ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 212 มีคนขอเข้าพบ
บ่ายของวันถัดมา ฝ่ายตุลาการได้ส่งข่าวมาบอกว่าหาต้นเหตุของเพลิงไหม้ได้แล้ว เป็นขันทีน้อยที่ตายไปได้วางยาลงไปในน้ำชาของโจวเสี้ยวและโจวหลี่ จากนั้นก็ราดน้ำมันตะเกียงไปทั่ว จงใจจุดไฟขึ้น จุดประสงค์ก็เพื่อจะย่างสดสองคนนั้น โชคดีที่ทั้งสองดวงแข็ง ตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นควันไฟ ส่วนเหตุผลนั้นก็เพราะว่าโจวเสี้ยวตำหนิเขาต่อหน้าทุกคน ขันทีแค้นเขามาก จึงได้มีความคิดแก้แค้นเช่นนี้
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เขาพูดกับขันทีที่พักอยู่กับเขา
คนทำก็ตายไปแล้ว ส่วนความจริงจะเป็นเช่นไรนั้น ตี้ซือได้ลูกชายทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องการจะรู้อีกต่อไป อีกทั้งเสนาบดีกรมอาญาก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของตระกูลเขากับซื่อจื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวว่าเป็นเช่นไร เมื่อมีคนมอบหลักฐานมาให้ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องไปตอบแทนในน้ำใจเป็นแน่
ดังนั้น บ่ายของวันต่อมา หลังจากที่เสนาบดีกรมอาญานำคำให้การไปถวายให้ฮ่องเต้แล้วนั้น โจวเสี้ยวและโจวหลี่ก็ได้กลับบ้านมาอย่างปลอดภัยหลังจากผ่านมรสุมนั้นมา ตี้ซือตักเตือนพวกเขาว่าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ห้ามยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก
ทั้งสองปลอดภัยดี ตี้ซือก็ดีใจ พาโจวเสี้ยว โจวหลี่ มาขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวถึงที่จวนด้วยตัวเอง
หลังจากที่ถูกดัดนิสัยแล้วนั้น เฮ่อจางจนปัญญาจะกุเรื่องใส่ร้ายผู้อื่น จึงหยุดสร้างเรื่องราวไปชั่วคราว
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับบ้านไปแล้วก็ได้รับจดหมายที่เมิ่งจงจวี่เขียนมาให้นางด้วยตนเอง เนื้อความว่าเขาได้เลื่อนเป็นผู้ว่าการเขต เป็นเกียรติแก่ทุกคนในตระกูลเมิ่ง และยังบอกอีกว่าผู้อาวุโสตระกูลถามว่าสามารถนำพระราชโองการกลับบ้านไปได้หรือไม่ อยากจะให้คนในตระกูลเมิ่งได้มีโอกาสคำนับบูชา
และต่อมาก็เป็นเนื้อความที่เมิ่งเสียนเขียนแทนเมิ่งซื่อ นางถามว่าได้ฤกษ์งานแต่งแล้วหรือยัง บัดนี้ได้ปิดโรงงานแป้งมันฝรั่งไปแล้ว ไม่มีงานยุ่งเช่นเคย นางและซุนเชี่ยนรวมถึงโจวเยี่ยนสามารถลงมือเตรียมของของหมั้นให้นางแล้ว
เมื่ออ่านจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้เขียนจดหมายตอบเมิ่งซื่อ บอกนางว่าฤกษ์งานแต่งของตนกำหนดเอาไว้ในเดือนสิบ แต่ส่วนวันที่แน่ชัดนั้นยังไม่ได้ตกลงกัน ความหมายของพระชายาก็คืออยากให้ครอบครัวของนางเดินทางเข้าเมืองหลวงมาก่อน แล้วค่อยมาตกลงกัน
