ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 225 เมิ่งเชี่ยนโยว วันนี้ต่อให้เจ้าติดปีกบินหนีก็ไม่รอด
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนที่ 225 เมิ่งเชี่ยนโยว วันนี้ต่อให้เจ้าติดปีกบินหนีก็ไม่รอด
ยุ่งจนเหนื่อยมาหลายวัน คนในบ้านล้วนอ่อนล้ากันมากแล้ว วันถัดมาจึงตื่นสายกันหมด เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ ลูกหลานก็พยุงหัวหน้าตระกูลเมิ่งมาหา
เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบเชิญเข้าไปนั่งในห้อง
หัวหน้าตระกูลเมิ่งพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างงกๆ เงิ่นๆ “องค์หญิงชิงเหอ…”
ทันทีที่เขาพูดคำนี้ออกมา สองสามีภรรยาเมิ่งเอ้ออิ๋นกับเมิ่งเชี่ยนโยวต่างสะดุ้งตกใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูด “ท่านปู่หัวหน้าตระกูล ท่านมักจะทำให้ข้าตกใจอยู่เสมอเลย ต่อหน้าท่านแล้ว ข้าหาใช่องค์หญิงอะไรเลยเจ้าค่ะ ตั้งแต่นี้ต่อไป ขอท่านอย่าได้เรียกข้าเช่นนี้อีกเลยนะเจ้าคะ”
หัวหน้าตระกูลลูบหนวดบนคาง ผงกศีรษะเล็กน้อยด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องตำแหน่งใหญ่เล็กอันใด สมกับเป็นลูกหลานที่ดีแห่งตระกูลเมิ่งของพวกเรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม “ท่านชมเกินไปแล้ว ท่านมีเรื่องอันใดก็พูดมาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ”
มองทุกคนที่อยู่ภายในห้องแวบหนึ่ง หัวหน้าตระกูลพูด “ข้าอยากจะให้คนทั้งตระกูลได้ชื่นชมพระราชโองการเสียหน่อย ไม่รู้ว่าโยวเอ๋อร์จะสนองความปรารถนานี้ของพวกเราได้หรือไม่”
โยวเอ๋อร์พยักหน้า “พระราชโองการ ข้าได้นำมาแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่ายังคงอยู่ในช่วงเจ็ดวันของน้าสี่ หากจะชื่นชมพระราชโองการในเวลานี้อาจจะไม่เหมาะสม เอาอย่างนี้ดีไหมเจ้าคะ รอให้ผ่านไปเจ็ดวัน ข้าจะนำพระราชโองการออกมา ถ้าหากท่านปู่หัวหน้าตระกูลไม่รังเกียจ หลังจากนี้ก็ให้วางพระราชโองการไว้ที่โถงไหว้บรรพบุรุษตระกูลเมิ่งตลอดไปเถิดเจ้าค่ะ”
หัวหน้าตระกูลเบิกตากลม มือก็ไม่สั่นอีก ขาแข้งมีเรี่ยวแรง พรึ่บ เขาลุกขึ้นยืนทันควัน แล้วถามอย่างร้อนรนปนด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ”
“แน่นอนเจ้าค่ะ แต่ว่าเรื่องนี้ต้องให้ท่านปู่หัวหน้าตระกูลอนุญาตก่อนนะเจ้าคะ ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ข้าก็จะไม่ทำเช่นนี้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างยิ้มแย้ม
