ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 22-1 ขอทาน
คำพูดยังไม่ทันได้ตกลงไป วัตถุแปลกปลอมบางอย่างก็บินเข้ามาทางเขา
หวงฝู่อวี้เบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณ รู้เพียงแต่ว่ามีของบางอย่างบินผ่านหูไป ก่อนที่เสียงดัง “แพล้ง” จะดังก้องไปทั่วห้อง ชายหนุ่มมองลงไปบนพื้น บัดนี้เบื้องล่างเศษกระเบื้องกระจัดกระจายไม่เหลือชิ้นดี
หลังจากมองมันอย่างตั้งใจอีกครั้งหนึ่งถึงได้รู้ว่าที่แท้มันก็คือถ้วยชานี่เอง หวงฝู่อวี้ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยเสียงดัง “นังตัวดี จิตใจเจ้าอำมหิตนัก ถึงขั้นกล้าเขวี้ยงถ้วยชาใส่ข้า โชคดีที่ข้าหลบทัน ไม่อย่างนั้น…”
ในตอนนี้เองถ้วยน้ำชาอีกใบก็บินไปอีกครั้ง คราวนี้หวงฝู่อวี้ไม่มีเวลาเบี่ยงหลบ ดังนั้นเขาจึงถูกมันจึงกระแทกเข้าที่ตัวเขาอย่างจัง น้ำชาในถ้วยไหลเปรอะไปทั่วทั้งอาภรณ์ของเขา หยดน้ำหยดแล้วหลดเล่าซึมผ่านไปตามแนวชายเลื้อก่อนจะหยดลงสู่พื้นด้านล่าง
หวงฝู่อวี้มองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตะลึงงัน
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงถือถ้วยน้ำชาที่เต็มไปด้วยน้ำไว้ในมือของนาง ดวงตาเรียวจ้องมองไปทางเขาอย่างเงียบๆ ราวกับว่าตราบใดก็ตามที่เขาเปล่งเสียงออกมา ถ้วยน้ำชาในมือใบนั้นก็จะลอยออกไปอีกครั้ง
หวงฝู่อวี้หันหน้าไปมองหวงฝู่อี้เซวียน
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนบัดนี้ฉายแววเย็นชาเล็กน้อย เขานั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ
หวงฝู่อวี้ทั้งงุนงงทั้งสับสน ถามไปด้วยแววตาว่างเปล่าว่า “พี่ใหญ่ นาง…”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ น้ำเสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน “อวี้เอ๋อร์ เจ้าลืมที่ข้าบอกเจ้าไปหมดแล้วใช่หรือไม่?”
หวงฝู่อวี้ตระหนักได้ในทันที พี่ใหญ่เคยเตือนเขาไว้แล้วว่าหากว่าเจอเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้งอย่าได้เรียกขานนางตามอำเภอใจ
ริมฝีปากเม้มลงอย่างอดกลั้น หวงฝู่อวี้เอ่ยแก้ตัวออกไปว่า “ก็ข้าไม่พอใจที่ท่านเอาขนมที่ข้าอุตส่าห์ยกมาให้ท่านเป็นพิเศษมอบให้นางนี่? ท่านรู้หรือเปล่าว่ากว่าท่านแม่ของข้าจะทำมันออกมาได้ลำบากแค่ไหน นางใช้เวลาไปเกือบทั้งบ่ายเลยทีเดียว แต่ท่านกลับเอามันมามอบให้นางง่ายๆ แบบนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่นกับถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือของนางอย่างไม่แยแสอันใด ปากหรือก็กล่าวคำแฝงความประชดประชันออกไปว่า “พระชายารองใช้ใจมากจริงๆ”
หวงฝู่อวี้ไม่รู้ว่าในขนมมีพิษอยู่ด้วย จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นตรง กล่าวออกไปด้วยความภาคภูมิใจว่า “นั่นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว ท่านแม่ข้าบอกว่าพี่ใหญ่ดีต่อข้านัก นางจึงอยากทำขนมชั้นเยี่ยมเหล่านี้ไปให้เพื่อตอบแทนพี่ใหญ่”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนหันมาสบตากันเบาๆ
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยถามเขาออกไปตรงๆ “เมื่อวานหลังจากที่เจ้ากินขนมแล้วกลับเรือนไป รู้สึกไม่สบายตัวตรงไหนหรือไม่?”
