ้นขี่บนหลังม้า แล้วควบออกไป
ระหว่างทางไม่มีเหตุอันใดเกิดขึ้นอีก คืนวันที่สองก็มาถึงหลินเฉิงในที่สุด
เมื่อเข้าไปที่หลินเฉิง ไร้ซึ่งวี่แววของผู้คน บนถนนหนทางก็ไม่มีผู้คนผ่านไปมา เมิ่งเชี่ยนโยวใจร้อนยิ่งนัก จึงเร่งควบม้าให้เร็วเข้าไปอีก
ใกล้จะมาถึงที่จวนหลินเฉิง ก็ได้เห็นสถานกักตัวที่อยู่ข้างทางมาตลอดไม่ถ้วน อีกทั้งหน้าที่หลบภัย ยังมีหม้อใบใหญ่แขวนอยู่ด้วย แสดงให้เห็นว่าเอาไว้ทำกับข้าวให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบเหล่านั้น
ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีการใช้กำลัง ดูเหมือนจะสงบดี
ยิ่งเข้าไปในตัวเมือง ที่หลบภัยก็ยิ่งน้อยลง และบนสีหน้าของผู้คนก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
แต่กลับไม่เห็นว่ามีคนตายกองอยู่ที่พื้นดิน
บอกให้ผู้เฒ่าท่านหนึ่งหยุด แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามอย่างมีมารยาทว่า “ท่านลุง ไหนว่าหลินเฉิงเกิดโรคระบาดขึ้นอย่างไรล่ะ ตายไปเยอะหรือเปล่า ข้าเห็นว่าบ้านเมืองก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดี ไม่ได้เป็นแบบที่ได้ยินมาเลย”
ผู้เฒ่าคนนั้นดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วจึงบอกว่า “แม่นางเป็นคนที่อื่นงั้นรึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งเฮือก “แม่นางไม่รู้หรือว่า ที่เห็นอยู่นี่เป็นผลงานของซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีทั้งนั้น หลังจากที่เขามา ก็ได้ทำที่หลบภัยไว้มากมาย แล้วเอาพวกเราเข้าไปหลบอยู่ในนั้น ในทุกวันก็จะจัดสำรับร้อนๆ มาตามเวลาที่กำหนด ต่อมาเมื่อเกิดโรคระบาดขึ้น ก็เป็นซื่อจื่อที่วิธีการแก้ปัญหานี้ออกมา โดยการโยกย้ายคนที่อาจจะติดโรคออกไปไว้ที่เมืองซีเฉิง กักตัวเอาไว้ พวกเราที่เหลือก็เลยไม่ได้รับเชื้อติดต่อมา”
เมื่อได้ยินเขาพูดถึงหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามอีกว่า “แล้วตัวเขาล่ะ ท่านลุงรู้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่ใด”
ผู้เฒ่าก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เห้ออ ซื่อจื่อเอาแต่คิดถึงเรื่องของประชาชน เป็นผู้นำคนมาทำที่หลบภัยทั้งวันทั้งคืน ทำสถานกักตัว แล้วยังคิดหาวิธีจัดการโรคระบาดอีก น่าเสียดาย ที่เขากลับติดโรคนี้เข้าให้ เลยโดนใต้เท้าที่มาใหม่ส่งไปที่ซีเฉิง…”
เขายังไม่ทันพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หายไปแล้ว
ผู้เฒ่าหยุดชะงักไป มองไปที่ฝุ่นทรายนั้น แล้วก็สงสัย
เรื่องที่ตนกังวลที่สุดเป็นจริงขึ้นมาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเคร่งขรึมเป็นที่สุด หกวันมาแล้ว ไม่รู้ว่าอี้เซวียนจะยังไหวอยู่หรือไม่
ชิงหลวนและจูหลีรวมไปถึงกัวเฟยล้วนตกใจเป็นที่สุด ซื่อจื่อติดโรคเข้าให้แล้ว แต่ว่าในเมืองหลวงกลับไม่มีใครรู้ข่าวนี้เลย ขนาดองครักษ์หลวงของฮ่องเต้ยังไม่มาส่งข่าว หรือว่า…”
ทุกคนไม่กล้าคิดต่อ ทำได้เพียงเร่งตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่ซีเฉิงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่กำลังจะออกจากประตูเมือง ก็มีนายทหารที่เฝ้าประตูเมืองอยู่จะหยุดพวกนาง บอกว่า “หยุด ข้างนอกเป็นเขตกักตัว ห้ามออกไปด้านนอกเด็ดขาด…”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจ จึงควบม้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่อยู่ทางด้านหลังก็ตามไปด้วย