หัวหน้าตระกูลพูดอย่างเร่งรีบโดยไม่พักหายใจ “ยอมสิ ยอม ต้องยินยอมอยู่แล้ว นี่เป็นเกียรติคุณแห่งตระกูลเมิ่งของพวกเรา เป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจสมหวังได้ แล้วทำไมจะไม่ยินยอมกันเล่า”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ตกลงกันแล้วนะเจ้าคะ รอให้ผ่านเจ็ดวันของน้าสี่ไปก่อน แล้วพวกเราจะจัดพิธีกันเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวให้คำสัญญา
หัวหน้าตระกูลพยักหน้าไม่หยุด สั่งลูกหลาน “เร็ว รีบพยุงข้ากลับไป ข้าต้องนำข่าวดีนี้ไปบอกคนในตระกูลทุกคน แล้วก็ ต้องให้คนไปทำความสะอาดโถงบรรพบุรุษให้สะอาดตั้งแต่ด้านในจรดด้านนอก อย่าให้เปรอะเปื้อนพระราชโองการแม้แต่น้อย”
เวลาผ่านไปไม่นานเรื่องที่จะนำพระราชโองการตั้งบูชาที่โถงบรรพบุรุษของตระกูลเมิ่งก็ได้แพร่ออกไปแล้ว ผ่านไปอีกชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างก็แหงนหน้าเฝ้ารอ คอยให้วันนั้นมาถึง คนในเมืองที่ได้ยินข่าวนี้ถึงขนาดส่งคนไปถามนายอำเภออย่างด่วนที่สุด เพื่อถามว่าวันนั้นเขาจะมาเข้าร่วมหรือไม่
นายอำเภอเป็นเพียงตำแหน่งขุนนางเล็กๆ ไม่เคยได้เห็นพระราชโองการ ย่อมต้องมาเป็นธรรมดา
บรรดาลูกหลานของตระกูลเมิ่งแต่ละคนก็ปลื้มปริ่มอิ่มเอม ปัดกวาดเช็ดถูทุกซอกทุกมุมในโถงบรรพบุรุษอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ให้เหลือแม้แต่ไรฝุ่น
พอถึงวันที่กำหนด ไม่เพียงแต่คนของตระกูลเมิ่ง คนทั้งหมู่บ้านหวงจวงล้วนตื่นแต่เช้า กินข้าว สวมเสื้อผ้าใหม่ที่เพิ่งใส่ไปเมื่อช่วงตรุษจีน แล้วมารวมตัวกันหน้าโถงบรรพบุรุษของตระกูลเมิ่ง
หัวหน้าตระกูลเมิ่งไม่ต้องการให้ลูกหลานช่วยค้ำพยุงแล้ว เขายืนสั่นเทิ้มอยู่หน้าประตูโถงบรรพบุรุษที่เปิดออกกว้าง เมิ่งจงจวี่กับผู้อาวุโสหลายคนของตระกูลเมิ่งยืนอยู่ข้างกายเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับอยากจะกินข้าวอย่างไม่เร่งรีบแล้วค่อยไป แต่โดนเมิ่งซื่อเร่งเร้าตลอด จึงได้แต่กินข้าวอย่างลวกๆ ไม่กี่คำเสร็จ ก็กลับไปในห้อง หยิบกล่องที่ห่อพระราชโองการ แล้วมายังหน้าโถงบรรพบุรุษพร้อมกับสามีภรรยาเมิ่งเอ้ออิ๋น
ปีก่อนๆ มีเพียงตอนที่เซ่นไหว้บรรพบุรุษเท่านั้น โถงบรรพบุรุษตระกูลเมิ่งถึงจะเปิด และอนุญาตให้เข้าได้แค่ผู้ชาย ดังนั้นเมิ่งซื่อกับผู้หญิงในครอบครัวคนอื่น อีกทั้งเมิ่งเชี่ยนโยวล้วนได้แต่รออยู่ด้านนอกเสมอมา วันนี้ไม่เหมือนอย่างเคย สิ่งที่จะเคารพบูชาเป็นพระราชโองการที่แสดงถึงการตำแหน่งเป็นองค์หญิงของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงย่อมไม่อาจให้ใครรับหน้าที่แทนได้ จำเป็นต้องให้เมิ่งเชี่ยนโยวนำเข้ามาด้วยมือของตัวเอง แล้วเซ่นไหว้บูชา ดังนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวจึงกลายเป็นผู้หญิงคนแรกในบรรดาทั้งหมดของหมู่บ้านหวงจวงที่ได้เข้าไปในโถงบรรพบุรษ
