ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 22-2 ขอทาน
เมิ่งเชี่ยนโยวเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเถ้าแก่ผู้นี้มาโดยตลอดตั้งแต่อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องแล้ว คิดว่าเขาน่าจะพอเดาอะไรได้บ้างแล้ว จึงไม่ได้หลบเลี่ยงอีกต่อไปแต่พูดออกไปตรงๆ ว่า “ท่านนี้คือซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี”
เถ้าแก่ร้านดูตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด เขาโค้งคำนับด้วยความนอบน้อมก่อนจะเรียกขานหวงฝู่อี้เซวียนด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “นายท่าน”
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ทว่าน้ำเสียงอบอุ่นของเขากลับดังขึ้นเบาๆ แทน “เถ้าแก่ไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป ที่พวกเรามาในวันนี้มิได้มีเรื่องสำคัญอันใดมาก แค่อยากมาดูว่ากิจการเป็นอย่างไรบ้างก็เท่านั้น แล้วก็มีเรื่องบางอย่างต้องการจะสอบถามเจ้า”
เถ้าแก่ร้านยืดตัวขึ้นตรงแล้วพูดออกไปอย่างตื่นเต้นว่า “สี่ปีก่อนหลังจากที่ข้าได้ยินว่าอ๋องฉีหาตัวท่านพบ ข้าก็รู้สึกยินดีและตื่นเต้นยิ่งนัก อยากหาโอกาสไปพบท่านโดยเร็ว แต่ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาท่านกลับไม่เคยมาเยือนที่เหลาจวี้เสียนเลยสักครั้งเดียว ข้าเองก็ยังเป็นกังวลอยู่ว่าตัวเองทำสิ่งใดผิดพลาดไปหรือเปล่า หรือว่าข้าทำผลงานได้ไม่ดีพอท่านถึงไม่เคยมาเยือนเลยสักครั้ง”
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือให้เบาๆ “ข้าเพิ่งกลับถึงเมืองหลวง มีดวงตาไม่รู้กี่คู่จับจ้องมาที่ข้า ประกอบกับอายุที่ยังน้อย หากมาที่นี่บ่อยๆ กลัวว่าจะมีคนสงสัยเอา เกรงว่าจะเป็นการนำปัญหามาให้พวกเจ้าเปล่าๆ ดังนั้นข้าจึงไม่เคยมาที่นี่เลย อย่างไรก็ตามวันนี้แตกต่างออกไป เนื่องจากว่าโยวเอ๋อร์ต้องการจะเปิดร้านขายบะหมี่แป้งมันฝรั่งใกล้ๆ กับเหลาจวี้เสียน ข้าก็เลยอยากจะมาถามเจ้าว่าพอจะมีร้านรวงไหนที่เหมาะสมบ้างไหม ส่วนตัวของข้าเกรงว่าคงต้องรออีกสักพักใหญ่กว่าจะมาที่นี่”
เถ้าแก่ร้านพยักหน้าให้อย่างเข้าใจ ที่นายน้อยกังวลอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยแต่อย่างใด เมื่อตอนที่นายน้อยกลับถึงเมืองหลวงใหม่ๆ ผู้คนในเมืองหลวงก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยกันนานกว่าครึ่งปีแล้ว กับคนที่มีใจยิ่งแล้วใหญ่ คอยแต่จะจับจ้องเล่นงานอยู่ไม่เว้นวัน ด้วยเห็นว่านายน้อยไม่เหมาะสมที่จะพบกับพวกเขาในเวลานี้จริงๆ จึงได้กล่าวออกไปว่า “ข้าน้อยทราบแล้ว อีกหน่อยหากไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ ข้าจะพยายามไม่ติดต่อกับนายท่านขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้อย่างพอใจ ก่อนจะหันไปแนะนำเขาให้รู้จักกับเมิ่งเชี่ยนโยว “นี่คือว่าที่พระชายาซื่อจื่อในอนาคต อีกหน่อยหากพวกเจ้ามีอะไรแล้วไม่สะดวกที่จะติดต่อข้า สามารถไปหานางแทนได้”