จากนั้นก็เขียนจดหมายให้เมิ่งจงจวี่ บอกว่าพระราชโองการอยู่ที่บ้านของนางเอง แต่ว่าตนไม่มีเวลากลับไป รอให้เก็บเกี่ยวผลผลิตมันฝรั่งทั้งห้าร้อยหมู่ของฤดูกาลเก็บเกี่ยวแรกเสร็จ และปลูกมันฝรั่งอีกสองพันหมู่สำหรับฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่สองแล้วนางถึงจะพอมีเวลา เมื่อถึงตอนนั้นนางจะอันเชิญพระราชโองการจากฝ่าบาทกลับไปถวายที่ศาลประจำตระกูลเมิ่ง ให้คนทั้งตระกูลได้เคารพบูชากัน
เขียนจดหมายทั้งสองฉบับเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้คนนำกลับไปส่งให้พวกเขา
หลังจากที่คนในตระกูลได้รับแล้วต่างดีใจกันเป็นอย่างมาก ต้นตระกูลเมิ่งสั่งให้คนไปซ่อมบำรุงศาลประจำตระกูลแล้ว คนในครอบครัวของเมิ่งเอ้ออิ๋นดีใจเป็นที่สุด เพราะต่างรอกันมานานแล้ว ในที่สุดเมิ่งเชียนโยวจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที
เมื่อคนในหมู่บ้านได้ยินข่าวดีเช่นนี้ก็ต่างนำของขวัญมาแสดงความยินดีด้วย บ้านตระกูลเมิ่งคึกคักขึ้นมาทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เรื่องพวกนี้ นางวิ่งวุ่นไปกลับระหว่างเมืองหลวงและหลินเฉิงโดยเฉพาะคนจากหลินเฉิงปลูกมันฝรั่งเป็นครั้งแรก ไม่มีประสบการณ์เรื่องพวกนี้ ทุกๆ ขั้นตอนของการเพาะปลูกนางจึงไม่กล้าละเลย หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้ติดตามไปกับนางด้วย
จนกระทั่งผ่านไปเดือนกว่า มันฝรั่งที่ปลูกเอาไว้เริ่มมีต้นกล้าอ่อนงอกขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้วางใจลง
ส่วนคนที่กำลังจัดการเรื่องไร่มันฝรั่งอีกหนึ่งพันห้าร้อยหมู่ทางเป่ยเฉิงนั้น มีเปาอีฝานและผู้บัญชาการโต้วคอยคุมอยู่ ช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวได้มาก
ระหว่างนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวยังเจียดเวลาว่างไปเยี่ยมสองพี่น้องตระกูลเฝิง ทั้งเฝิงจิ้งเหวินและเฝิงจิ้งซูดีขึ้นมากแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวอนุญาตให้นางลงจากเตียงมาเดินเล่นได้พอประมาณ ลูกในครรภ์ของเฝิงจิ้งเหวินยังคงอ่อนแอ เมิ่งเชี่ยนโยวย้ำแล้วย้ำอีกว่าห้ามลงจากเตียงเด็ดขาด ส่วนเหวินซื่อนั้นจะไปร้านยาเต๋อเหรินก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น เขาคอยดูแลเฝิงจิ้งเหวินอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา คอยพูดคุยเป็นเพื่อนนาง ทำให้นางสบายใจขึ้น
