ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 210-2 พี่ใหญ่ ช่วยข้าที
ส่วนใหญ่ของอาหารมื้อนี้ได้ไหลไปอยู่ในท้องของหวงฝู่ซวิ่นแล้ว เขาเองก็กินอย่างไม่ระวังจนจุก
มองท้องป่องของตนเอง หวงฝู่ซวิ่นสีหน้าเจื่อน แก้ตัวยิ้มๆ ว่า “เอ่อ คือ น้องสะใภ้ อาหารของเจ้าช่างอร่อยเสียเหลือเกิน ข้าลืมตัวเลยกินเข้าไปเสียมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า บ่งบอกถึงความเข้าใจ พูดว่า “มิเป็นไรเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ว่าอร่อยก็ดีแล้ว อาหารมื้อนี้ทั้งหมดเป็นเงินห้าพันตำลึง ท่านกินไปกว่าครึ่ง ข้าเองก็ไม่เอาเปรียบท่าน ท่านจ่ายข้ามาสามพันก็พอเจ้าค่ะ”
พรวด หวงฝู่อี้เซวียนที่เพิ่งดื่มน้ำชาไป พ่นเอาน้ำชาออกมา
ส่วนรอยยิ้มของหวงฝู่ซวิ่นแข็งทื่อไปทันที
หวงฝู่อี้เซวียนวางแก้วชาลง เช็ดปากด้วยท่าทีสง่างาม อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงไท่จื่อ มีเงินทองมากมาย เงินเพียงสามพันตำลึงเขาคงไม่ใส่ใจหรอก แต่ใครจะรู้ว่า ท่าทางของหวงฝู่ซวิ่นไม่ได้เป็นดังที่เขาคาดการณ์ไว้ เขาดีดตัวขึ้น มือสั่น หน้าแดง ยกนิ้วชี้หน้าทั้งสองคนอย่างไม่พอใจ พูดด้วยความโมโหว่า “พวกเจ้าช่างใจดำเสียจริง อาหารเพียงเท่านี้แต่คิดข้าถึงสามพัน อย่างนี้มันปล้นกันชัดๆ ข้า ข้าไม่มีหรอก!”
พูดจบ เขาก็ยกเท้าเตะเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างเพื่อเป็นการระบายอารมณ์
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไป อ้าปากค้าง มองเขาอย่างตกตะลึง
ปฏิกิริยาของเขาเป็นไปอย่างที่หวงฝู่อี้เซวียนคาดการณ์ไว้ หนุ่มผู้นี้ภายนอกดูเสมือนสูงส่ง สุขุม มีมารยาท แต่คนเราย่อมมีสองด้านเสมอ ไม่อย่างนั้นหลายปีมานี้ พวกเขาทั้งสองคงจะไม่ตีกันจนรักกันได้อย่างไร
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดปากพูด น้ำเสียงแฝงไปด้วยความรู้สึกเยาะเย้ย “พี่ใหญ่ หากไม่มีเงินมาจ่ายล่ะก็ ช่วยพวกข้าทำอะไรสักอย่างแทนก็ได้”
หวงฝู่ซวิ่นถามด้วยความโกรธว่า “เรื่องอะไร”
จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนขานนามเขาว่าอย่างไรเมื่อครู่ เบิกตาโพลง สีหน้าตื่นเต้น สาวเท้าก้าวยาวๆ เดินมาตรงหน้าเขา ถามเขาว่า “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชายผู้ที่ยืนตรงหน้านี้จะเป็นลูกพี่ลูกน้องของตน เป็นไท่จื่อของราชวงศ์ เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปของรัฐอู่
หวงฝู่ซวิ่นไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ ถามเขาซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น เนื่องจากนับแต่ที่เขากลับเมืองหลวงมาเมื่อห้าปีก่อน พวกเขาต่อสู้กันนับร้อยหน แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะขานเรียกตนว่าพี่ใหญ่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ครั้งแรกเชียวนะ แล้วจะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไรกัน
เมื่อเห็นท่าทีว่าหากเขาไม่ตอบ หวงฝู่ซวิ่นก็คงไม่เลิกรา หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที พยักหน้าด้วยความเบื่อหน่าย แล้วตอบเสียงเบาว่า “อืม”
หวงฝู่ซวิ่นดีใจมากกว่าเดิม จนแทบจะกระโดดโลดเต้นขึ้นมา “บอกมาเถิด บอกมา ว่าเรื่องอะไร ข้าจะไปจัดการแทนเจ้า”
สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนเปล่งประกาย พูดว่า “พี่ใหญ่ หาวิธีจัดการคนสองคนให้ข้าที”