เถ้าแก่ร้านลนลานหันไปโค้งคำนับให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวในทันที ใช้นำเสียงเช่นเดิมพูดว่า “คารวะนายท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วโบกมือให้กับเขา “เถ้าแก่อย่าได้เรียกข้าเช่นนี้ อีกหน่อยพบหน้ากันให้เรียกข้าว่าแม่นางเมิ่งก็พอ”
เถ้าแก่รับต่อคำได้อย่างคล่องแคล่วยิ่ง “ทราบแล้วแม่นางเมิ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ข้าอยากเปิดร้านขายบะหมี่มันฝรั่งใกล้ๆ กับเหลาจวี้เสียนของพวกเจ้า อีกหน่อยหากมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยดูแลกันได้ ไม่รู้ว่าพอจะมีร้านดีๆพื้นที่ใหญ่หน่อยอยู่ใกล้ๆ บ้างหรือไม่”
ความตื่นเต้นของเถ้าแก่ร้านเพิ่งจะสงบลงไปได้ไม่เท่าไหร่ แต่พอได้ยินนางพูดถึงร้านขายบะหมี่มันฝรั่ง ดวงตาของเขาก็เป็นอันต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ ถามออกไปอีกครั้งด้วยความตื่นเต้นว่า “หรือท่านจะเป็นแม่นางเมิ่งผู้นั้นที่เถ้าแก่เหลาจวี้เสียนแห่งเมืองชิงซีพูดถึงอยู่บ่อยๆ แม่นางเมิ่งที่เป็นผู้มอบสูตรอาหารทั้งหลายให้กับเหลาจวี้เสียนของพวกเรา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพยักหน้า
เถ้าแก่ร้านเก็บซ่อนความยินดีไว้ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว แทบจะผุดลุกขึ้นมาแล้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ คำที่ออกมาจากปากฟังดูไม่ต่อเนื่องกันเล็กน้อย “เป็นข้าที่ตาไม่ดีมองไม่เห็นขุนเขาไท่ซานอย่างท่าน มองไม่ออกว่าท่านก็คือแม่นางเมิ่งผู้นั้น ท่านคือผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของเหลาจวี้เสียนทั้งหมด นับตั้งแต่ได้รับสูตรอาหารทั้งหลายมาจากท่าน กิจการของพวกเราทุกสาขาก็ดีวันดีคืน รายรับในแต่ละเดือนที่ได้มากขึ้นกว่าในอดีตถึงสองถึงสามเท่า อีกหน่อยเมื่อท่านกลายมาเป็นนายหญิงของพวกเราแล้ว หมายความว่ากิจการของเหลาจวี้เสียนของพวกเราจะยิ่งก้าวหน้าขึ้นๆ ไปอีกใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะและโบกมือออกไป “เถ้าแก่ท่านชมเกินไปแล้ว ตอนนี้ข้าก็ได้ส่งมอบความรู้ทุกอย่างที่ข้ามีให้กับพ่อครัวของเหลาจวี้เสียนของพวกท่านไปจนหมดแล้ว บัดนี้ตัวข้าขาดแคลนและยากจนเป็นอย่างยิ่ง”
เถ้าแก่ร้านยังคงอยู่ในอารามตื่นเต้นไม่หาย “ไม่หรอกขอรับ ข้าได้ยินเถ้าแก่เหลาจวี้เสียนแห่งเมืองชิงซีเล่าว่าท่านรู้กรรมวิธีปรุงอาหารมากมาย วัตถุดิบใดก็ตามขอเพียงได้ผ่านมือท่านล้วนแล้วแต่กลายเป็นเมนูอาหารอันโอชะที่หาได้ยากยิ่งทั้งนั้น หากท่านมีเวลาว่างเมื่อไหร่ ไม่ทราบว่าจะสามารถเชิญท่านมาชี้แนะสั่งสอนพ่อครัวของพวกเราบ้างจะได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หลบเลี่ยงอีกต่อไป “ไม่มีปัญหา รอข้าจัดการเรื่องร้านขายบะหมี่มันฝรั่งเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าจะแวะมาเยี่ยมที่นี่บ่อยๆ ถึงตอนนั้นอาจได้แนะนำของอร่อยให้พวกเจ้าเพิ่มได้อีกสักหนึ่งหรือสองอย่าง”