นายทหารตกใจเป็นอย่างมาก เอาตัวหลีกออกมา พร้อมตะโกนด่าว่า “บ้าเอ้ย ไม่รู้หรือไง ออกไปรนหาที่ตายแท้ๆ ”
เมื่อออกมานอกเมืองมาประมาณยี่สิบสามสิบลี้ ก็เห็นเป็นที่เชือกล้อมปักด้วยไม้ไผ่ง่ายๆ ข้างในมีคนนอนอยู่อย่างระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ แล้วข้างนอกก็มีทหารคอยเฝ้าอยู่
และทางด้านหน้าของทหารเหล่านั้น ก็มีเฮ่อเหลี่ยนที่ทำหน้าดุดันจ้องมองมาที่นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากม้า แล้วเดินมองจ้องไปที่เฮ่อเหลี่ยน ยังไม่ทันเดินไปถึงข้างหน้าเขา ก็โดนทหารห้ามไว้ว่า “หยุด ที่นี่เป็นสถานกักตัว ห้ามก้าวเข้ามา”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเดิน
เฮ่อเหลี่ยนทำท่าทางแกมเยาะเย้ยกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เสียเวลาถามตรงๆ เลยว่า “อี้เซวียนล่ะ”
เฮ่อเหลี่ยนชี้ไปทางด้านหลัง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ปลื้มปิติยินดีอย่างที่สุดว่า “ซื่อจื่อติดโรคระบาด ก็เลยต้องส่งเขาเข้าไปข้างในตามกฏที่เขาตั้งไว้”
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า เฮ่อเหลี่ยนออกคำสั่ง “หยุดนาง!”
แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวกูพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “กัวเฟย จัดการ!”
พูดจบ กัยเฟยก็พุ่งเข้ามา อยากจะจับตัวเฮ่อเหลี่ยน แล้วก็มีเงาพุ่งออกมาจากด้านหลังของเฮ่อเหลี่ยน และรับมือกับกัวเฟยได้อย่างสูสี
กัวเฟยเกิดอาการประหวั่น ดูท่าไม่ดี เลยถอยกลับไป
ชิงหลวนกับจูหลีออกไปรับมือแทน
กัวเฟยยังไม่ทันได้ยืนนิ่ง ก็กลับไปสู้อีก และตามด้วยเหล่าองครักษ์ลับทั้งหลาย
ทหารลับที่เฮ่อเหลี่ยนนำมาด้วยก็ยอมสิโรราบอย่างรวดเร็ว และในมือของกัวเฟยก็ถือมีดสั้นวางพาดไปที่ท้ายทอยของเฮ่อเหลี่ยน
เหล่าทหารตกใจเป็นอย่างมาก เลยเรียกพร้อมกัน “ใต้เท้า!”
สีหน้าของเฮ่อเหลี่ยนซีดลงโดยทันที แล้วตะโกนออกไปอย่างไม่ยอมว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว ช่างสามหาวยิ่งนัก ข้าเป็นขุนนางที่ฮ่องเต้ทรงโปรดส่งข้ามา มีอำนาจประหารก่อนได้รับอนุญาต เจ้ากล้าทำอย่างนี้กับข้าอย่างนั้นรึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองจ้องไปที่เขา แล้วหันหลัง เดินไปที่ด้านหน้าเขา มองจ้องเขา ด้วยสีหน้าดุดัน น้ำเสียงราบเรียบ คำพูดที่พูดออกมาทำให้เฮ่อเหลี่ยนตัวสั่นเป็นอย่างมาก “ถ้าหากว่าอี้เซวียนเป็นอะไรไปล่ะก็ ข้าจะให้เจ้าชดใช้อย่างสาสม”
เมื่อพูดจบ ก็หันหลังเดินมุ่งเข้าไปที่สถานกักตัว
“บังอาจ! กล้าดีอย่างไรมาจับขุนนางของราชสำนัก ทหาร จัดการซะ!” มีเสียงที่กึ่งคุ้นเคยส่งผ่านมาจากทางด้านหลัง
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับ มีขุนนางใส่ชุดราชสำนักรีบเดินเข้ามา และออกคำสั่งกับทหารที่ตนนำมา
เหล่าทหารตอบรับ ในมือที่มีดเล่มใหญ่ดูน่าเกรงขรามแล้วล้อมกัวเฟยเอาไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตามอง
ขุนนางเดินมาที่ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดเสียงดังว่า “คนสารเลว กล้าดียังไง…” แต่เมื่อเห็นชัดเจนว่าเป็นหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ตกใจพูดออกมาว่า “แม่นางเมิ่ง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า บอกว่า “ใต้เท้าจาง”