ส่วนนายท่านเหวินนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวไปที่บ้านหลายครั้งแต่ก็ไม่พบเขา แต่ได้ยินเหวินซื่อว่า ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา นายท่านเหวินก็ดูแก่ตัวลงไปมาก เขาแทบจะไม่ออกจากห้องของตนเองเลย นอกเสียจากว่าจะมาถามไถ่อาการของเฝิงจิ้งเหวินเป็นครั้งคราว
เขาทำให้ลูกชายกลายเป็นคนเสียสติ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องคอยให้ผู้อื่นมาปรนนิบัติดูแล น่ากลัวว่าความรู้สึกผิดเช่นนี้จะอยู่ในใจของนายท่านเหวินไปชั่วชีวิต
พระชายาฉีเองก็ไม่มีเวลาว่างเช่นกัน นอกจากจะต้องจัดเตรียมชุดวันเข้าพิธีของทั้งสองแล้วนั้น ยังต้องคอยหาเวลาไปเยี่ยมเฝิงจิ้งซูที่จวนแม่ทัพอีกด้วย ด้วยเพราะเป็นห่วงลูกในครรภ์ของนาง งานที่ยุ่งที่สุดนั้นเห็นทีจะเป็นการจัดซื้อเครื่องสินสอดของหวงฝู่อี้เซวียน จนทำให้หายหน้าไปจากจวนอยู่ช่วงหนึ่ง
อ๋องฉีเป็นกังวลเรื่องสุขภาพของนาง แต่ก็ไม่บอกกับนางโดยตรง จึงเสแสร้งทำทีว่ากำลังโกรธอยู่ และสั่งนางให้พักอยู่ในจวนก่อนสองสามวัน แล้วค่อยออกไปอีก
พระชายามองคนทะลุปรุโปร่ง นางเข้าใจความหมายของเขาดี ไม่ได้รู้สึกเคือง แต่กลับยิ้มและตอบรับไป
แล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลง มันฝรั่งชุดแรกจากเป่ยเฉิงเติบโตสมบูรณ์แล้ว คนงานช่วยกันขุดหัวมันฝรั่งขึ้นมา เหลือไว้เพียงเมล็ดพันธุ์มันฝรั่งจำนวนสองพันหมู่ จำนวนที่เหลือนั้นให้หวงฝู่อี้เซวียนไปรายงานฝ่าบาท ฝ่าบาทพอพระทัยเป็นอย่างมาก จึงได้สั่งให้นำรถม้าหลายร้อยคันมาขนย้ายมันฝรั่งไปยังหลินเฉิงในคราเดียว และมีรับสั่งให้ถอนคำสั่งช่วยเหลือจากหลินเฉิงทันที
ชาวบ้านในหลินเฉิงต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญเสียงดัง แม้ว่าในวังจะมีอาหารมาแจกจ่ายแต่ก็เพียงพอแค่สำหรับต้มโจ๊กกินเท่านั้น บัดนี้มีมันฝรั่งแล้ว คงจะได้กินอิ่มกันเสียที และเป็นเพราะเหตุนี้เอง ก็ยิ่งปลาบปลื้มใจเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอย่างยิ่ง จนแทบจะทำป้ายชื่อนางมาเคารพที่บ้านกันแล้ว
นอกจากนี้คนจนในเมืองเป่ยเฉิงก็ดีใจและซาบซึ้งพอกัน หลายเดือนมานี้ทุกคนทำงานได้เงินกันไปจำนวนไม่น้อย บางบ้านที่ขยันทำงานหน่อย รวมๆ แล้วได้ถึงหลายสิบตำลึงเลยทีเดียว หากเป็นเมื่อก่อนเงินจำนวนเพียงนี้ต่อให้พวกเขาใช้เวลาทั้งชาติก็อาจจะหามาไม่ได้
