ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 198-2 ร่วมแรงร่วมใจ
ถึงแม้ว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นไวรัสไข้หวัดระบาด อย่างแรกต้องทำก็คือการป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวยังบอกอีกว่า “ใต้เท้าจาง รบกวนท่านเอากระดาษกับปากกามาให้ข้าที ข้าจะเขียนใบสั่งให้ ท่านให้คนไปต้มตามนี้ เสร็จแล้วเอาไปแจกจ่ายให้กับประชาชนด้วยเจ้าค่ะ”
จางเจ๋อหวยตอบรับ แล้วรีบออกคำสั่งให้คนเอากระดาษกับพู่กันมา อยากส่งให้กับนางด้วยตนเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเขา “ไม่ต้องเข้ามา ในสถานการณ์แบบนี้ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าท่านจะไม่ติดโรคนี้ ชาวเมืองหลินเฉิงตอนนี้ฝากไว้ที่ท่านแล้ว ท่านห้ามพลาดเป็นอันขาด”
จางเจ๋อหวยหยุด โค้งตัวลงวางน้ำหมึกและพู่กันเอาไว้ที่เขตกักตัว หลังจากนั้นก็ถอยออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหยิบ แล้วหาที่เรียบๆ เขียนใบสั่งยา แล้วก็เอาไปวางไว้ที่ขอบของเขตกักตัว หลังจากนั้นก็ลุกขึ้น เดินถอยหลังออกมา ถามว่า “ไม่ทราบว่าหมอหลวงที่มาด้วยนั้นออกระเบียบอะไรหรือยัง”
“ออกแล้ว หลังจากที่มา ก็ได้สั่งให้ฆ่าเชื้อที่สถานหลบภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลายวันมานี้ผู้ติดเชื้อลดน้อยลงแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หมอหลวงทั้งหลายล้วนเป็นผู้ที่มีศาสตร์การแพทย์สูงส่ง ในเรื่องของการรักษาโรคระบาดนี้จะต้องมีทางออกอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดหลายวันแล้ว ถึงไม่มีวิธีการจัดการโรคนี้สักที
หมอหลวงทั้งห้าคนมาถึงอย่างรวดเร็ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในเขตกักตัว ขณะที่กำลังตกใจก็แสดงอาการดีใจด้วยในเวลาเดียวกัน มีคนหนึ่งร้องเรียกออกมาว่า “แม่นางเมิ่ง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองอย่างละเอียดแล้ว ที่แท้ก็เป็นหัวหน้าหมอหลวงเจียงจากสำนักหมอหลวงที่มารักษาให้กับจวนอ๋องฉีนั่นเอง นางพยักหน้า ไม่มีการแนะนำตัว ถามตรงๆ เลยว่า “หลายวันมานี้ท่านทั้งหลายได้ตรวจสอบเจอสาเหตุของโรคนี้แล้วหรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อหมอเจียงได้ยินดังนั้น จึงตอบกลับไปว่า “วันแรกที่พวกเรามาที่นี่ก็ได้ทำการตรวจคนไข้ไปแล้ว จากการตรวจสอบ พบว่าคล้ายกับโรคไข้หวัด แต่ว่าก็ไม่เหมือนโรคหวัดธรรมดาอีก ออกสูตรยาไปให้ชาวบ้านเอาไปต้มกินกัน แต่ว่าไม่เป็นผล ผู้คนที่ติดเชื้อก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราละอายใจยิ่งนัก ละอายในหน้าที่ที่ฮ่องเต้ได้มอบให้” พูดจบ ก็ถามด้วยความคาดหวังว่า “แม่นางเมิ่งตรวจสอบได้ผลว่าอย่างไรบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเข้าใจบ้างเพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงต้องมาปรึกษากับพวกท่าน”
พวกเขาสามารถเข้าไปรับตำแหน่งที่สำนักหมอหลวง ได้เป็นหมอหลวง ล้วนย่อมเป็นหมอที่มีศาสตร์ชั้นสูงทั้งนั้น ดังนั้น ในเรื่องของความทนงตนก็จะมากกว่าหมอธรรมดาทั่วไปอยู่บ้าง มีบางคนเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นแค่หญิงสาวชาวบ้าน ในใจก็คิดว่าไม่ควรค่าแก่การเคารพเท่าไร แต่ว่าหัวหน้าหมอหลวงยังเคารพนางเช่นนี้ จึงยืนอยู่ทางด้านข้างทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่เมื่อได้ฟังที่นางพูดเมื่อครู่ ก็มีหมอหนุ่มผู้หนึ่งที่เพิ่งเข้าสำนักหมอหลวงมาได้ไม่กี่ปีดูไม่พอใจเท่าไร พูดว่า “พวกเราทั้งสี่คนและหัวหน้าหมอหลวงร่วมกันวินิจฉัยมาสามวัน แต่ก็หาต้นตอของโรคนี้ไม่ได้ แม่นางเพิ่งมาถึง อีกทั้งยังกล้าพูดเช่นนี้ ไม่ใช่การโอ้อวดหรอกหรือ”
คำพูดของเขา ทำให้หมอหลวงเจียงตกใจเป็นอย่างมาก เลยรีบร้อนออกปากสั่งสอน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตอบกลับไปอย่างไม่ยอมเช่นเดียวกัน “เหนือฟ้ายังมีฟ้า ท่านโชคดีที่เป็นหมอหลวงได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเก่งไปเสียกว่าทุกคนแต่อย่างใด”
หมอหลวงหนุ่มโดนตอกกลับจนพูดไม่ออก หน้าแดง รู้สึกอายจนโกรธ อยากพูดเสียดสีไปอีกสักประโยค
หมอหลวงเจียงเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร จึงเอ่ยปากสั่งสอนเขา “หมอหลวงหลิว ศาสตร์การแพทย์ของแม่นางเมิ่งล้ำเลิศนัก ไม่ว่าเจ้ากับข้าก็เทียบไม่ได้ เจ้าอย่าได้พูดอะไรอีกเลยจะดีกว่า!”