เถ้าแก่ร้านรีบขอบคุณด้วยความตื่นเต้นทันที “ขอบคุณแม่นางเมิ่ง ขอบคุณแม่นางเมิ่ง”
รอจนกระทั่งความตื่นเต้นผ่านพ้นไป เถ้าแก่ร้านถึงได้พูดขึ้นอีกครั้ง “แม่นางเมิ่งช่างมาได้จับจังหวะนัก ไม่กี่วันก่อนร้านขายผลไม้ตากแห้งที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามด้วยเพราะเกิดปัญหาที่บ้านจึงไม่คิดจะทำกิจการอีกต่อไป เห็นว่าต้องการจะขายร้านนั้นทิ้งพอดี แม่นางหากท่านสนใจสามารถตามข้าไปดูได้ หากแม่นางท่านคิดว่าเหมาะสมก็สามารถซื้อมันได้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกพรวดขึ้นในทันใด “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ลงไปดูกันตอนนี้เลยเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืนตาม “ไปกัน”
เถ้าแก่ร้านรีบนำทางคนทั้งสองไปทันที กัวเฟยตามหลังพวกเขาไปอย่างกระชั้นชิด
เหลาจวี้เสียนตั้งอยู่ในย่านที่คึกคักและรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง ไม่ไกลจากประตูร้านมากนัก ก็คือถนนกว้างสายยาวที่ทอดตัดผ่านไป ตลอดสองฟากฝั่งของถนนเส้นนี้ ร้านแผงลอยจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังตะโกนเรียกลูกค้ากันอย่างไม่ยอมกัน เสียงตะโกนและเสียงพูดคุยของผู้คนมีดังมาให้ได้ยินไม่ขาดสาย ลูกค้าที่เข้ามาเยือนเองก็มีขวักไขว่ให้เห็นอยู่ตลอด บ้างหยุดดูของที่วางขายอยู่บนแผงลอยเป็นพักๆ อย่างสนใจ บรรยากาศคึกคักดูมีชีวิตชีวาเป็นที่สุด ช่างตรงข้ามกับอีกมุมหนึ่งสิ้นดี บริเวณตรอกเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลไปจากถนนเส้นนี้ ขอทานสองสามคนกำลังแอบซ่อนอยู่ในมุมมืดมองภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า
เห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางพวกเขา เถ้าแก่ร้านก็ก้าวขึ้นมาอธิบายให้ฟังว่า “ทุกวันข้าจะสั่งให้คนเอาอาหารที่เหลือจากแขกไปวางไว้ให้พวกนี้ได้กินเพื่อประทังความหิว ด้วยเหตุนี้ในช่วงเวลานี้ขอทุกวันจึงมีขอทานออกมารออาหาร”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าและยิ้มให้อย่างชมเชย “เถ้าแก่ท่านช่างมีเมตตา มีจิตใจที่กรุณายิ่งนัก ท่านจะต้องได้รับ…” แต่ยังไม่ทันที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะได้พูดจนจบ เสียงร้องตะโกนด้วยความโกรธขึ้งก็พลันดังมาจากที่ซ่อนในตรอก เห็นว่าเป็นขอทานคนหนึ่งกำลังวิ่งออกมาจากที่ซ่อนด้วยความเคียดแค้น พุ่งเข้าใส่เมิ่งเชี่ยนโยวแล้วตะโกนใส่อีกฝ่ายไปว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ฉากนี้ทำเอาทุกคนนิ่งอึ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วแน่น
