ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 213-2 มีความลับจะบอก
ตลอดการเดิน กลิ่นของหลิวลี่ฟุ้งกระจายไปทั่ว คนใช้ที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างรู้สึกเหม็นจนต้องเอามือปิดจมูกไว้ จ้องมองนายประตูด้วยความไม่เข้าใจ เหตุใดเขาจึงต้องพาขอทานเข้ามาในจวน
เฮ่อเหลี่ยนรออยู่ในบริเวณบ้าน ได้กลิ่นเหม็นเน่ามาแต่ไกล กำลังจะดุด่าคนรับใช้ นายประตูก็ได้เดินเข้ามา รายงานด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “คุณชายขอรับ นางมาแล้วขอรับ”
เฮ่อเหลี่ยนโบกมือ “ให้นางเข้ามา”
หลิวลี่ที่เดินตามาด้านหลังได้ยินเช่นนี้ ก็จัดผมเผ้าที่เต็มไปด้วยเหาของนาง วางท่าทีสง่างาม เดินไปอย่างช้าๆ ไปยังตรงหน้าของเฮ่อเหลี่ยน ก้มหน้าลง เผยให้เห็นคอสีดำที่ไม่ได้ชำระล้างมาหลายปีของนาง “ข้าน้อยขอคารวะท่าน…”
แหวะ เฮ่อเหลี่ยนเหม็นจนอาเจียนออกมา อาเจียนใส่เต็มหัวและหน้ารวมทั้งลำตัวของหลิวลี่
หลิวลี่อึ้งไป แต่เฮ่อเหลี่ยนกลับยกขาขึ้นถีบนางกระเด็น “ปัดโถ่เว้ย ไสหัวออกไป”
แม้ว่าเฮ่อเหลี่ยนจะไม่มีวิชาการต่อสู้ แต่อย่างไรเขาก็เป็นชายร่างกำยำ ถีบหลิวลี่เข้าไปเต็มแรงเช่นนี้ ทำให้นางกระเด็นหงายหลังไป
นายประตูยืนอยู่ด้านหลังนางพอดี ไม่ทันเอนหลบ ทำได้เพียงมองนางล้มลงใส่ตน และล้มลงไปบนพื้นพร้อมกับนาง หลังศีรษะกระแทกพื้นเสียงดัง ตุ้บ สายตาเริ่มพร่ามัว และหมดสติไปในที่สุด
ทั้งหมดเกินขึ้นเร็วมาก ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นยังคงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขนาดเสียงกรีดร้องก็ยังไม่มีเล็ดลอดออกมา
หลิวลี่นอนทับอยู่บนร่างของนายประตู รู้สึกไม่ดี จึงรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา ไม่กล้าเข้าใกล้เฮ่อเหลี่ยนอีก แต่นางกลับทำท่าน้อยใจ และพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “คุณชายใหญ่!”
หญิงสาวที่ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวเหม็นหึ่ง ใบหน้าสกปรกเลอะเทอะ บนหัวยังมีสิ่งสกปรกไหลลงมา กลับทำท่าทีออดอ้อน และยังดัดเสียงพูดจาออดอ้อนตนอยู่ ต่อให้จิตใจของเฮ่อเหลี่ยนเข้มแข็งเพียงใดก็อดทนไม่ไหว ตะโกนด้วยความโมโหว่า “โบยนังโสโครกนี้ให้ตาย”
บ่าวรับใช้ตอบรับ แต่กลับไม่มีคนวิ่งเข้ามา
หลิวลี่อึ้งไป
เฮ่อเหลี่ยนโกรธมาก พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “พวกขี้ข้าเอ้ย ยังไม่รีบลงมืออีก อยากให้ข้าเอาพวกเจ้าไปขายให้หมดรึไง”
ตอนนี้ถึงได้มีคนวิ่งเข้ามา โบกไม่โบกมือรอบตัวหลิวลี่อยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่มีที่ว่างที่จะจับตัวนางได้เลย โชคดีที่มีคนหนึ่งฉลาด ใช้ไม้กวาดกดหลิวลี่ลง
เมื่อเห็นว่าไม้กวาดกำลังจะตีลงบนหัวของตนเอง ด้วยความลืมตัว จึงได้ลืมท่าทีออดอ้อนของตนไป รีบตะโกนว่า “คุณชายเจ้าคะ ข้ามีเรื่องที่จะเอาชีวิตเมิ่งเชี่ยนโยวได้มาบอกท่าน”
พูดจบ ไม้กวาดในมือของบ่าวรับใช้ก็หล่นลงบนตัวนาง เสียงห้ามของเฮ่อเหลี่ยนก็ดังขึ้นพร้อมกัน “หยุดก่อน!”