ไม่นาน ชื่อเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังกระฉ่อนไปทั่ว เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้คนในหลินเฉิงและเมืองหลวง ในกลุ่มคนเหล่านี้ บ้างก็อิจฉา บ้างก็มาประจบนาง บ้างก็ดูถูก และยังมีคนที่อยากจะเห็นนางตายไปเลยด้วยซ้ำ คนที่อยากให้นางตายๆ ไปนั้น นอกจากตระกูลของเฮ่อจางแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งซึ่งใครก็คาดไม่ถึง
วันนี้อากาศแจ่มใส แสงแดดส่องจ้า ร้อนเสียจนคนเฝ้าประตูของจวนมหาเสนาบดียืนสัปหงกอยู่หน้าประตู ขอทานผู้หนึ่ง ผมยาว และตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเดินไปเดินมาอยู่ด้านหน้าพวกเขา ตะโกนสั่งพวกเขาด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟังว่า “ไปบอกคุณชายว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
คนเฝ้าประตูตื่นขึ้นมาเพราะความเพราะกลิ่นเหม็นฉุน เมื่อเงยหน้ามอง พบว่าตรงหน้าเป็นเพียงขอทานสกปรกผู้หนึ่ง ทำให้ตกใจจนถีบนางกระเด็นไปอีกทาง ยกมือบีบจมูก อีกมือก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาทำท่าปัดไล่นางไป “ไปไปไป เจ้าขอทานเหม็นเน่า ไปไกลๆ เลยไป ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า”
แต่ขอทานไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ชายตามองเขาเล็กน้อยและพูดย้ำว่า “ไปรายงานคุณชายใหญ่ว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
เมื่อเห็นว่านางไม่ไปไหน คนเฝ้าประตูจึงย่นคิ้วลง พูดจาไม่ดีใส่นางว่า “เจ้าเห็นจวนมหาเสนาบดีของเราเป็นสถานที่แบบไหนกัน ขอทานเหม็นเน่าอย่างเจ้าจะมาเมื่อใดก็ได้อย่างนั้นหรือ และยังจะมาขอเข้าพบนายท่านของพวกเราอีก ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม หากยังไม่ไปอีกล่ะก็ อย่าโทษว่าข้าใจร้ายโบยเจ้าจนตายนะ”
ขอทานมีท่าทีร้อนใจขึ้น นางขยับผมที่ดูท่าทางไม่ได้สระมาหลายวัน จนบัดนี้เหนียวติดกันเป็นก้อน เผยใบหน้าของตนเองออกมา ให้คนเฝ้าประตูได้เห็น “ดูให้ชัดๆ นะ นี่ข้าเอง”
กลิ่นเหม็นเน่าลอยมาอีกครั้ง คนเฝ้าประตูทนไม่ไหวจึงถอยหลังไปเล็กน้อย ไม่แม้แต่จะชายตามามองหน้านางเลย พูดว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะโบยเจ้าจริงๆ แล้ว” ไม่พูดเปล่า เขาเดินไปยังอีกฝั่งของประตู หยิบกระบองมาถือไว้ในมือ
ขอทานถอยหลังออกไปตามสัญชาติญาณ แต่ก็ยังไม่ถอดใจ นางชี้หน้าตนเอง และพูดอย่างรีบร้อนว่า “เจ้าดูให้ดีสิ ข้าเอง ข้าเป็นภรรยารองของคุณชายใหญ่อย่างไรเล่า” พูดจบ ยังอ้าปากกว้างให้คนเฝ้าประตูได้เห็นปากของนางที่ฟันหายไปสองซี่
ไม่รู้ว่าไม่ได้แปรงฟันนานเท่าใดแล้ว เพียงนางอ้าปาก ปากของนางส่งกลิ่นเหม็นเน่าเสียยิ่งกว่าตัวของนางอีก คนเฝ้าประตูทนไม่ไหวแล้ว ยกกระบองในมือขึ้นมา “รีบไสหัวไป!”