อย่างไรเสียก็เป็นลูกน้องของตน ที่หมอหลวงเจียงพูดแบบนี้ก็เป็นเพราะจะปกป้องเขา
ใครจะไปรู้ว่าหมอหลวงหลิวจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กลับพูดตอบไปอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมากว่า “พวกเราเป็นถึงหมอหลวงของสำนักหมอหลวงแท้ๆ ฮ่องเต้สั่งให้พวกเรามาจัดการโรคระบาด แต่กลับต้องฟังคำแนะนำจากยัยนี่ จะว่าไปแล้วช่างอายฟ้าดินเสียเหลือเกิน”
เป็นถึงตำแหน่งหัวหน้าในสำนักหมอหลวง ไม่มีประสบการณ์มากกว่าสิบปีนั้นเป็นไปไม่ได้ ศาสตร์การแพทย์ล้ำเลิศอย่างแน่นอน ขนาดพระสนมต่างๆ ในวังยังต้องถอยให้สองสามก้าว แต่ตอนนี้กลับโดนลูกน้องผู้ต่ำต้อยของตนเองถามกลับแบบนี้ ในใจก็ไม่ค่อยพอใจนัก หมอหลวงเจียงจึงทำหน้านิ่งแล้วพูดว่า “เจ้าพูดจาระวังหน่อย! ถ้าหากว่ายังพูดไม่รู้เรื่องล่ะก็ กลับไปข้าจะรายงานฮ่องเต้ ให้ปลดเจ้าออกจากสำนักหมอหลวง”
จริงๆ แล้วที่พูดออกไป หมอหลวงหลิวก็รู้สึกผิดแล้ว และเมื่อได้ฟังคำจากหัวหน้า ก็ตกใจเข้าไปอีก สีหน้าก็เปลี่ยนไปมาไม่หยุด ก้มหน้าลง แล้วไม่กล้าพูดอะไรอีก
หมอหลวงเจียงประกบมือ “แม่นางเมิ่ง เป็นเพราะสั่งสอนได้ไม่ดีเอง ขอท่านอย่าได้ถือสา”
ท่าทางของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เปลี่ยนไป โบกมือแล้วบอกว่า “เหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กเจ้าค่ะ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเราจะต้องหาต้นตอของโรค จัดการโรคระบาดให้ได้ พวกท่านถึงจะได้มีผลงานกลับไป”
หมอหลวงเจียงรีบบอกว่า “แม่นางเมิ่งพูดถูกต้องเป็นที่สุด ไม่ทราบว่าท่านบอกได้หรือไม่ว่าท่านตรวจสอบได้อะไรมาบ้าง”
ไวรัสไข้หวัดใหญ่คำๆ นี้หมอหลวงเจียงและหมอท่านอื่นคงไม่เคยได้ยินมาก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิด ว่าจะบอกพวกเขาให้มันง่ายได้อย่างไรดี
หมอหลวงเจียงเห็นนางไม่พูดอะไร ยืนครุ่นคิดอยู่กับที่ จึงคิดว่าหลังจากที่จัดการโรคระบาดเสร็จแล้ว กลัวว่าพวกเขาจะแย่งผลงานของนางไป จึงรีบบอกก่อนว่า “แม่นางเมิ่ง ท่านวางใจได้ คนทั้งหลายจะเป็นพยาน ถ้าหากว่าท่านสามารถหาต้นตอของโรคเจอ ออกสูตรยาให้ได้ เมื่อรักษาโรคระบาดได้แล้ว ข้าจะรายงานให้กับฮ่องเต้ว่าผลงานนี้เป็นผลงานของท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขากำลังคิดจะถอยให้ นางจึงโบกมือ “ท่านคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าจะพูดอย่างไรดี”
“แม่นางมีอะไรก็ว่ากันมาตามตรงเถิด พวกเราตั้งตารอฟังอยู่”
เมิ่งเชี่ยนโยวลังเลเล็กน้อย “ท่านพูดไม่ผิด นี่เป็นไข้หวัดจริงๆ เจ้าค่ะ แต่ว่านี่มันจะหนักกว่าไข้หวัดธรรมดา ก็คือมันแพร่กระจายได้รวดเร็ว ถ้าหากว่าไม่รักษาให้ทันการณ์ล่ะก็ หากปล่อยให้ตัวร้อนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน อวัยวะภายในของคนเราก็จะค่อยๆ เสื่อมถอยไปจนกระทั่งตาย ดังนั้นยาใช้สำหรับคนที่ได้รับเชื้อแล้วจะต้องเป็นยาที่ต่างจากยารักษาไข้หวัดธรรมดาเจ้าค่ะ”
เมื่อหมอหลวงเจียงฟังนางพูดจบ จึงรีบถามว่า “แม่นางจะต้องมีวิธีการรักษาแล้วอย่างแน่นอนใช่ไหม” พูดจบ รู้สึกว่าการที่อยู่ห่างกับเมิ่งเชี่ยนโยวแบบนี้ ตะโกนคุยกันเหนื่อยนัก จึงเอาเชือกออก เดินเข้าไปที่ในสถานกักตัว
หมอหลวงอีกสามคนก็รีบร้อนจะโกนว่า “หัวหน้า!”