แต่สายไปเสียแล้ว หลิวลี่ถูกด้ามไม้กวาดฟาดเข้า ความเจ็บแล่นผ่านใบหน้านาง ร่างนางค่อยๆ ล้มลงบนพื้น
เฮ่อเหลี่ยนรีบเดินเข้ามาถีบคนที่ถือไม้กวาดทันที “ใครใช้ให้เจ้าด่วนลงมือเช่นนี้”
บ่าวรับใช้ไม่กล้าโต้เถียง ยืนอยู่อย่างเงียบๆ
เฮ่อเหลี่ยนเดินมาหาหลิวลี่โดยไม่สนใจเรื่องกลิ่น ถามด้วยความเย่อหยิ่งว่า “เจ้ามีเรื่องสำคัญเช่นนี้จะมาบอกข้าจริงหรือ”
ในที่สุดเฮ่อเหลี่ยนก็ติดกับจนได้ หลิวลี่ปัดปอยผมที่บังหน้าออก เผยใบหน้าสกปรกมอมแมมให้เฮ่อเหลี่ยนได้เห็น เงยหน้าขึ้น อ้าปาก เผยให้เห็นฟันดำสนิท และเผยรอยยิ้มที่ตนคิดว่าสวยที่สุดออกมา “คุณชายเจ้าขา ข้าจะกล้าโกหกท่านได้อย่างไร ข้ามั่นใจมากเจ้าค่ะ ข้าและเมิ่งเชี่ยนโยวโตมาด้วยกัน ความลับทุกอย่างของนางข้ารู้ดี ขอแค่ข้าได้บอกกับท่านแล้ว ท่านก็จัดการนางได้อย่างง่ายดาย”
หลิวลี่พูดถึงขนาดนี้แล้ว อย่างไรก็คงไม่กล้าหลอกเขา เฮ่อเหลี่ยนจึงถามไปตรงๆ ว่า “ความลับอะไร”
หลิวลี่หัวเราะ จัดระเบียบร่างกายตนเอง พูดว่า “คุณชายใหญ่เจ้าคะ ความลับนี้ข้าจะบอกท่านง่ายๆ ไม่ได้ นอกเสียจากว่าท่านจะยอมรับข้อตกลงสองสามอย่าง”
เฮ่อเหลี่ยนอยากถามนางว่าข้อตกลงคืออะไร แต่ทนไม่ได้กับกลิ่นเหม็นบนตัวนาง ต่อให้อยากมองข้ามไปก็ทำไม่ได้ เงยหน้าขึ้น และสั่งไปว่า “ใครก็ได้ เอาตัวนางไปล้างทำความสะอาดที ชำระให้สะอาด หาเสื้อผ้าให้นางเปลี่ยน แล้วค่อยพาตัวมาให้ข้า”
อวิ๋นซีตอบรับ เดินเข้ามา ก้มหัวลงพูดอย่างนอบน้อมว่า “แม่นางหลิว เชิญตามข้ามาเถอะ”
บ่าวรับใช้ที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกชื่นชมอวิ๋นซีที่ไม่เลือกปฎิบัติไม่ว่ากับผู้ใด หญิงผู้นี้ตัวเหม็นหึ่งเช่นนี้ เพียงอยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้เหม็นจนไม่กล้าหายใจ แต่นางกลับเดินเข้าไปหานางโดยไม่กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ
แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ในใจของอวิ๋นซีแทบคลั่ง หากไม่ใช่เป็นเพราะเฮ่อเหลี่ยนอยู่ตรงนั้น นางคงจะต้องสั่งให้คนเอาน้ำเย็นมาสาดใส่นางก่อนแน่นอน แต่เฮ่อเหลี่ยนอยู่ตรงนั้น นางไม่กล้า และก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงอดกลั้นกระเพาะที่กำลังกระอักกระอ่วนของตนเอาไว้ เชื้อเชิญนางให้เดินตามตนไปอย่างเสียไม่ได้
คิดไม่ถึงเลยว่าหลิวลี่จะใช้มารยา ยื่นมือไปให้เฮ่อเหลี่ยน พูดว่า “คุณชายเจ้าขา ตัวข้าล้มเจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ ท่านพยุงข้าหน่อยนะเจ้าคะ”
เฮ่อเหลี่ยนตอบนางด้วยฝ่าเท้า “เจ้าคนชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไร หากสิ่งที่เจ้าพูดมาไม่สามารถเล่นงานเมิ่งเชี่ยนโยวจนถึงตายได้ ข้าจะถลกหนังเจ้าให้หมากิน”