ขอทานรีบถอยหลังไปหลายก้าว ราวกับว่ามักจะถูกทำร้ายอยู่เป็นประจำ มองมาที่คนเฝ้าประตู ในดวงตามีความรู้สึกโกรธแค้น “ข้ามีเรื่องสำคัญอยากจะมาพบคุณชายใหญ่ หากเจ้าทำให้ข้าเสียเวลา เจ้านั่นแหละจะเป็นผู้เดือดร้อน”
ขอทานถอยออกห่างไป กลิ่นเหม็นสาบก็ได้จางหายไปด้วย คนเฝ้าประตูเอามือที่บีบจมูกอยู่ออก หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด แล้วจึงพูดว่า “โอย ปากเหม็นจริงเชียว ขอทานเหม็นเน่าผู้นั้นจะมีเรื่องอะไรมาขอพบกับคุณชายใหญ่ของเราได้ รีบไสหัวไปซะ อย่าให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าอีก มิเช่นนั้นข้าจะทุบเจ้าจริงๆ”
“ข้ามีเรื่องใหญ่เกี่ยวกับเมิ่งเชี่ยนโยวจะมาบอก คุณชายใหญ่จะต้องสนใจเป็นแน่ หากเจ้าไม่รีบเข้าไปรายงาน ทำลายโอกาสที่ดีนี้ไป คุณชายใหญ่ไม่ให้อภัยเจ้าแน่”
เมื่อได้ยินนางพูดถึงเมิ่งเชี่ยนโยว คนเฝ้าประตูเกิดอาการลังเลเล็กน้อย ปัญหาระหว่างเมิ่งเชี่ยนโยวและจวนมหาเสนาบดีนั้นไม่น้อยเลย เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนไม่เพียงแต่ทำให้มหาเสนาบดีเสียหน้า แต่ยังเล่นงานคุณชายใหญ่จนเกือบตาย คนในจวนพูดถึงนางทีไรก็ต้องรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา ขอทานตรงหน้ากลับพูดอะไรเช่นนี้ออกมา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นผู้กุมความลับของเชี่ยนโยวก็ได้
แต่ว่าก็ลังเลเพียงครู่เท่านั้น ก็คิดได้ว่าขอทานพวกนี้เดินเร่ร่อนไปทั่ว อาจจะไปบังเอิญได้ยินอะไรมา แล้วมาอ้างซี้ซั้วเพื่อขอรางวัลก็เป็นได้ หากตนยอมให้นางเข้าไปในบ้านแล้วทำให้คุณชายใหญ่ต้องตกใจ และถึงตอนนั้นหากนางพูดเรื่องไร้สาระขึ้นมา อย่างนั้นชีวิตของเขาก็คงจะต้องจบลงพร้อมกับนางเป็นแน่ คิดถึงตรงนี้ เขาก็ได้หยิบกระบองขึ้นมาไล่นางไป
ขอทานได้ปัดผมของตนเองออกอีกครั้ง ชี้หน้าตัวเองให้เขามองให้ชัดเจน “ข้าเอง ภรรยาน้อยของคุณชายใหญ่ หลิวลี่ มาจากตำบลชิงซีอย่างไรเล่า เป็นคนบ้านเดียวกับเมิ่งเชี่ยนโยว เติบโตมาด้วยกัน ข้ากุมความลับของนางอยู่” พูดจบ ก็ยังคงอ้าปากกว้าง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ให้เขาได้เห็นว่าฟันของตนหายไปสองซี่
คนเฝ้าประตูนึกขึ้นได้ทันทีว่าเมื่อห้าปีก่อน มีคนหวังประจบคุณชายใหญ่โดยการส่งสาวงามนางหนึ่งมาเป็นภรรยาน้อย ตอนนั้นท่านดีใจมาก เข้าหอกับนางคืนนั้นเลย ใครจะไปคิดว่ากลางดึกเขาจะโกรธจนไล่หญิงสาวออกมานอกห้อง หลังจากนั้นคนในจวนถึงได้รู้ว่าหญิงสาวฟันหักไปสองซี่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เมื่อถูกคุณชายใหญ่พบเข้าจึงได้อารมณ์เสียเป็นอย่างมาก และทำให้ไล่นางออกมา