นี่เป็นเกียรติภูมิอันแสนยิ่งใหญ่ เหล่าหญิงสาวที่มาดูบรรยากาศที่คึกคักรู้สึกอิจฉาอย่างมาก เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ได้รู้สึกอะไร คลายห่อที่อยู่ข้างหน้าออก ขณะที่กำลังจะนำพระราชโองการออกมา นายอำเภอและเจ้าเมืองก็นั่งรถม้ามาอย่างรีบร้อน
ทั้งสองคนรีบลงจากรถม้า เมื่อเห็นว่าพิธียังไม่เริ่ม ก็ถอนใจโล่งอกและพูดว่า “โชคดีที่ยังไม่สาย”
แม้แต่นายอำเภอและเจ้าเมืองก็มีสภาพเช่นนี้ ฝูงคนที่มุงดูก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้กับพระราชโองการยิ่งขึ้นไปอีก จึงพากันยืดหัวชูคอ เขย่งปลายเท้าสูง อยากจะดูเสียหน่อยว่าพระราชโองการนั้นเป็นอย่างไร
พระราชโองการของเมิ่งเชี่ยนโยวถูกนำออกมา แล้วทิ้งผ้าที่ห่อไว้ให้แก่ชิงหลวน เมิ่งเชี่ยนโยวยกพระราชโองการขึ้นสูง ทำให้ผู้คนเห็นได้อย่างชัดเจน
นายอำเภอกระวีกระวาดคุกเข่าลง ปากก็ร้องขึ้น “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
นายอำเภอคุกเข่าแล้ว หัวหน้าตระกูลและคนที่มาก็รีบคุกเข่าลงตาม แล้วร้องเสียงดังเลียนแบบเขา
เมื่อเสียงร้องที่กึกก้องไปทั่วฟ้าได้ผ่านพ้นไป ทุกคนก็ลุกขึ้น หัวหน้าตระกูลอยู่ด้านหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหลัง นายอำเภออยู่ด้านหลังนาง และคนในตระกูลเมิ่งตามหลังนายอำเภอเข้าไปในโถงบรรพบุรุษ
ที่ตำแหน่งตรงกลางโถงบรรพบุรุษ หัวหน้าตระกูลได้สั่งให้คนจัดแจงจุดสำหรับบูชาพระราชโองการไว้โดยเฉพาะแล้ว
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยววางพระราชโองการเรียบร้อย ทุกคนที่อยู่ภายในโถงบรรพบุรุษก็คุกเข่าคำนับอีกครั้ง
เมื่อลุกขึ้นยืนแล้ว นายอำเภอพูดขึ้น “พระราชโองการนี้เก็บรักษาไว้ที่แห่งนี้ จำเป็นต้องจุดธูปเซ่นไหว้ทุกวัน มิฉะนั้นจะถือว่าไม่เคารพต่อฝ่าบาท และดูหมิ่นพระราชโองการ ดังนั้น ต่อไปนี้หัวหน้าตระกูลไม่เพียงแต่ต้องให้คนมาทำความสะอาดโถงบรรพบุรุษทุกวัน เพื่อไม่ให้มีไรฝุ่นมาเกาะ และยังต้องจุดธูปตลอด”
หัวหน้าตระกูลพยักหน้า เอนกายคำนับ “ใต้เท้าโปรดวางใจ พวกเราตระกูลเมิ่งจะจัดการตามนั้นอย่างแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้คิดถึงปัญหาข้อนี้แล้ว จึงพูดว่า “ต่อไปตระกูลของพวกเราจะต้องออกเงินห้าตำลึงเพื่อเป็นค่าแรงและค่าธูปเทียนให้แก่คนที่รับผิดชอบทำความสะอาดทุกเดือน”
หัวหน้าตระกูลโบกมือปฏิเสธ “พระราชโองการวางไว้ในโถงบรรพบุรษเป็นความภาคภูมิใจของคนทุกคนในตระกูลเมิ่ง เงินนี้ไม่อาจให้บ้านของพวกเจ้าออกได้ ให้แต่ละบ้านแบ่งๆ กันจ่ายเถิด”
ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อยากจะดึงดันเรื่องเงินกับเขา จึงพยักหน้า รับคำของเขาชั่วคราว และคิดว่าหลังจากนี้ก็จะให้เมิ่งเสียนเป็นคนออกเงินโดยตรงก็ได้