หลิวลี่โดนถีบจนร่างบิดเบี้ยว นางไม่กล้ามารยาอีก ลุกขึ้นเดินตามอวิ๋นซีออกไปอย่างว่าง่าย
ต่อให้นางเดินออกไปแล้ว แต่เฮ่อเหลี่ยนก็ยังรู้สึกว่าบริเวณบ้านของตนยังเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น จึงสั่งไปว่า “ทำความสะอาดเรือนให้เรียบร้อย เตรียมต้มน้ำร้อนไว้ ข้าจะไปอาบน้ำ”
บ่าวรับใช้ตอบรับ รีบจัดการทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนที่เพิ่งจะปลูกมันฝรั่งรอบสองเสร็จเรียบร้อยไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนมหาเสนาบดีเลยสักนิด ยังคงอยู่ในจวนอ๋องพูดคุยกับพระชายาเรื่องที่จะให้รับครอบครัวของเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาหารือเรื่องวันแต่งงาน
พระชายาพูดว่า “อยากจะพบครอบครัวเจ้ามานานแล้ว วันนี้เป็นโอกาสดี ใช้โอกาสนี้รับพวกเขามาที่เมืองหลวง ข้าจะขอบคุณที่หลายปีมานี้พวกเขาดูแลอี้เซวียนเป็นอย่างดีมาตลอด และยังอบรมสั่งสอนเขาเป็นอย่างดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางพูดว่า “ช่วงนี้หม่อมฉันกับอี้เซวียนจะต้องไปที่หลินเฉิง เพื่อดูแลชาวบ้านให้เก็บเกี่ยวมันฝรั่งจนเสร็จ หลังกลับมาแล้ว พวกเราทั้งสองจะกลับบ้านไปรับพวกเขามาเองเพคะ”
พระชายายิ้มพยักหน้า “ดีแล้ว พาคนแก่และเด็กมาด้วยให้พร้อมหน้า ในจวนอ๋องมีห้องว่างเต็มไปหมด เพียงพอให้พวกเขามาพักอาศัย”
รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวหายไป “พวกเขาเป็นคนบ้านนอก หากอาศัยอยู่ในจวนคงจะต้องนอนไม่หลับเป็นแน่ ท่านอย่าทำให้พวกเขาลำบากใจเลยเพคะ”
พระชายาก็หัวเราะไปกับนาง พูดว่า “ก็ได้ ไม่อยู่ก็ไม่อยู่ แต่ว่าจะต้องเอาเด็กๆ ที่บ้านมาให้หมด ข้าได้ยินมาว่าเจ้ายังมีน้องชายคนหนึ่ง ฉลาดเป็นกรด ปีนี้จะต้องสอบถงเซิงแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตีศีรษะตนเองเบาๆ พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “หากท่านไม่พูด หม่อมฉันก็คงจะลืมไปแล้ว ปีนี้เจี๋ยเอ๋อร์จะต้องสอบถงเซิงจริงๆ ด้วย ดูจากวันเวลาแล้ว น่าจะสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าสอบผ่านหรือไม่ กลับไปแล้ว หม่อมฉันจะรีบเขียนจดหมายส่งไปถามที่บ้านนะเพคะ อีกอย่างอี้เซวียนยังได้ให้สัญญากับเขาว่า ถ้าหากเขาสอบติดแล้ว จะส่งเขาเข้าไปเรียนที่สถาบันกั๋วจื่อเจี้ยน”
น้ำเสียงของพระชายาหนักแน่นว่าเดิม “อย่างนั้นก็รีบเขียนจดหมายเถิด บอกเขาว่า ต่อให้สอบไม่ผ่านพวกเราก็ส่งเขาไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนได้ เรื่องนี้เรื่องเล็กน้อย”