กัวเฟยเตะขอทานที่กำลังประชิดเข้ามาคนนั้นจนร่างของอีกฝ่ายกระเด็นออกไปไกล
หลังจากที่ขอทานคนนั้นล้มลง นานทีเดียวก่อนที่จะลุกขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้คนที่เดินไปเดินมาอยู่บริเวณนั้นหยุดลงและรวมตัวกันมุงดูรวมถึงพูดคุยเกี่ยวกับขอทานที่ไม่รู้ว่าตายแล้วหรือยังในตอนนี้ทันทีอย่างออกรสออกชาติ
ขอทานที่เหลืออยู่เห็นว่าขอทานคนนั้นเข้าไปล่วงเกินผู้สูงศักดิ์ก็พากันหยิบชามข้าวของตัวเองแล้ววิ่งหนีแตกฮือกันไปคนละทิศละทางอย่างตกใจและหวาดกลัว
เถ้าแก่ร้านถึงกับผงะไปกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ จากนั้นเขาก็โค้งตัวลงอ้อนวอนด้วยความหวาดกลัวว่า “แม่นางเมิ่งได้โปรดยกโทษให้ด้วย ขอทานเหล่านี้ปกติจะนั่งรออาหารด้วยความสงบมาโดยตลอด ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนมาก่อนเลย ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงได้…”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้นเพื่อขัดคำพูดของเขา เท้าเดินเข้าไปหยุดอยู่ด้านหน้าขอทานคนนั้นก่อนจะถามอีกฝ่ายไปอย่างวางตัวว่า “เจ้าเป็นใคร? มีความแค้นอันใดกับข้าถึงได้คิดอยากจะฆ่าข้าเช่นนี้?”
ขอทานที่เพิ่งถูกโยนลงพื้นไปคนนั้นหลังจากได้สติกลับมาก็เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น
กลุ่มคนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่โดยรอบรู้สึกว่าขอทานคนนั้นคงจะบ้าไปแล้วจึงให้ถอยหลังไปอีกสองสามก้าวตามจิตใต้สำนึก
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าเสียงหัวเราะนี้คุ้นหูอยู่ไม่น้อยเลย คิ้วที่ผูกกันอยู่จึงยิ่งขมวดแน่นขึ้นไปอีก
หลังจากขอทานคนนั้นหัวเราะจนพอใจแล้ว ก็ยกมือสกปรกข้างนั้นปัดผมที่ยุ่งเหยิงปิดใบหน้าออก กัดฟันถามออกไปว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าดูให้ดี ทีนี้รู้แล้วหรือยังว่าข้าคือใคร?”
ใบหน้าของขอทานผู้นั้นสกปรกยิ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวต้องจ้องมองอย่างระมัดระวังอยู่สักพักก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจว่า “หลิวลี่?”
หลิวลี่ปล่อยเสียงหัวเราะดังฮ่าๆ ออกมาอีกครั้ง “เมิ่งเชี่ยนโยว ตอนนี้ข้ากลายมาเป็นสภาพแบบนี้แล้ว เจ้าคงจะมีความสุขมากสินะ?”
เมื่อผู้คนจำนวนมากที่มุงดูอยู่โดยรอบเห็นว่าทั้งคู่รู้จักกันก็บังเกิดความประหลาดใจและความสงสัยขึ้นมา เท้าหรือก็ขยับขึ้นไปข้างหน้าอีกนิด พยายามตะแคงหูฟังว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่?
เมิ่งเชี่ยนโยวถามไปอีกครั้งด้วยความไม่เข้าใจ “ไม่ใช่ว่าเจ้าหาบ้านสามีที่ดีในเมืองหลวงได้แล้วหรอกหรือ? ไฉนจึงกลายมาเป็นแบบนี้?”