ภายในโถงบรรพบุรุษสามารถเซ่นไหว้พระราชโองการ จึงเป็นความภูมิใจของตระกูลเมิ่ง หัวหน้าตระกูลดีใจมากกว่าปกติ และตัดสินใจกล่าวคำหนึ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจ “โยวเอ๋อร์ เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลเมิ่ง และได้รับตำแหน่งเป็นองค์หญิงด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เป็นความภูมิใจของทุกคนทั้งตระกูล และควรค่าแก่การได้รับยกย่องจากอนุชนในตระกูลต่อไป ข้าจึงตัดสินใจว่า จะฝ่าฝืนกฎแห่งธรรมเนียม โดยการเขียนชื่อเจ้าลงไปในรายชื่อบรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง”
เมื่อคำพูดนี้ได้ออกไป ทุกคนนิ่งอึ้งกันถ้วนหน้า แม้แต่เมิ่งจงจวี่และเมิ่งเอ้ออิ๋นก็ตกใจจนเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง ต้องรู้เสียก่อนว่า เหล่าบรรดาบรรพบุรุษที่ผ่านมาในรายชื่อนั้นล้วนเป็นผู้ชายทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นลูกสาวที่ไม่ได้แต่งงานหรือหญิงสาวที่แต่งงานเข้ามาก็ตาม ก็ไม่เหลือร่องรอยเสี้ยวหนึ่งทิ้งไว้ในรายชื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวสามารถมีชื่อจารึกอยู่ในรายชื่อบรรพบุรุษตระกูลได้ เป็นเกียรติอันใหญ่หลวงยิ่ง เท่ากับว่าให้ลูกหลานได้เคารพศรัทธานาง
เมิ่งเอ้ออิ๋นตื่นเต้นอย่างยิ่ง เร่งเร้าเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ ยังไม่รีบขอบคุณท่านปู่หัวหน้าตระกูลอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็อึ้งไปเช่นกัน ได้ยินคำพูดของเมิ่งเอ้ออิ๋นจึงได้สติคืนมา อ้าปากอยากจะปฏิเสธ เพราะในเมื่อผู้หญิงในที่นี่ล้วนอยู่ในกฎระเบียบเช่นนี้ ไม่สามารถเข้าอยู่ในรายชื่อบรรพบุรุษตระกูลได้ ตัวเองจะเป็นข้อยกเว้นได้อย่างไรกัน
ราวกับว่ามองเห็นความคิดของนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เมิ่งเสียนเอ่ยปากห้ามนางทันควัน “โยวเอ๋อร์ หลายร้อยหลายพันปีมานี้ไม่มีลูกสาวคนใดได้รับเกียรติเช่นนี้เลย นี่คือความรักและความกรุณาของหัวหน้าตระกูลที่มอบให้แก่เจ้า อย่าทำให้ท่านผิดหวังเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนคำปฏิเสธที่ติดอยู่ที่ปากกลับไป แล้วกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านปู่หัวหน้าตระกูล”
หัวหน้าตระกูลลูบหนวดเคราและหัวเราะเสียงดัง สั่งให้คนนำหนังสือรายชื่อบรรพบุรุษออกมา แล้วเขียนชื่อของเมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่มเข้าไปด้วยตัวเองท่ามกลางผู้คนที่เห็นเป็นพยาน