เรื่องที่เจี๋ยเอ๋อร์จะไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้บังคับเขา ทั้งหมดต้องดูความสมัครใจของเมิ่งเจี๋ยเอ๋อร์เท่านั้น หากเขาเต็มใจ ด้วยฐานะของอี้เซวียน จะส่งเขาเข้าไปเรียนในนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่หากเขาไม่ยอม นางเองก็จะไม่บังคับ วันนี้เพียงแต่พูดไปเท่านั้น แต่พระชายากลับตอบรับอย่างไม่ลังเล นางจึงรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก พูดทั้งรอยยิ้มว่า “เพคะ หม่อมฉันจะเขียนจดหมายไปถามความเห็นของเขา หากเขายินยอมแล้ว มาเมืองหลวงครั้งนี้ หม่อมฉันก็จะไม่ให้เขากลับไปแล้ว”
พระชายาพยักหน้ายิ้มๆ พูดเสริมอีกประโยคว่า “ถึงตอนนั้นเจ้าและเซวียนเอ๋อร์ก็แต่งงานกันแล้ว ให้เขาอาศัยอยู่ในจวนก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ่งไม่กล้าขัดใจ
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างๆ
ใช้น้ำไปทั้งหมดห้าถัง และใช้ผ้าอุดจมูกไว้ สาวใช้ที่ปรนนิบัติหลิวลี่ ขัดผิวนางจนผิวชั้นนอกแทบจะหลุดลอกออกมา ถึงจะช่วยนางชำระร่างกายให้สะอาดได้ นางเดินออกมาจากถังอาบน้ำ เช็ดตัวจนแห้ง ยังไม่ได้สวมเสื้อผ้า ร่างกายเปล่าเปลือยของหลิวลี่รู้สึกสบายอย่างไม่เคยได้รู้สึกมานาน นางยืนอยู่กับที่ ผายมือออกกว้าง รอให้สาวใช้สวมเสื้อผ้าให้นาง
สาวใช้จนปัญญา หยิบเสื้อชั้นในขึ้นมาหวังจะสวมให้นาง
แต่หลิวลี่กลับตะคอกใส่นางด้วยความโกรธ “ตาบอดหรืออย่างไร อีกครู่ข้าจะต้องรับใช้คุณชายนะ จะลำบากสวมเสื้อผ้าให้ข้าทำไมกัน ใส่ชุดคลุมให้ข้าก็พอ”
สาวใช้อึ้งไป เบิกตาจ้องมองนางหลายครั้ง จึงได้หันไปมองอวิ๋นซีอย่างงุนงง
อวิ๋นซีขมวดคิ้ว แต่กลับพยักหน้าเล็กน้อย
สาวใช้วางเสื้อชั้นในลง และหยิบชุดคลุมมาสวมใส่ให้นาง แต่หลิวลี่ก็ยังตวาดนางอีกครั้ง “ข้าไม่ให้เจ้าใส่ชุดชั้นใน แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ใส่เสื้อซับนี่ พวกคนโง่ ไม่รู้ว่าใครตาถั่วซื้อตัวคนอย่างเจ้ามา”
เมื่อเห็นท่าทางโอหังของนาง ต่อให้เป็นคนที่มีนิสัยดีเพียงใดก็อดไม่ได้ อวิ๋นซีพูดเสียงเย็นชาว่า “หากแม่นางหลิวมีความต้องการอะไร ได้โปรดพูดมาให้ชัดเจนในทีเดียวเถอะ พวกเราโง่เขลา เดาใจของเจ้าไม่ถูกหรอก หากเจ้าคิดว่านั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ถูกใจ อย่างนั้นคงต้องเปลือยร่างออกไปพบคุณชายแล้ว”
“นี่เจ้า…” หลิวลี่ถูกย้อนจนพูดไม่ออก ครู่หนึ่งจึงได้พูดกับสาวใช้ด้วยความโกรธว่า “ใส่เสื้อซับให้ข้า จากนั้นก็เอาชุดคลุมสีชมพูให้ข้าใส่”