หลิวลี่ลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบาก ทันใดนั้นนางก็พ่นน้ำลายที่เต็มไปด้วยเลือดใส่เมิ่งเชี่ยนโยวก่อนจะตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงรวดร้าวว่า “ที่ข้าต้องกลายมาเป็นสภาพนี้ ทั้งหมดก็เพราะเจ้าทั้งสิ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอยหลังออกไป หลีกเลี่ยงน้ำลายที่อีกฝ่ายพ่นใส่มา
กัวเฟยก้าวขึ้นไปข้างหน้าต้องการที่จะโจมตีหลิวลี่อีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปหยุดเขาไว้ก่อน
หลิวลี่ยังคงถลึงตากล่าวหานางอย่างไม่ลดละ “เมิ่งเชี่ยนโยว ตอนนี้เจ้าแสร้งทำเป็นคนดีแล้วเหรอ ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะเจ้าให้คนมาทำร้ายข้าจนข้าฟันหลุดไปซี่หนึ่ง มีหรือที่ข้าจะจบลงด้วยสภาพนี้? วันนี้หากเจ้าไม่สั่งคนให้ตีข้าให้ตาย ข้าสาบานเลยว่าจะขอตามหลอกหลอนเจ้าทุกวันไม่ขอลดละ!”
อย่างไรก็ตามอารมณ์ของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ผันผวนไปเพราะคำกล่าวของอีกฝ่ายเลย นางกล่าวออกไปว่า “ที่ฟันของเจ้ามีสภาพนี้ใช่ข้าทำเสียที่ไหน วันนี้ข้าจะเลิกแล้วกันไปไม่ติดใจเอาความกับเจ้า แต่หากว่าวันหน้าเจ้ายังมารังควานหาเรื่องข้าไม่เลิก ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าอยู่ไม่สู้ตาย อยากตายแต่ก็ไม่อาจตายได้”
มาถึงจุดที่ต้องกลายมาเป็นขอทาน หลิวลี่ก็ไม่มีอะไรไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว เสียงหัวเราะที่เหมือนกับจะบ้าคลั่งดังขึ้นอีกหลายครั้งพลางพูดออกไปว่า “เจ้าทำให้ข้ามีสภาพเช่นนี้แล้วยังคิดจะขู่ข้าอีก? ข้าจะบอกเจ้า ข้าขอทานอยู่ที่นี่มาสี่ปีแล้ว ทุกข์ทรมานแบบไหนบ้างไม่เคยพบ เจ้าคิดว่าคำพูดไม่กี่คำของเจ้าจะทำให้ข้ากลัวได้เหรอ หากว่าวันนี้ข้าไม่ได้แก้แค้นเจ้า ต่อให้ข้าตายไปเป็นผีก็จะไม่ละเว้นเจ้า”
หลังจากฟังบทสนทนาของทั้งคู่ คนที่อยู่โดยรอบก็ยิ่งสงสัยมากยิ่งขึ้น พวกเขากำลังคาดเดาถึงสิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำลงไป ว่าทำอย่างไรถึงบีบให้หลิวลี่เดินมาถึงจุดนี้ได้
ฝั่งเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ได้สนใจหลิวลี่เลยแม้แต่น้อย ขณะที่หมุนตัวแล้วกำลังคิดจะเดินจากไปนั้นเอง นางก็ได้ยินผู้คนรอบข้างกำลังแสดงความคิดเกี่ยวกับเรื่องของพวกนางอยู่ พลันเปลี่ยนใจแล้วหันกลับไปถามหลิวลี่ว่า “เจ้าเอาแต่ร้องบอกว่าข้าทำร้ายเจ้า วันนี้ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่สู้เจ้าพูดให้ชัดเจนไปเลยว่าข้าทำอย่างไรถึงได้ทำให้เจ้ากลายมาเป็นสภาพนี้”
—————————-