แม้ว่าผู้หญิงจะไม่อาจเข้าไปในโถงบรรพบุรุษได้ แต่ยืนอยู่ด้านนอกก็สามารถเห็นและได้ยินเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้านในอย่างชัดเจน หัวหน้าตระกูลเขียนชื่อเสร็จ เมิ่งซื่อก็ตื้นตันจนน้ำตารินไหลอาบแก้ม ซุนเชี่ยนที่พยุงอยู่ข้างนางก็ตื้นตันอย่างมากเช่นกัน
ทุกคนที่มามุงดูส่งเสียงดังครึกครื้นราวกับเสียงหม้อที่เดือดปะทุอย่างไรอย่างนั้น พากันวิพากษ์วิจารณ์ โดยมีทั้งคนพูดชื่นชมที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีโชคชะตาที่ดี และมีคนรู้สึกอิจฉาริษยาอย่างมาก
บูชาพระราชโองการเรียบร้อยแล้ว นายอำเภอกับเจ้าเมืองก็นั่งรถม้าจากไป ฝูงคนที่มุงดูก็แยกย้ายกันไป หัวหน้าตระกูลจัดแจงผลัดเวรคนที่จะเฝ้าและทำความสะอาดโถงบรรพบุรุษเสร็จ ก็ให้ลูกหลานพยุงกลับบ้านไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าต้องไปช่วยหวงฝู่อี้เซวียนจัดการปัญหาเรื่องมันฝรั่งที่เมืองหลินเฉิงโดยเร็ว ดังนั้นวันนี้วางพระราชโองการที่โถงบรรพบุรุษตระกูลเมิ่งแล้ว ก็วางแผนจะกลับเลย ดังนั้นจึงมาที่บ้านของเมิ่งต้าจินเพื่อบอกลาเหล่าเมิ่งซื่อ
ตั้งแต่ที่เมิ่งเสียวเถี่ยตายไป เหล่าเมิ่งซื่อก็ทุกข์ระทมจนล้มป่วย อาการป่วยก็หนักขึ้นเรื่อยๆ กินยาติดต่อกันหลายวัน ถึงจะดีขึ้นบ้าง แต่วันนี้ก็ยังคงไม่มีแรงใดๆ ที่จะเข้าร่วมพิธี
หลังจากเดินเข้าไปในห้องและจับชีพจรให้เหล่าเมิ่งซื่อแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดว่า “ร่างกายของท่านย่ามิได้มีปัญหาอะไรร้ายแรง พักฟื้นอย่างเต็มที่สักระยะหนึ่งก็ดีขึ้นแล้ว”
ในบรรดาลูกชายทั้งสี่คน เมิ่งเสียวเถี่ยเป็นลูกชายคนเล็กสุด ตั้งแต่เล็ก เหล่าเมิ่งซื่อก็รักเขามากเป็นพิเศษ แม้ว่าในหลายปีนั้นเขาจะเข้าเมือง แล้วกลายเป็นสุนัขรับใช้ของเศรษฐีอู๋ อีกทั้งทำเรื่องไม่ดีต่างๆ แต่สำหรับสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่แล้ว ก็ยังคิดว่าเขากตัญญูอย่างมาก เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรสิ่งใดที่อร่อยๆ เขาก็ไม่เคยละเลยพวกเขาเลย การที่เขาจากไปครั้งนี้ ใจของเหล่าเมิ่งซื่อเจ็บปวดจนเกือบจะทิ้งชีวิตไปครึ่งหนึ่งแล้ว พอได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยวโยวก็ถอนหายใจ และพูดว่า “ร่างกายของย่า ย่ารู้ดีเป็นที่สุด ขาข้างหนึ่งได้ตามเถี่ยเอ๋อร์ไปนานแล้ว ต่อไปปู่ของเจ้าน่ะ ก็ต้องฝากให้พวกเจ้าดูแลแล้วล่ะ”
ได้ยินคำนี้ ทำให้คนในห้องล้วนปวดใจและก้มหน้าลง