ไม่ถามสักคำว่าสองคนนั้นเป็นผู้ใด หวงฝู่ซวิ่นก็ยืดอกรับคำไปเสียแล้ว “แค่สองคนเองหรือ ต่อให้เป็นสิบเป็นร้อยคนก็ไม่มีปัญหา เจ้าว่ามาเถิด ว่าจะให้จัดการอย่างไร”
“สั่งคนไปจัดการให้พวกมันจนฟันหลุดออกจากปาก ใบหน้าเสียรูปทีเถิด แล้วอย่าให้หลงเหลือร่องรอยไว้” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ใจของหวงฝู่ซวิ่นสั่นเล็กน้อย เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่รู้ว่าครานี้เป็นผู้ใดที่โชคร้าย มายั่วโมโหเขาเสียได้
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาเล็กน้อย และให้สัญญาว่า “หากท่านพี่ทำสำเร็จแล้ว ภายหน้าก็สามารถมากินอาหารอร่อยๆ ที่นี่ได้บ่อยๆ แต่หากไม่สำเร็จ ภายหน้าก็อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
“ดูทีสิ เจ้าพูดอะไรออกมา ข้าเต็ม…” พูดถึงตรงนี้ เขาก็นึกถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขาจ่ายค่าอาหารเมื่อครู่ จึงได้กลืนเก็บคำข้างหลังลงท้องไป และพูดใหม่ว่า “ฐานันดรของข้าใช่จะมาขอข้าวผู้อื่นหรือ”
แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับพยักหน้าอย่างจริงจัง พูดอย่างเคร่งขรึมและตั้งใจว่า “ใช่”
หวงฝู่ซวิ่นพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหัวเราะจนเหนื่อย นางรีบหันหลังกลับ และพูดว่า “พวกเจ้าคุยกันต่อเถิด น้ำชาเย็นหมดแล้ว ข้าจะไปเติมน้ำมาให้พวกเจ้า” พูดจบ ไม่รอให้ทั้งสองตอบตกลง นางก็เดินหายไปอย่างรวดเร็ว
ห้องอาหารเหลือเพียงหวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่ซวิ่นสองคน
หวงฝู่ซวิ่นนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีมีสง่าราศีดังเดิม “ว่ามาเถิด จะให้ข้าไปจัดการกับผู้ใด เพราะเหตุใด”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ปิดบัง เล่าเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวถูกทำร้ายให้เขาฟัง
หวงฝู่ซวิ่นเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าเฮ่อจางนั่นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังอย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
“ดังนั้นเจ้าจึงอยากให้ข้าไปจัดการหลานสองคนของเขาอย่างนั้นหรือ” หวงฝู่ซวิ่นถามต่อ
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบ แต่เห็นสีหน้าของเขาแล้ว หวงฝู่ซวิ่นรู้ทันทีว่าเขาเดาถูก เขากางพัดที่พกติดตัวมาตลอด พัดวีเล็กน้อย “แม้ว่าลูกของเฮ่อจางจะไม่เอาไหน แต่หลานทั้งสองยังพอใช้ได้ โดยเฉพาะเฮ่อจู้ ท่าทางฉลาด ฉลาดกว่าผู้เป็นพ่อไม่รู้กี่เท่า”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “หากท่านพี่ไม่เต็มใจช่วย ก็ให้ข้าลงมือเองเถิด”
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา หวงฝู่ซวิ่นเก็บพัดในมือ กลับมีทำท่าทีไม่จริงจังเช่นเดิม พูดเสียงดังว่า “ช่วยสิ จะไม่ช่วยได้อย่างไร วันพรุ่งข้าจะเอาข่าวดีมาบอก”
พอเขาพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถือน้ำชาเดินเข้ามาด้านใน วางแก้วตรงหน้าของหวงฝู่ซวิ่นก่อน แล้วค่อยยื่นให้หวงฝู่อี้เซวียน
เมื่อดื่มชาจนหมดแล้ว นั่งพักครู่หนึ่ง หลังจากสั่งรายการอาหารของวันรุ่งขึ้นต่อสายตาที่กดดันของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว หวงฝู่ซวิ่นก็จากไปด้วยจิตใจอิ่มเอม