หวงฝู่อวี้ส่ายหัวตอบ “ไม่มีขอรับ”
“หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว เจ้าได้กินอะไรเพิ่มเติมที่เรือนของท่านแม่เจ้าหรือเปล่า?”
หวงฝู่อวี้ยังคงส่ายหัวเช่นเดิม “ของว่างสองชิ้นนั้นทำเอาข้าอิ่มมากเลย หลังจากไปนั่งที่เรือนของท่านแม่ ข้าก็แค่ดื่มชาไปสองถ้วยเท่านั้น แถมชากานั้นท่านแม่ยังอุตส่าห์ชงให้ข้ากับมือเป็นพิเศษด้วย”
ทั้งสองหันมาสบตากันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเมิ่งเชี่ยนโยวจะพูดประชดประชันออกไป “แม่ของเจ้าช่างดีต่อเจ้ามากจริงๆ ขนาดน้ำชายังอุตส่าห์ชงให้เองกับมือ”
“แต่ก่อนก็ไม่ใช่แบบนี้หรอก ล้วนเป็นสาวใช้ที่จัดการทั้งนั้น แต่เมื่อวานเห็นท่านแม่บอกว่านางถูกขังอยู่แต่ในเรือนทั้งวัน ว่างๆ ไม่ได้ทำอะไรเรื่องเล็กน้อยแบบนี้นางจึงอาสาไปทำเอง” หวงฝู่อวี้กล่าวไปตามตรง
ฟังถึงตรงนี้หวงฝู่อี้เซวียนก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก สีหน้าของเขาดูสงบลงมาก ดูท่าอวี้เอ๋อร์จะไม่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆ
ความสงสัยที่ติดอยู่ภายในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ถูกปัดเป่าไปด้วยเหมือนกัน
หวงฝู่อวี้จับสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของคนทั้งคู่ จึงเอ่ยถามออกไปด้วยความฉงนใจ “พวกท่านถามข้าเรื่องเมื่อคืนวาน หรือว่าหลังจากที่พี่ใหญ่ท่านกินขนมลงไปแล้วรู้สึกไม่สบายตัวอย่างนั้นหรือ?” กล่าวจบ สายตาก็มองไปทางขนมที่อยู่ในห่อผ้าเล็กๆ นั่นอีกครั้ง ทว่าข้อสันนิษฐานก็เป็นอันต้องตกไป เขาพูดต่อไปว่า “ไม่ถูกต้อง ขนมในจานนั้นทั้งหมดมีอยู่ห้าชิ้น ตัวข้ากินไปเองสองชิ้น เหลืออยู่ตรงนี้สามชิ้น พี่ใหญ่ไม่ได้แตะมันเลยไม่ใช่หรืออย่างไร”
ขณะที่หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะพูดอะไรต่อ จู่ๆ หวงฝู่อวี้ก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน เขารวบผ้าเช็ดหน้าที่มีขนมวางไว้อยู่ด้านบนบนโต๊ะเก็บเข้าอกเสื้อไป สายตาจับจ้องไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวพลางทำหน้างอง้ำราวกับเด็กๆ ก่อนจะพูดว่า “เจ้าชอบรังแกข้าอยู่เรื่อย นี่เป็นขนมที่ท่านแม่ของข้าทำ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ากิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ในใจยิ่งแน่ใจแล้วว่าเรื่องวางยาพิษไม่เกี่ยวข้องกับหวงฝู่อวี้อย่างแน่นอน
หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ผงะตามไปด้วย สักพักหนึ่งก่อนจะหาปฏิกิริยาตอบสนองเจอ เขาส่ายหัวพลางแอบหัวเราะเบาๆ ให้กับการกระทำของอีกฝ่าย แต่สีหน้ากลับแสร้งทำเป็นตีหน้าขรึม กล่าวตำหนิเขาออกไปว่า “อวี้เอ๋อร์ วางขนมลง”
หวงฝู่อวี้คว่ำปาก จะอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด
หวงฝู่อี้เซวียนกลัวว่าเขาจะกินขนมพวกนี้ลงไปอีก น้ำเสียงที่ใช้ออกไปจึงยิ่งรุนแรงมากขึ้น “วางมันลงเดี๋ยวนี้!”