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดด้วยรอยยิ้ม “ตั้งแต่เล็กข้าก็ทราบว่าท่านย่ารักน้าสี่เป็นพิเศษ แต่ไม่นึกว่าท่านจะรักมากขนาดนี้เลยเจ้าค่ะ ท่านรู้ว่าน้าสี่จากไปแล้ว ท่านก็อยากจะตามไปด้วย ท่านเคยคิดหรือไม่เจ้าคะว่าลุงใหญ่ ท่านพ่อ น้าสามก็เป็นลูกของท่านเช่นกัน ท่านพูดเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าทำให้พวกเขาต้องรู้สึกเสียใจยิ่งขึ้นไปอีกหรือเจ้าคะ โดยเฉพาะท่านพ่อท่านแม่ของข้า เดิมทีที่น้าสี่ตายก็เพื่อปกป้องคนในครอบครัวของข้า ในใจพวกเขาก็รู้สึกผิดและเสียใจอย่างมากอยู่แล้ว หากท่านมีอันเป็นไปด้วยเหตุนี้อีก ท่านจะทำให้พ่อแม่ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรเจ้าคะ”
น้ำตาของเหล่าเมิ่งซื่อไหลออกมา ตบมือของนาง ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยนางซับน้ำตาครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “อีกอย่าง อีกประมาณสี่เดือนข้าก็จะต้องแต่งงานแล้ว ท่านย่าไม่อยากเห็นข้าแต่งออกไปอย่างสง่างามหรือเจ้าคะ ต้องรู้นะเจ้าคะว่า คนที่ข้าแต่งด้วยเป็นถึงซื่อจื่อของอ๋องฉี เป็นผู้ที่สูงศักดิ์เหลือคณา ถึงเวลานั้นไม่เพียงแต่เหล่าขุนนางชั้นสูงทุกคนจะมาร่วมฉลอง ไม่แน่ว่าแม้แต่ฮ่องเต้และฮองเฮาก็มีพระราชประสงค์จะเสด็จด้วย ท่านก็ไม่อยากดูเสียหน่อยหรือเจ้าคะว่าพวกเขาเป็นอย่างไร”
ประเด็นนี้ราวกับมีแรงดึงดูด นัยน์ตาที่ไร้เรี่ยวแรงมาหลายวันของเหล่าเมิ่งซื่อก็วาววับขึ้นเล็กน้อย “ที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ แม้แต่ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็จะเสด็จมาร่วมงานแต่งของพวกเจ้าหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะ “แน่นอนอยู่แล้วสิเจ้าคะ ดังนั้นท่านย่าต้องรีบแข็งแรงขึ้นไวๆ ช่วยแม่ของข้าเตรียมสินเดิมให้ครบครัน ถึงเวลานั้นจะไม่ได้ไม่ทำให้คนในเมืองหลวงต้องมาหัวเราะเยาะว่าหลานสาวของท่านทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงแล้ว”
“ใช่ ใช่ ใช่” เมิ่งซื่อมีกำลังวังชาขึ้นมาบ้าง “ต้องเตรียมสินเดิมบางส่วนให้ดี จะให้พวกเขามาดูถูกเจ้าไม่ได้”
“ข้าได้ซื้อบ้านหลังใหญ่โตในเมืองหลวงไว้แล้ว รอให้ผ่านไปอีกสองเดือน ก็จะส่งคนกลับมารับคนในบ้านไป ฉะนั้นวันที่ท่านและแม่ช่วยข้าเตรียมสินเดิมก็มีเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น หากท่านยังไม่หายดีมาช่วยจัดการล่ะก็ ถ้าท่านแม่ของข้าเตรียมสินเดิมที่ไม่ถูกใจข้าจะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
เมิ่งซื่อเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “เจ้าเด็กคนนี้ แม่ของเจ้าเลี้ยงดูเจ้าแต่เล็กจนโต ล้วนรู้ดีว่าเจ้าชอบอะไร แล้วจะเตรียมสินเดิมให้ไม่ถูกใจเจ้าได้อย่างไรอีก”
“นั่นก็ไม่แน่หรอกเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างยิ้มแย้ม “ตั้งแต่เล็กท่านแม่เห็นข้าเป็นสมบัติ ครั้งนี้ต้องแต่งออกไปแล้ว ก็แทบอยากจะยกสิ่งที่ดีสุดทั้งหมดให้ข้า ตอนที่จัดเตรียมสินเดิมไม่ว่าของอะไรก็จะซื้อให้เป็นแน่ ข้าไม่ไว้ใจเจ้าค่ะ และก็ยังรู้สึกว่าท่านย่ามีสายตาเฉียบแหลมกว่า รู้ว่าของสิ่งใดที่ข้าชอบจริงๆ”