วันต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้นกับหลานทั้งสองของเฮ่อจางที่เรียนหนังสืออยู่ที่กั๋วจื่อเจี้ยน คนแรกตอนที่เรียนวิชาขี่ม้ายิงธนู เนื่องจากใช้แรงมากเกินเหตุ ทำให้ไม่ระวังและตกลงมาจากหลังม้า แม้ว่าคนจะไม่ได้รับบาดเจ็บมาก แต่ว่าฟันหน้าหักไปสองสามซี่ อีกคนตอนที่กำลังออกจากจวนไม่ทันระวังจึงได้สะดุดล้มตรงรั้วเข้า เนื่องจากทรงตัวไม่อยู่จึงได้เอาหน้าลงพื้น เป็นเหตุให้ใบหน้ามีรอยแผลเต็มไปหมด
ในขณะที่เหล่านักเรียนกำลังตกใจกันอยู่นั้น ก็มีมือหลายสิบมาช่วยกันพยุงเขาขึ้นมา และพาไปที่สำนักหมอหลวง หลังจากหมอหลวงเจียงเห็นแล้วก็ส่ายหน้าติดกัน “บาดแผลค่อนข้างลึกทีเดียว ต่อให้รักษาจนแผลหายแล้ว จะยังคงเหลือรอยแผลเป็นไว้บนใบหน้า”
และหลังจากที่ทั้งสองถูกพาตัวกลับมาที่จวนแล้ว เฮ่อจางเห็นสภาพหลานทั้งสองก็แทบจะลมจับ เฮ่อเหลี่ยนเป็นลมไป เด็กสองคนเป็นความหวังทั้งหมดของเขา แต่วันนี้กลับมีสภาพเช่นนี้ เท่ากับว่าได้ทำลายความหวังเดียวของเขาไปแล้ว เขาโกรธมาก จึงส่งคนไปสืบเรื่อง สาบานว่าจะต้องจับตัวผู้บงการเรื่องนี้ให้ได้ แต่สืบไปสืบมากลับไม่มีข้อมูลอะไร เพราะตอนที่พวกเขาเกิดเรื่องขึ้นนั้น นักเรียนคนอื่นๆ อยู่ห่างจากพวกเขาหมด ไม่มีผู้ใดมีโอกาสลงมือทำได้เป็นแน่
ยิ่งสืบไม่ได้ว่ามาจากไหน ก็ยิ่งแสดงว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ เฮ่อจางนึกถึงหวงฝู่อี้เซวียนเป็นคนแรก รู้ได้ทันทีว่าจะต้องเป็นเขาที่วางแผนเพื่อแก้แค้น แม้ว่าส่งคนไปสืบมาแล้วจะพบว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ออกจากบ้านของเมิ่งเชี่ยนโยวเลยเป็นเวลาหลายวันแล้ว แต่เฮ่อจางก็มั่นใจว่าเป็นเขา ใบหน้าเคร่งเครียด ในใจโกรธแค้น พูดว่า “ในเมื่อพวกเจ้าคิดจะทำร้ายข้า อย่างนั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะมีความสุขได้”
และในขณะที่หวงฝู่ซวิ่นมาขอร่วมโต๊ะที่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยวติดกันสามวัน ไม่เพียงแค่เขาแต่ยังรวมไปถึงเหล่าองครักษ์เงาเองก็ไม่ยอมห่างจากบ้านเมิ่งเชี่ยนโยวนั้น คนเฝ้าประตูก็ได้รีบร้อนวิ่งเข้ามาในห้องอาหาร รายงานด้วยเสียงร้อนรนว่า “นายหญิง ด้านนอกมีผู้มาขอพบขอรรับ บอกว่าเป็นคนของจวนโจว เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้านายของเขา ขอให้ท่านรีบไปช่วยดูหน่อยขอรับ” พูดจบ ก็เช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากของตน ในใจพลางคิดว่า ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนรอบตัวของนายหญิงต่างพากันเกิดเรื่องขึ้นเสม เขารู้ดีว่าตระกูลโจวเป็นบ้านพ่อตาของเมิ่งอี้ เมื่อเห็นว่าคนด้านนอกร้อนใจ จึงคิดว่าครานี้น่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วพร้อมกัน รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเฮ่อจาง จึงรีบวางถ้วยชาในมือลง ยืนขึ้นและเดินออกไปด้านนอก
หวงฝู่ซวิ่นที่เพิ่งจะกินอาหารเสร็จด้วยความพึงพอใจ กำลังจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้นก็ขมวดคิ้วขึ้น ตระกูลโจวที่ทำให้ทั้งสองเป็นกังวลเพียงนี้ น่าจะเป็นครอบครัวของตี้ซือ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาค่อยๆ วางถ้วยชาลง และเดินออกไปอย่างช้าๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปพลางออกคำสั่งไปว่า “เตรียมม้า ไปยังจวนโจว!”
ชิงหลวนและจูหลีตอบรับ และรีบไปหลังจวน
บ่าวรับใช้สองคนบอกนางอย่างร้อนใจว่า “แม่นางเมิ่ง เกิดเรื่องขึ้นกับคุณชายทั้งสองของพวกเรา ทั้งสองถูกจับเข้าคุกไปแล้ว”