เมื่อหลิวลี่เห็นว่าเขาจำตนได้แล้ว จึงใช้เสียงแหบแห้งของตนพูดว่า “ที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริง เจ้าไปบอกคุณชายใหญ่ ความลับที่ข้ามาบอกสามารถทำให้ชีวิตของเมิ่งเชี่ยนโยวจบสิ้นได้แน่นอน”
“เหตุใดข้าจะต้องเชื่อเจ้าด้วย ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคำพูดของเจ้าเป็นความจริงหรือไม่”
สายตาของหลิวลี่มีรังสีความโกรธแผ่ออกมา สีหน้าก็เปลี่ยนไป เดินเข้ามาอีกก้าว พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดฟันของข้าจึงหักไปสองซี่ ก็เพราะนางสั่งคนมาทำร้ายข้า หากไม่ใช่เพราะนาง บัดนี้ข้าก็คงยังเป็นภรรยาน้อยของคุณชายใหญ่อยู่ นั่งชูคออยู่ในจวนนี้ กินอิ่มนอนอุ่น มีสาวใช้ มีคนคอยปรนนิบัติดูแล และคงไม่ต้องมาถึงวันที่ข้าต้องเร่ร่อนขอข้าวกินไปทั่ว ข้าเกลียดนาง อยากจะกินเนื้อดื่มเลือดของนางให้สาแก่ใจ” คงเพราะไม่ได้ระบายความในใจเกี่ยวกับเมิ่งเชี่ยนโยวต่อหน้าผู้อื่นมานาน นางพูดโดยใส่อารมณ์จนทำให้น้ำลายกระเด็นไปทั่ว
คนเฝ้าประตูถูกน้ำลายกระเด็นใส่ ในใจรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมาก อาหารเมื่อเช้าวนเวียนอยู่ในท้อง เกือบจะอาเจียนออกมาเสียแล้ว
หยิบกระบองขึ้นชี้ไปยังหลิวลี่ กดความรู้สึกคลื่นไส้เอาไว้และพูดว่า “ถอยไปซะ ถอยไป ออกไปรออยู่นอกประตูไกลๆ โน่น”
หลายปีมานี้หลิวลี่อยู่พวกเดียวกับขอทานคนอื่น ชินกับกลิ่นเช่นนี้แล้ว ตนเองนั้นไม่รู้สึกอะไร แต่ว่าเมื่อเห็นกระบองที่อยู่ตรงหน้าของตนนั้น นางก็กลัวจะถูกตีจึงได้รีบถอยหลังกลับไปยังที่ที่เขาสั่งไว้
คนเฝ้าประตูยังไม่ค่อยวางใจเท่าใด ยกกระบองขู่นางว่า “ยืนอยู่ตรงนั้นห้ามขยับไปไหน ข้าจะไปรายงานคุณชายใหญ่ ดูว่าเขาจะยอมพบเจ้าหรือไม่ หากข้ากลับมาแล้วพบว่าเจ้าไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิม ข้าจะใช้กระบองนี้ฟาดเจ้า”
เมื่อได้ยินว่าเขาจะไปรายงานเฮ่อเหลี่ยนทางหลิวลี่ก็ดีใจจนพยักหน้ารัว ให้คำสัญญาว่า “ข้าจะอยู่ตรงนี้ จะไม่ขยับเลย”
คนเฝ้าประตูจึงวางกระบองลง และเดินตรงไปยังเรือนของเฮ่อเหลี่ยน แต่ในใจก็ยังคงสงสัยว่าหากคุณชายใหญ่พบหลิวลี่แล้วนางพูดแต่เรื่องไร้สาระ คุณชายใหญ่จะสั่งให้คนเอากระบองมาทุบเขาจนตายหรือไม่
ในใจก็ยังคงสงสัยอยู่ เดินมาถึงหน้าเรือนของเฮ่อเหลี่ยนแล้วจึงหยุดอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เมื่อทำใจพร้อมแล้วก็เดินเข้าไปด้านใน ถามสาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องว่า “อวิ๋นซี คุณชายใหญ่อยู่หรือไม่ ด้านนอกจวนมีคนขอเข้าพบคุณชาย”