แม้รู้ดีว่านางกำลังพูดปลอบตัวเอง เหล่าเมิ่งซื่อก็ยังรู้สึกดีใจอย่างมาก จึงยิ้มและพยักหน้าให้ “ก็ได้ๆๆ ย่ารับปากเจ้าว่าจะแข็งแรงไวๆ มาช่วยดูแม่ของเจ้าให้สักหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง พูดขอบคุณอย่างยินดี “ขอบคุณท่านย่าเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่ที่ออกมาจากบ้านของเมิ่งต้าจินและกลับมาถึงบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้เก็บข้าวของอะไรเลย พาชิงหลวนและจูหลี พร้อมกับเหวินเปียว กัวเฟยและองครักษ์ลับสิบนาย เดินทางกลับไปยังเส้นทางที่กลับสู่เมืองหลวง
หลายวันมานี้ที่บ้านไม่พบคนที่ผิดปกติใดๆ มาเดินเคลื่อนไหวรอบๆ นั่นก็หมายความว่าคนพวกนั้นมีแผนการอย่างอื่น ดังนั้นการกลับเมืองหลวงครั้งนี้ เส้นทางที่เดินล้วนเป็นถนนใหญ่ และเดินทางแต่ช่วงเวลาที่ฟ้าสว่าง เมื่อฟ้าเริ่มมืดหรือยังไม่มืดดี และคาดการณ์ว่าจะไปไม่ถึงโรงเตี้ยมถัดไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้ทุกคนหยุดก่อน แล้วพักโรงเตี๊ยม ไม่เร่งเดินทางอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ม้าเร็วที่เดินทางเพียงแค่สองวัน ก็ล่วงเลยจนกระทั่งวันที่สี่ถึงจะมาถึงหน้าป่าที่ห่างจากตัวเมืองหลวงสามสิบลี้
เป็นช่วงบ่ายคล้อยแล้ว บนถนนแทบไม่มีคนเดินสัญจรไปมา เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่งด้วยเสียงเยือกเย็น “เร่งให้เร็วขึ้นอีก อีกครึ่งชั่วยามก็จะเข้าประตูเมืองได้แล้ว”
ทุกคนรับคำ สะบัดแส้บนมือเพื่อจะเร่งให้ม้าวิ่งเร็วขึ้น เสียงที่เยือกเย็นดังออกมาจากดงป่าไม้ “เมิ่งเชี่ยนโยว เกรงว่าวันนี้เจ้าจะไปไม่ถึงเมืองหลวงเสียแล้วล่ะ”
สิ้นคำพูด เส้นทางเบื้องหน้าก็มีเชือกขวางม้าหลายเส้นขึ้นมากั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ตะบึงม้าไปข้างหน้าต้องดึงบังเ**ยนหยุดเอาไว้ แล้วแผดเสียงตะโกนใส่อย่างเย็นชา “เฮ่อเหลี่ยน ไสหัวออกไปซะ!”
ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอันชั่วร้าย เฮ่อเหลี่ยนเดินออกมาจากในป่า ยืนอยู่อีกฝั่งของเชือกขวางม้า พูดด้วยความทะนง “เมิ่งเชี่ยนโยว วันนี้ต่อให้เจ้าติดปีกบินหนีก็ไม่รอด ลงจากม้ามารับความตายเสียแต่โดยดีเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยใบหน้าที่มีรอยยิ้มดูแคลน แล้วพูดเหยียดหยาม “ลำพังตัวเจ้าเนี่ยนะ”
เสียงผู้ชายอีกคนหนึ่งจากเงามืดในป่าดังขึ้น “ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว ยังมีข้าอีก”