หวงฝู่อวี้สะดุ้งโหยงไปในทันที รีบวางขนมลงบนโต๊ะอย่างลนลาน
หวงฝู่อี้รีบปรี่เข้ามาเก็บขนมพวกนั้นไปอย่างรู้เหตุการณ์และรวดเร็วว่องไว จากนั้นก็ยัดมันใส่อกเสื้อของตนเอง
เห็นว่าของว่างไม่ได้นำมาให้เมิ่งเชี่ยนโยวกินหวงฝู่อวี้ก็ไม่งอแงอีก ถอยไปยืนอยู่ข้างๆ หวงฝู่อี้เซวียนอย่างเชื่อฟังแล้วถามออกไปว่า “พี่ใหญ่ เมื่อไหร่พวกเราจะกลับกัน?”
“ข้ากับโยวเอ๋อร์ยังมีธุระต้องไปข้างนอกต่อ หากเจ้าไม่ว่าอะไรจะรออยู่ที่จวนนี้จนกว่าพวกข้าจะกลับมาก็ได้ จากนั้นพวกเราค่อยกลับจวนไปพร้อมกัน”
“ไม่เอาหรอก” หวงฝู่อวี้ปฏิเสธออกไป “ข้าจะไปกับพี่ใหญ่ด้วย”
หวงฝู่อี้เซวียนหันไปมองทางเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเชิงถามความเห็น
เนื่องจากวันนี้ที่ที่พวกเขาจะไปก็คือเหลาจวี้เสียน ถึงตอนนั้นสถานการณ์อย่างเช่นการทักทายเจ้านายอะไรเทือกๆ นี้คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากว่าหวงฝู่อวี้ได้รู้ว่าเจ้านายที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังเหลาจวี้เสียนแท้จริงแล้วก็คือหวงฝู่อี้เซวียน น่ากลัวว่าไม่เกินข้ามวันคนทั่วทั้งเมืองหลวงคงจะได้รับรู้กันหมด เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวให้เขาเบาๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าไม่อนุญาตให้อีกฝ่ายติดตามไปด้วย
หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ตระหนักได้ถึงปัญหาข้อนี้ดี จึงได้ใช้น้ำเสียงอบอุ่นพูดกับหวงฝู่อวี้ไปว่า “ธุระที่ข้ากับโยวเอ๋อร์จะไปคุยในวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจจึงไม่เหมาะสมหากจะพาเจ้าไปด้วย เจ้ากลับจวนไปก่อนเถิด”
หวงฝู่อวี้บ่นพึมพำออกมาเสียงเบาประโยคหนึ่ง อย่างไรก็ตามคนหูดีอย่างเมิ่งเชี่ยนโยวกลับได้ยินมันทุกคำพูด นางทั้งรู้สึกโกรธและก็ขำเขาในเวลาเดียวกัน
หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน เขาได้แต่ส่ายหัวให้อย่างระอาใจ ก่อนจะสั่งให้หวงฝู่อี้ไปกลับส่งหวงฝู่อวี้ที่จวนอ๋อง
หวงฝู่อวี้แม้จะไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยอมเดินตามหวงฝู่อี้ออกไปแต่โดยดี
ฉับพลันหวงฝู่อี้เซวียนก็ฉุกคิดถึงเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นได้ จึงได้ตะโกนรั้งท้ายหวงฝู่อวี้ออกไปกำชับเขาไปว่า “เรื่องที่ข้าถามเจ้าในวันนี้อย่าได้นำไปพูดกับใครโดยเด็ดขาด แม้แต่กับท่านแม่ของเจ้าข้าก็ไม่อนุญาตให้พูด”
หวงฝู่อวี้พยักหน้ารับ “เข้าใจแล้วพี่ใหญ่ ข้าจะไม่บอกนาง”