หมอหลวงเจียงหันกลับไปบอกว่า “แม่นางเมิ่งผู้ไม่มีตำแหน่งยังไม่กลัวโดนติดเชื้อ พยายามหาวิธีจัดการโรคระบาด ข้าช่างละอายยิ่งนัก”
อีกสามคนก็มองหน้ากัน กัดฟันแล้วเดินเข้าไป มีก็แต่หมอหลวงหลิวที่ยืนอยู่ด้านนอก ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกประหลาดใจกับหมอหลวงเจียงเป็นอย่างมาก จึงเตือนเขาว่า “นี่เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นของข้าก็เท่านั้นเจ้าค่ะ จะใช่หรือไม่ก็ยังต้องตรวจสอบต่อไปอีก หมอหลวงเจียงอย่าเข้ามาจะดีกว่า จะได้ไม่ติดเชื้อนะเจ้าคะ”
“ศาสตร์การแพทย์ของแม่นางเมิ่ง ตอนที่รักษาพระชายาฉีตอนนั้น ข้าได้เห็นกับตาแล้ว ในเมื่อท่านกล้าพูดออกมา จะต้องมั่นใจแล้วเก้าในสิบส่วน” หมอหลวงเจียงพูด
หมอหลวงอีกสามคนเมื่อได้ยินดังนั้น ตาก็เป็นประกายดีใจเป็นอย่างมาก ที่แท้แม่นางผู้นี้ก็คือคนที่รักษาพระชายาฉีจนหายนี่เอง ถ้าอย่างนั้นโรคระบาดนี้ ไม่แน่ว่านางอาจหาวิธีได้แล้วก็เป็นได้
จึงรีบเดินตามหมอหลวงเจียงมาที่ด้านหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวเอาน้ำหมึกพู่กันเมื่อครู่นี้ขึ้นมา แล้วเขียนใบสั่งยา ส่งให้กับหมอหลวง บอกว่า “นี่เป็นสูตรยาที่ข้าคิดได้ ทุกท่านโปรดดูว่ามีอะไรขาดไปหรือไม่”
หมอหลวงเอาไปดูอย่างละเอียด แล้วพยักหน้า “ใบสั่งยานี้ของแม่นางไม่ได้ขาดอะไรแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าในนี้มียาที่หายากอยู่ชนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าจะรักษาคนที่ติดโรคนี้ได้ทั้งหมด เกรงว่าจะไม่พอ”
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ มีเท่าไรก็เอาเท่านั้น พวกเราต้มมาก่อนส่วนหนึ่ง ให้คนที่อาการหนักดื่มก่อน ถ้าหากว่าเห็นผล ท่านก็เขียนจดหมายทูลฮ่องเต้สักหนึ่งฉบับ ให้ฮ่องเต้จัดการเอายาจากร้านยาทั่วรัฐอู่ให้ส่งมาที่นี่” พูดจบ ก็คิดออก แล้วเอาขวดยาที่ติดอยู่กับตัวออกมา เทยาออกมาสี่เม็ด แล้วยื่นให้กับหมอหลวงเจียง “นี่เป็นยาที่ข้าทำขึ้นมา มีส่วนช่วยกับคนที่ติดโรคนี้เจ้าค่ะ ถ้าหากท่านทั้งหลายไม่รังเกียจล่ะก็ ก็กินกันคนละเม็ดเถิด”
หมอหลวงเจียงดีใจเป็นอย่างมาก ยื่นมืออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็เอายาใส่เข้าไปในมือของเขา หมอหลวงเจียงก็รับมากินอย่างไม่ลังเลอะไรเลย
คนที่เหลือสามคนเมื่อเห็นเช่นนี้ จึงนำมากินคนละหนึ่งเม็ด มีรสชาติขมเล็กน้อย แต่พอกินเข้าไป ก็เกิดเย็นวาบๆ ที่หน้าอก ทำให้ตาสว่างขึ้นมาในทันที ยิ่งทำให้พวกเขาเชื่อมั่นและยอมรับในตัวเมิงเชี่ยนโยวเข้าไปอีก