จางเจ๋อหวยพูดด้วยน้ำเสียงดีใจเป็นอย่างมาก “แม่นางเมิ่ง ท่านมาที่หลินเฉิงนี้ด้วยเหตุอันใด มีเรื่องต้องจัดการอย่างนั้นหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปิดบัง ตอบไปสั้นๆ ว่า “ซื่อจื่อเป็นคู่หมั้นของข้า”
จางเจ๋อหวยอึ้งไปครู่หนึ่ง เล่าลือกันว่า ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีมีหญิงสาวในดวงใจแล้ว เพื่อนาง เขายอมยกเลิกงานแต่งงานกับคุณหนูจวนราชเลขาอย่างไม่หวาดหวั่น แล้วยิ่งไปกว่านั้นคือ เพื่อนางแล้ว เขายอมเป็นตัวแทนฮ่องเต้มาทำเรื่องที่สำคัญอันโหดร้ายนี้ทั้งๆ ที่อายุยังน้อย ที่แท้หญิงสาวคนนั้นก็คือเจ้าเองหรือ เมิ่งเชี่ยนโยว
ในใจครุ่นคิด สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา มองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา ก็รู้แล้วว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงหัวเราะแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าใต้เท้าจางจะทำให้มันง่ายขึ้นได้หรือไม่”
ทำให้มันง่ายของนาง นั่นหมายความว่าให้นางได้เข้าไปที่สถานกักตัวนั่นเอง แต่ว่า…
“ทำไมหรือ ใต้เท้าจางไม่ยินยอมอย่างเช่นนั้นหรือ” รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวได้หายไป น้ำเสียงก็นิ่งขึ้น
จางเจ๋อหวยรีบโบกไม้โบกมือ บอกว่า “ไม่ๆๆ แม่นางเมิ่ง เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ปีนั้นที่ท่านช่วยข้าและอวี่เอ๋อร์เอาไว้ ข้าก็ได้พูดเอาไว้แล้ว ว่าไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดเวลาใด ขอเพียงแค่เป็นที่ๆ เจ้าเรียกใช้งานข้าได้ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ ข้าก็ไม่เกี่ยง แต่ว่า ตอนนี้เป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ถ้าแม่นางเข้าไปด้านใน ก็อาจจะไม่ได้ออกมาอีก เจ้าต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ!”
เมิ่งเชี่ยนโยวสีหน้านิ่งสงบ ไม่มีความเกรงกลัวใดๆ พูดว่า “ข้ากับอี้เซวียนเป็นครึ่งหนึ่งของกันและกันแล้ว ถ้าหากว่าไม่มีเขา ชีวิตนี้ของข้าก็ไร้ซึ่งความหมาย ดังนั้น ใต้เท้าจางอย่าได้เป็นกังวลเลย ขอก็แต่ให้คนของท่านถอยออกไปก็พอ”
จางเจ๋อหวยประทับใจเป็นอย่างมาก ไม่คิดมากอีกต่อไป “ได้ ข้าจะปล่อยให้แม่นางเมิ่งเข้าไป ส่วนข้าจะเฝ้าอยู่ทางนี้ทั้งวันทั้งคืน ถ้าหากว่าแม่นางมีอะไร ก็ออกคำสั่งมาได้เลย”
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวได้คลายลงเล็กน้อย แล้วยิ้มออกมา บอกว่า “เช่นนั้นข้าก็ขอบคุณใต้เท้าจางเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าข้ากับอี้เซวียนมีชีวิตรอดออกมาได้ จะไม่ลืมบุญคุณของท่านเป็นแน่แท้ ถ้าหากว่าไม่ได้ล่ะก็ ข้าก็จะส่งจดหมายไปที่ท่านอ๋องฉี ให้เขาคุ้มครองท่านไปตลอดชีวิต”
เมื่อพูดเช่นนั้น คนที่อยู่ในสถานการณ์ตรงนั้นต่างก็เข้าใจ ว่าหลังจากนี้จางเจ๋อหวยจะได้มียศสูงตำแหน่งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน จึงมีความคิดที่จะย้ายพรรคย้ายพวกในชั่วพริบตากันเลยทีเดียว
อีกทั้งจางเจ๋อหวยก็รีบร้อนพูดขึ้นมาว่า “แม่นางเมิ่งเป็นผู้มีพระคุณของข้ากับอวี่เอ๋อร์ เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ต้องเก็บเอาไปคิดหรอก ข้าหวังแค่ว่าขอให้แม่นางเมิ่งและซื่อจื่อรอดออกมาได้อย่างปลอดภัยก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วมุ่งหน้าเดินที่ทางด้านใน