มองดูคนทั้งสองเดินจากไป จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้น “ตอนนี้เจ้าก็สามารถมั่นใจได้แล้วว่าหวงฝู่อวี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องนี้เลย ฉะนั้นแล้วอีกหน่อยหากเจ้าคิดจะลงมือกับสตรีนางนั้นก็ไม่ต้องกังวลและอ่อนข้ออีก”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ นางเดินออกไปจากห้องสั่งให้เหวินเปียวไปจัดเตรียมรถม้าบอกเขาไปว่าตนจะไปที่เหลาจวี้เสียน จากนั้นหลังจากกำชับกับเหวินหู่อีกครั้งว่าให้อีกฝ่ายเฝ้าบ้านให้ดี ทั้งเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินออกไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่หน้าประตูจวน
กัวเฟยขยับเข้าไปนั่งอยู่อีกฟากหนึ่งตรงส่วนของคนขับรถม้า จากนั้นคนทั้งสี่ก็มุ่งหน้าสู่เหลาจวี้เสียน
เหลาจวี้เสียนที่อยู่ในเมืองหลวงมีขนาดใหญ่กว่าเหลาจวี้เสียนที่ตั้งอยู่ที่เมืองชิงซีมาก การตกแต่งก็ค่อนข้างหรูหรากว่า กิจการเองก็เพิ่งฟู แม้ว่าจะหมดเวลาอาหารกลางวันไปแล้วก็ตามแต่ก็ยังมีแขกจำนวนมากเดินเข้าออกให้เห็น
ทันทีที่เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้า พนักงานคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทักทายพวกเขาอย่างกระตือรือร้น “ทั้งสองท่านมาแล้ว ไม่ทราบว่าจะนั่งทานที่โถงใหญ่หรือในห้องส่วนตัวดีขอรับ?”
“ห้องส่วนตัว” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
พนักงานคนนั้นขานรับอย่างมีความสุขมาก เขาตะโกนเข้าไปข้างในด้วยเสียงดังประโยคหนึ่ง จากนั้นพนักงานอีกคนก็วิ่งออกมาพาทั้งสองขึ้นไปยังชั้นสองอย่างกระตือรือร้น หลังจากเปิดห้องส่วนตัวให้ เขาก็เชิญคนทั้งสองเข้าไปนั่งด้านใน รอจนกระทั่งทั้งคู่นั่งลงแล้ว ก็เริ่มแนะนำอาหารจานเด็ดของเหลาจวี้เสียนด้วยความชำนาญ ตบท้ายด้วยสอบถามคนทั้งคู่ว่าต้องการจะสั่งอะไรหรือไม่
เมิ่งเชี่ยนโยวรอจนกระทั่งเขาพูดจบก็ยิ้มให้แล้วพูดออกไปว่า “อีกสักครู่พวกเราค่อยสั่งอาหาร ตอนนี้รบกวนเจ้าไปเรียกเถ้าแก่มาพบพวกเราหน่อย พวกเรามีธุระต้องพูดคุยกับเขา”
ได้ยินแบบนี้ความกระตือรือร้นที่มีของพนักงานคนดังกล่าวก็พลันมลายหายไปกว่าครึ่ง เขาพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “กิจการของเหลาจวี้เสียนของพวกเรานั้นดียิ่งนัก เถ้าแก่เองก็ยุ่งมาก หากแม่นางมีธุระอันใดต้องการจะบอกกล่าวสามารถบอกกับข้าได้ ข้าจะไปบอกต่อเถ้าแก่ให้เอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มแล้วพูดออกไปว่า “ไม่ปิดบังเจ้า พวกเรามาจากเมืองชิงซี