“ขออภัยด้วย แม่นางหลิว เจ้าไม่ใช่คนของจวนเรา ในจวนของเราไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าไว้สำหรับเจ้า ชุดพวกนี้เป็นของข้า หากเจ้าเต็มใจใส่ข้าก็จะมอบให้เจ้า แต่หากไม่ยอม อย่างนั้นก็ขออภัยด้วย คงจะต้องให้เจ้าตราหน้าเปลือยร่างออกไปพบคุณชายแล้วล่ะ”
ดูจากฐานะของนาง น่าจะเป็นหัวหน้าสาวใช้ในจวน หลิวลี่ไม่กล้ายั่วโมโหนาง แต่ก็ยังไม่หยุดพูด “รอให้ข้าได้รับความเอ็นดูจากคุณชายเสียก่อนเถิด ข้าจะจับพวกไม่เคารพเจ้านายอย่างพวกเจ้าไปขายเสียให้หมด”
อวิ๋นซีไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “รอให้แม่นางหลิวได้เป็นเจ้านายแล้วค่อยว่ากันเถิด เมื่อถึงตอนนั้นแล้วจะทุบตีด่าทอ หรือจะเอาไปขาย ก็ตามแต่ใจเจ้า แต่ว่าตอนนี้เจ้าสวมเสื้อผ้าให้ดีแล้วรีบไปพบคุณชายก่อนเถิด ให้เขารอนานๆ แล้วข้าเกรงว่าคุณชายจะโกรธเอาได้”
เมื่อนึกถึงที่เฮ่อเหลี่ยนทำต่อนางเมื่อก่อน ร่างของหลิวลี่ก็สั่นเทาขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่พูดอะไรอีก ยอมให้สาวใช้ผู้นั้นนำเสื้อผ้าที่ค่อนข้างหละหลวมมาสวมให้ตน
นานแล้วที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเช่นนี้ ต่อให้ไม่พอดีตัว แต่หลิวลี่ก็ดีใจเป็นอย่างมาก นางยืนหมุนอยู่กับที่ครู่ใหญ่ ถามทั้งสองว่า “สวยหรือไม่”
สาวใช้ก้มหน้าก้มตา ในใจดูแคลนนางเป็นอย่างมาก สมกับเป็นขอทานขอข้าวไปวันๆ เสียจริง เพียงแค่สวมชุดเก่าๆ ก็ยังดีใจถึงเพียงนี้
แต่อวิ๋นซีกลับตอบด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “ไปเถิด แม่นางหลิว คุณชายกำลังรออยู่”
พอไม่ได้คำตอบจากสาวใช้ทั้งสอง หลิวลี่เบ้ปากอย่างไม่พอใจ จำความแค้นครั้งนี้ไว้ เดินตามอวิ๋นซีมายังเรือนใกล้ห้องของเฮ่อเหลี่ยน
เฮ่อเหลี่ยนอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอจนทนไม่ไหวแล้ว ตอนที่กำลังจะสั่งให้คนไปจับตัวหลิวลี่มานั้น ก็เห็นทั้งสองเดินเข้ามา จึงได้ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เหตุใดจึงช้าเช่นนี้”
“คุณชายได้โปรดอภัยด้วย แม่นางหลิวอาบน้ำใช้เวลาค่อนข้างนานเจ้าค่ะ” อวิ๋นซีโน้มตัวลง พูดอย่างนอบน้อม
เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวหลิวลี่เต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคล สกปรกจนดูไม่ได้นั้น เฮ่อเหลี่ยนจึงไม่ได้กล่าวโทษนาง โบกมือ “ออกไปเถอะ หากไม่มีคำสั่งจากข้า ก็ห้ามให้ใครหน้าไหนเข้ามาใกล้บริเวณนี้เด็ดขาด”
อวิ๋นซีตอบรับ เดินออกไปด้านนอก ปิดประตูลงอย่างเบามือ
สายตาเฮ่อเหลี่ยนมองมาทางหลิวลี่ ถามนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พูดมาเถิดว่าเจ้ามีความลับอะไร”