เถ้าแก่ของที่นั่นมีสูตรอาหารอยู่หลายอย่างต้องการให้พวกเรานำมาส่งต่อให้กับเถ้าแก่ของพวกเจ้า หากว่าต้องให้ผ่านมือเจ้าอีกทอดหนึ่ง เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ อย่างไรรบกวนเจ้าไปเรียกเถ้าแก่ของพวกเจ้ามาพบพวกเราสักหน่อยเถิด”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เหลาจวี้เสียนที่เมืองชิงซีส่งสูตรอาหารมาให้ที่นี่ไม่น้อย แถมอาหารทุกจานก็ยังขึ้นแท่นกลายเป็นอาหารจานเด็ดของตึก เป็นที่นิยมอย่างมากในเมืองหลวงถึงขนาดที่ว่ามีคนยินยอมต่อแถวยาวเพื่อที่จะได้ลิ้มลองมันสักครั้ง พนักงานคนนี้คุ้นหูกับชื่อเมืองชิงซีเป็นอย่างมาก ดังนั้นพอได้ยินหญิงสาวกล่าวแบบนี้จึงได้รีบร้อนพูดออกไปอย่างเป็นมิตรว่า “แม่นางรอสักครู่ ประเดี๋ยวข้าจะไปรายงานเถ้าแก่ให้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้อีกฝ่าย
จากนั้นพนักงานคนนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปด้วยความตื่นเต้น
กัวเฟยซึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเดินเข้ามาปิดประตูห้องส่วนตัวให้หลังจากที่พนักงานคนนั้นเดินจากไปแล้ว
รอจนกระทั่งพนักงานคนนั้นหาเถ้าแก่ร้านพบ เขาก็บอกคำที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดมาให้กับอีกฝ่ายฟังโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่ประโยคเดียว
เถ้าแก่ร้านฟังแล้วแม้จะบังเกิดข้อสงสัยขึ้นมาในใจ ด้วยเนื่องจากว่าตลอดมาสูตรอาหารจะถูกส่งมาโดยคนของนายหญิงมาโดยตลอด ซึ่งร้านสาขาแต่ละร้านล้วนมีมันอยู่ในครอบครองทั้งสิ้น ไฉนอยู่ๆ ถึงได้ส่งคนมามอบให้เขาเพียงลำพัง อย่างไรก็ตามเรื่องที่ว่าเหลาจวี้เสียนแห่งเมืองชิงซีส่งสูตรอาหารไปให้ร้านอื่นๆ นั้นเป็นความลับที่ไม่มีคนนอกรับรู้ ดังนั้นแม้ว่าเถ้าแก่ร้านจะติดใจสงสัย แต่สุดท้ายก็ยอมเดินตามพนักงานคนนั้นไปที่ห้องส่วนตัวดังกล่าวแต่โดยดี
ทันทีที่บานประตูถูกเปิดออก เขาก็ได้เห็นหญิงสาวหน้าตางามแฉล้มผู้หนึ่งกับชายหนุ่มที่ดูสูงศักดิ์อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กัน คล้ายกับว่าจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้อย่างคลุมเครือ เขาหันไปบอกกับพนักงานคนนั้นพลางกำชับลงไปว่า “เจ้าไปทำงานของเจ้าต่อเถอะ ไม่ต้องมารอรับใช้ตรงนี้แล้ว”
พนักงานคนนั้นแม้จะรู้สึกงงๆ อยู่บ้าง แต่เขาก็ตอบรับแต่โดยดี เพียงพริบตาก็เห็นว่าอีกฝ่ายไปทักทายต้อนรับลูกค้าคนอื่นๆ แล้ว
กัวเฟยเดินเข้ามาปิดประตูห้องให้ก่อนจะยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน