ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 233 ความกังวลที่สุมอก
หลังจากที่ฟ้าสางแล้ว ข่าวที่จวนเฮ่อถูกอ๋องฉีฆ่าล้างทั้งบ้านก็แพร่ออกไปในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว แพร่ไปถึงแต่ละซอกแต่ละมุมของเมืองหลวง และแพร่เข้าไปถึงหูของทุกคน
ตั้งแต่เฝิงจิ้งซูได้รับการวินิจฉัยว่าตำแหน่งในครรภ์ผิดปกติ ก็กลัวว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นกับนาง คราที่ตะวันใกล้คล้อยฉู่เหวินเจี๋ยก็กลับจากค่ายทหารมาอยู่เป็นเพื่อนนาง ห้าเดือนผ่านไป ท้องของเฝิงจิ้งซูก็ค่อยๆ โตขึ้นแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยยิ่งไม่กล้าชะล่าใจ แทบอยากจะเฝ้าอยู่ข้างกายนางทุกๆ เสี้ยวเวลา ดังนั้น ทุกวันหลังจากที่ฟ้ามืด ฉู่เหวินเจี๋ยก็สั่งคนในจวนให้ปิดประตู แล้วรับประทานอาหารตั้งแต่ค่ำๆ แล้วนั่งเป็นเพื่อนคุยกับนางอยู่ในห้อง พูดเรื่องน่าสนใจต่างๆ ในค่ายทหารให้นางฟัง หยอกล้อให้นางอารมณ์ดี และคอยป้องกันระวังไม่ให้นางขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า ดังนั้นจึงไม่รู้เลยว่าภายในเมืองหลวงได้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น
ตอนเช้านายประตูเปิดประตูใหญ่ออก ได้ยินคนที่เดินผ่านอยู่หน้าประตูพูดวิพากษ์วิจารณ์ ก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปฟัง ถึงจะรับรู้ข่าวนี้ จึงเร่งรีบไปรายงานต่อฉู่เหวินเจี๋ย
ฉู่เหวินเจี๋ยได้ยินแล้วก็ย่นคิ้ว และพูดกับเฝิงจิ้งซูว่า “ข้าไปดูจวนอ๋องเสียหน่อย เจ้าดูแลตัวเองให้ดีล่ะ”
คำพูดนี้เกือบจะกลายคำพูดที่เขาต้องพูดก่อนออกจากบ้านทุกวัน เฝิงจิ้งซูพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ไปเถิดเจ้าค่ะ เดินทางระวังด้วยนะเจ้าคะ”
กำชับพวกสาวใช้ให้ดูแลเฝิงจิ้งซูให้ดีแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยก็เดินออกจากจวนแม่ทัพ ขี่ม้าม้ามาถึงจวนอ๋องอย่างรวดเร็ว
ถึงหน้าประตู ลงจากม้า แล้วทิ้งบังเ**ยนให้แก่นายประตู พร้อมถามออกมาทันที “ในจวนเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“แม่นางเมิ่งกับลูกน้องของนางประสบเหตุลอบสังหาร ทุกคนล้วนได้รับบาดเจ็บกันหมดขอรับ” นายประตูตอบทันที
คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น ฉู่เหวินเจี๋ยเดินก้าวยาวเข้าภายในจวน
วุ่นทำงานทั้งคืน คนในจวนต่างเหนื่อยล้าแล้ว ผู้ดูแลจวนจัดแจงทุกคนให้ผลัดเวรกันไปพักผ่อน ดังนั้นภายในจวนจึงเงียบสงัด ไม่มีเหตุการณ์ที่เห็นบ่าวรับใช้วิ่งเต้นอยู่ทุกหนทุกแห่งเหมือนเช่นเคยอีก
เดินเลี้ยวผ่านไปหลายแนวระเบียง ตรงมาถึงภายในเรือนของพระชายาฉี สาวใช้ที่ประจำเวรเฝ้าประตูก็เอนกายแสดงความเคารพ และพูดเสียงเบา “ท่านแม่ทัพใหญ่ พระชายาเพิ่งจะหลับไปเจ้าค่ะ ท่านมีธุระเร่งด่วนใดหรือไม่เจ้าคะ”
ฝีเท้าชะงักลง ตระหนักถึงร่างกายของพระชายาฉี จึงส่ายหน้าและพูดเสียงเบา “ไม่มีอะไรหรอก อย่ารบกวนนางเลย”
สาวใช้รับคำเบาๆ
ฉู่เหวินเจี๋ยหันตัวมายังในเรือนของอ๋องฉี
อ๋องฉีไม่ได้นอนทั้งคืน ราวกับซูบแก่ลงไปมาก ได้ยินเสียงของบ่าวรับใช้ จึงพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “เข้ามาเถิด”
ฉู่เหวินเจี๋ยเข้าไปภายในห้อง เห็นสภาพของอ๋องฉีอย่างชัดเจน ฝีเท้าหยุดลงกะทันหัน และมีท่าทางอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด “ท่านพี่เขย เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือขอรับ”
อ๋องฉีถอดถอนหายใจ โบกมือ ไม่ได้พูดอะไร ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงเอนไปด้านหลัง พิงกับเก้าอี้ ไม่มีลักษณะที่อ่อนโยน สบายๆ และสง่างามเหมือนวันก่อนๆ หลงเหลืออยู่
ฉู่เหวินเจี๋ยยิ่งรู้สึกคับอกคับใจ จึงเอ่ยปากสอบถาม “วันนี้ตอนเช้า บ่าวรับใช้ในเรือนได้ยินคนที่เดินผ่านพูดวิพากษ์วิจารณ์ว่าท่านฆ่าล้างทั้งตระกูลเฮ่อจาง เนื่องด้วยเหตุอันใดหรือขอรับ”
เรื่องที่อ๋องฉีถูกพระชายารองเฮ่อวางยาไร้บุตรเป็นปัญหาที่เขายากจะเอ่ยปากมาตลอด ดีที่อายุมากแล้ว อีกทั้งรุ่นต่อไปก็ยังมีหวงฝู่อี้เซวียน หลังจากทุกข์ระทมไปพักหนึ่งแล้ว ก็ค่อยๆ ปล่อยวางลง ทว่า วันนี้เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้ต่อไปจะมีลูกหลานสืบสกุลยาก ไม่แน่ว่าตัวเองก็จะไร้ซึ่งผู้สืบสกุลต่อแล้ว ในใจที่เศร้าโศกของอ๋องฉีนั้นยิ่งชัดแจ้ง เมื่อคืนหลังจากฆ่าล้างตระกูลเฮ่อจางกลับมาล้างเนื้อล้างตัวที่จวนจนสะอาดดีแล้ว ก็นั่งอยู่ในห้องหนังสือไม่ขยับจนถึงตอนนี้ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่ยากเกินบรรยาย
ได้ยินฉู่เหวินเจี๋ยถามขึ้น ก็ทอดถอนหายใจแรงขึ้นอีกครั้ง แล้วบอกเล่าเรื่องราวที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บจากการถูกลอบสังหาร แต่ไม่ได้บอกว่าการบาดเจ็บที่ช่วงหน้าอกทำให้ต่อไปมีทายาทสืบสกุลยาก เพียงแต่บอกเขาว่าได้รับบาดเจ็บอย่างร้ายแรง ไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น
หลังจากที่ฉู่เหวินเจี๋ยได้ฟังแล้ว ก็เป็นเดือดเป็นดาล และพูดอย่างโกรธแค้น “ควรจะจัดการไอ้เฒ่านั่นไปเสียแต่แรก ล้วนเป็นเพราะพวกเราเมตตาใจอ่อนเกินไป ถึงทำให้แม่นางเมิ่งต้องมาประสบเคราะห์อันใหญ่หลวง”
อ๋องฉีถอนหายใจยาวอย่างเงียบๆ อีกครั้ง ใบหน้ามีความรู้สึกเสียใจภายหลังอย่างลึกๆ เมื่อใคร่ครวญถึงปีนั้นที่เสด็จพี่รากฐานยังไม่มั่นคง ต้องการแรงช่วยจากเฮ่อจาง ตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนหายสาบสูญไป ก็พอเดาได้ว่าอาจจะเป็นเขาและพระชายารองร่วมกันลงมือ อีกทั้งยังเลือกทรมานบ่าวรับใช้ของพระชายาฉีทุกคน อดทนไม่หือไม่อือมาตลอดหลายปีนี้ ทำให้พวกเขายิ่งสามหาวขึ้น ถึงขนาดลามปามมาถึงขั้นทุกวันนี้
คิดถึงตรงนี้ อ๋องฉีก็ถอนหายใจแรงอีกครั้ง
จวนเฮ่อได้กำจัดสิ้นซากแล้ว ปราศจากซึ่งความกังวลต่อลูกหลานของพวกเขา อ๋องฉีกลับยังถอนหายใจไม่หยุด ฉู่เหวินเจี๋ยเข้าใจว่าเขากังวลเรื่องหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่อาจแต่งงานได้ตรงตามฤกษ์ยาม จึงพูดปลอบใจ “ยังดีที่การแต่งงานอยู่ภายใต้พระราชโองการ เซวียนเอ๋อร์กับแม่นางเมิ่งแต่งงานช้าหน่อยก็ไม่มีปัญหา ท่านพี่เขยอย่าได้เป็นกังวลมากเกินไปเลยขอรับ”
เหตุผลที่แท้จริงไม่อาจพูดออกมาได้ อ๋องฉีก็ถอนหายใจแรงอีกครั้ง
เมื่อคืนผู้ดูแลจวนอ๋องสั่งบ่าวรับใช้ไปซื้อยาห้ามเลือดที่ร้านยาเต๋อเหริน แต่เหวินซื่ออยู่ที่จวนนเป็นเพื่อนเฝิงจิ้งเหวิน ตอนนี้จึงแทบไม่ได้ประจำอยู่ที่ร้านยาเต๋อเหรินเท่าไร หลังจากที่เขาได้ยินการรายงานแล้ว ก็ไม่ได้ถามรายละเอียดของสถานการณ์ สั่งพนักงานเอายาห้ามเลือดชั้นดีทั้งหมดมอบให้แก่บ่าวรับใช้จวนอ๋อง
ตอนเช้าถึงจะได้ยินว่าจวนเฮ่อสูญสิ้นทั้งตระกูล เหตุผลเพราะตระกูลเฮ่อลอบสังหารองค์หญิงชิงเหอ เขาก็รีบขี่ม้ามาที่จวนอ๋อง และเข้ามาเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างรีบร้อน
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเสียงของเขาแล้ว แต่กลับไม่ได้สนใจเขา
บ่าวรับใช้ที่เข้าเวรเฝ้าประตูไม่ได้รับคำสั่ง ก็ไม่กล้าปล่อยเขาเข้าไป ได้แต่เพียงเชิญให้เขาไปนั่งที่ห้องรับแขก
ไม่ได้ยินเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยว ในใจของเหวินซื่อก็ตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย ตอนที่ตามคนใช้ไปยังห้องรับแขก เห็นภายในอีกเรือนหนึ่งมีบ่าวรับใช้เข้าๆ ออกๆ ก็รู้ว่าพวกกัวเฟยได้รับบาดเจ็บเช่นกัน จึงเลี้ยวเข้าไปตรวจดู
รอให้ดูอาการของคนส่วนหนึ่งชัดเจนแล้ว ในใจยิ่งเคร่งเครียดหนักขึ้น เด็กน้อยนั่นเป็นคนที่ชอบปกป้องผู้น้อย พวกกัวเฟยได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ นางไม่อาจจะไม่สนใจได้ เว้นแต่ว่านางจะบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่าพวกเขา
กัวเฟย เหวินเปียว ชิงหลวน จูหลียังไม่ฟื้น เหวินซื่อหาคนที่จะสอบถามรายละเอียดของเหตุการณ์ไม่ได้ จึงร้อนใจอย่างมาก
เปาชิงเหอ เปาอี้ฝานได้ยินข่าวนี้แล้วเช่นกัน ต่างก็เร่งมาอย่างรีบร้อน
ตี้ซือ โจวเสี้ยว โจวหลี่ และสามีภรรยาเมิ่งอี้ได้ยินข่าวนี้ก็มารีบมาอย่างด่วน โดยเฉพาะคู่สามีภรรยาเมิ่งอี้ ความกะทันหันที่เมิ่งเสียวเถี่ยตาย เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันได้บอก พวกเขาก็กลับบ้านเกิดไปอย่างเร่งรีบแล้ว ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่รู้ว่าในบ้านเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นเลย ทว่า โชคดีที่ทั้งคู่ไม่ได้พาลูกกลับไปด้วย มิเช่นนั้นแล้ว ผลที่ตามมาอาจจะย่ำแย่มากกว่าที่คาดคิด
แต่คนทุกคนนี้ล้วนถูกหวงฝู่อี้เซวียนกันเอาไว้อยู่นอกเรือน ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้แม้แต่เพียงคนเดียว
ในใจของทุกคนก็เข้าใจดี เกรงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวครั้งนี้คงจะได้รับบาดเจ็บที่ค่อนข้างร้ายแรงทีเดียว
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ เฝ้ารอให้นางฟื้นขึ้นโดยเร็ว ไม่ได้สนใจคนใดๆ ที่มาเยี่ยมเลย
ในใจของอ๋องฉีโศกเศร้า ดูเซื่องซึมไร้เรี่ยวแรง จึงไม่ได้สนใจเช่นกัน
ครั้นเมื่อฟ้าสว่าง พระชายาฉีถึงจะได้ไปพักผ่อน ผู้ดูแลจวนก็ไม่กล้าให้คนไปรบกวนนาง จึงจัดแจงให้คนพวกนี้อยู่ที่ห้องรับแขกด้วยตัวเอง แล้วสั่งบ่าวรับใช้ยกน้ำชา บอกให้พวกเขารอสักครู่
นั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือ ฉู่เหวินเจี๋ยที่อยู่เป็นเพื่อนอ๋องฉีได้ยินการรายงานของบ่าวรับใช้ จึงลุกขึ้นยืน พูดว่า “ท่านพี่เขย ท่านกลับห้องไปพักผ่อนเสียหน่อยเถิด ข้าไปต้อนรับพวกเขาเองขอรับ”
อ๋องฉีนั่งคอตกอยู่บนเก้าอี้นานแล้ว ได้ยินก็เงยศีรษะขึ้นพูด “ลำบากเจ้าแล้ว”
วันนี้ นอกจากคนพวกนี้แล้ว แม้แต่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักแต่ละคนก็นำของขวัญต่างๆ มาเยี่ยม
นอกจากฉู่เหวินเจี๋ยแล้ว โจวเสี้ยว โจวหลี่ทั้งสองก็ช่วยกันต้อนรับคนที่มาเยี่ยม
หวงฝู่อี้เซวียนกำลังตรอมตรมระทมใจ
ภายในจวนมีคนมาเยี่ยมอย่างไม่ขาดสาย ทั้งวันก็ผ่านไปเช่นนี้
ตั้งแต่เมื่อวานที่หวงฝู่อวี้กลับจวน ก็ได้ยินข่าวและไปเยี่ยมเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ถูกปฏิเสธให้อยู่ด้านนอกประตู หวงฝู่อวี้จึงกลับเข้าเรือนของตัวเอง และไม่ได้ออกมาอีก ได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้จนถึงฟ้าสว่าง จนกระทั่งมองแสงของฟ้าที่มืดขึ้นเรื่อยๆ หวงฝู่อวี้ก็ฮึดขึ้น ยืนขึ้นมา เดินออกจากประตูห้องมาถึงภายในเรือนของอ๋องฉี
เกือบจะสองวันหนึ่งคืนที่ไม่ได้นอน ตอนบ่าย อ๋องฉีเหนี่ยวรั้งกายไม่ไหวแล้ว จึงไปพักผ่อนในเรือนของตัวเองสักพักหนึ่ง และก็เป็นเพียงเวลาพักหนึ่งจริงๆ เพราะยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยามเขาก็ตื่นแล้ว เมื่อลุกขึ้น และเพิ่งจะสั่งบ่าวรับใช้ให้ยกชามาให้เขาเสร็จ ก็ได้ยินเสียงของหวงฝู่อวี้ที่สอบถามบ่าวรับใช้ จึงใช้เสียงที่แหบแห้งพูด “เข้ามาเถิด!”
หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปในห้อง เห็นอ๋องฉีที่ไร้เรี่ยวแรง และมีท่าทางหดหู่ ก็นิ่งอึ้งไป หลังจากนั้นก็กัดฟัน ถลกเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วคุกเข่าลง “ลูกชายที่อกตัญญูคนนี้มีคำร้องขอหนึ่งประการ ขอโปรดเสด็จพ่อเมตตาอนุญาตด้วยขอรับ”
อ๋องฉีเบิกหนังตาขึ้น ดื่มน้ำชาอึกหนึ่งอย่างช้าๆ แล้วปิดฝาชา หลังจากวางน้ำชาบนโต๊ะอย่างมั่นคง ถึงจะเอ่ยปากถามขึ้น “อยากจะฝังศพของเฮ่อจางหรือ”
หวงฝู่อวี้ประหลาดใจ แล้วรับคำอย่างตรงไปตรงมาทันที “ใช่ขอรับ หวังว่าเสด็จพ่อจะกรุณา” พูดจบ ก็ก้มหน้าลง รอคำตอบของอ๋องฉีอย่างกระวนกระวาย
เฮ่อจางเป็นตาของตัวเอง ตั้งแต่เล็กก็พินอบพิเทาตัวเองเป็นพิเศษ ตอนนี้แม้จะรู้ว่าพวกเขาอาจจะมีจุดประสงค์อื่น แต่เช่นนี้แล้วอย่างไรล่ะ หลายปีที่รักและเอ็นดูก็ต้องมีความจริงใจบ้าง แม่ของตัวเองตายแล้ว ตระกูลเฮ่อถูกพ่อของตัวเองฆ่าล้างทั้งตระกูล หากตัวเองไม่ออกหน้าช่วยจัดการให้พวกเขา เกรงว่าศพของตระกูลเฮ่อจะถูกทิ้งไว้ที่สุสานร้างเพื่อเป็นอาหารให้แก่หมาป่าแล้วจริงๆ ตัวเองมีศักดิ์เป็นหลาน เขาจึงได้แต่เพียงทำเรื่องเล็กน้อยนี้ให้แก่พวกเขา
อ๋องฉีจ้องเขา มองลูกชายคนเล็กที่ตัวเองรักและเอ็นดูอย่างมากตั้งแต่เล็ก แต่หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนกลับมา กลับดูถูกดูแคลนเขาทุกๆ อย่าง ในใจก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรบ้าง
หวงฝู่อวี้ถูกมองจนในใจเกิดหวาดกลัว ตอนที่หน้าผากเกือบจะมีเหงื่อไหลออกมา อ๋องฉีถึงจะเอ่ยปากด้วยเสียงสงบเรียบ และนึกไม่ถึงว่าเขาจะออกปากเห็นด้วยอย่างไม่มีท่าทีที่ไม่พอใจเลย “ได้ เขาเป็นตาของเจ้า เจ้าทำเช่นนี้ก็ให้อภัยได้ แต่จำไว้ว่า ซื้อเพียงโลงศพบางๆ ให้พวกเขาได้นอนตายอย่างเงียบๆ ก็พอ ไม่อนุญาตให้จัดงานอย่างใหญ่โต”
ในใจของหวงฝู่อวี้ยินดียิ่ง รีบกระแทกศีรษะคำนับทันที “ขอบพระคุณขอรับเสด็จพ่อ”
อ๋องฉีโบกมือ “ไปเถิด ถือโอกาสที่ตอนนี้ฟ้ายังมืด ลากศพไปฝังให้ดี”
หวงฝู่อวี้ขอบคุณอีกครั้ง ลุกขึ้น เดินออกนอกเรือนอย่างรวดเร็วไปร้านขายโลงศพ เมื่อซื้อโลงศพบางๆ สี่อันด้วยตัวเอง แล้วก็บรรจุเฮ่อจาง ฮูหยิน และลูกพี่ลูกน้องชายสองคนขึ้นมา ส่วนเฮ่อเหลี่ยนนั้น หวงฝู่อวี้หาอยู่นานก็หาศพของเขาไม่เจอ แต่ก็ไม่กล้าถามอ๋องฉี จึงยอมแพ้ ได้แต่เพียงสั่งคนให้หาสถานที่ฝังศพทั้งสี่คนนี้อย่างเงียบๆ
ส่วนคนอื่นก็มีคนจากกองบัญชาการปัจทิศรักษาเมืองรับช่วงต่อในวันที่สองหลังจากฟ้ารุ่งสาง โดยไปทิ้งไว้สุสานรกร้าง ภายในชั่วขณะเดียวก็มีหมาป่าที่นั่นมากันเป็นฝูง
ที่จวนอ๋องมีคนมาเยี่ยมทุกวันไม่ขาด เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ฟื้นตัว และหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้ออกจากห้องเลย เฝ้าอยู่แต่ตรงหน้านาง
ส่วนคนอื่นก็ยังไม่ฟื้น หมอหลวงเจียงพร้อมกับหมอหลวงหลายคนจากสถาบันหมอหลวงก็ต้องพักอยู่ที่จวนของอ๋องฉี
ฮองเฮาและฮ่องเต้มีพระรับสั่งให้คนมาส่งวัตถุดิบปรุงยาที่ล้ำค่ามา อีกทั้งยังมีสิ่งที่ส่งมาจากจวนของขุนนางชั้นผู้ใหญ่แต่ละคน จึงทำให้พื้นที่ในห้องเก็บสินค้าของจวนอ๋องเต็มไปครึ่งหนึ่ง
น้ำแกงยาหลายชนิดและแกงโสม กรอกเข้าปากของทุกคนอย่างไม่ขาดสาย หลังจากนั้นสองวัน กัวเฟย เหวินเปียว ชิงหลวน จูหลีและพวกองครักษ์ลับก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา มีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยังหลับสนิทไม่ฟื้น
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย เฝ้าดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวสองคืนสองวันไม่นอนไม่พัก ทั้งร่างก็ซูบผอมลงไป ขอบตาปรากฏรอยคล้ำดำ พละกำลังก็ได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว
พระชายาฉีปวดใจ อ้อนวอนให้เขาไปพักผ่อน แล้วนางจะมาช่วยดูแลเอง
หวงฝู่อี้เซวียนราวกับไม่ได้ยิน ไม่สนใจใครอื่น ตาเพียงแต่จ้องที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กะพริบ และร้องเรียกเบาๆ ข้างๆ นางตลอด “โยวเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์”
พระชายาฉีเห็นแล้วปวดช้ำใจ แต่ก็จนปัญญาไร้หนทาง
ไม่มีใครเข้าใจความกระวนกระวายในใจของหวงฝู่อี้เซวียน เขากลัวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะทิ้งเขา ไม่สนใจใยดี กลัวว่านางจะกลับไปที่โลกนั่นของนาง กลัวว่านางจะหายราวกับควันเมฆ กลัวว่าชาตินี้ภพนี้จะไม่อาจพบนางได้อีก
เนื่องจากเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ฟื้นขึ้นมา บรรยากาศภายในจวนก็อึดอัดคุกรุ่นอย่างมาก สาวใช้และบ่าวรับใช้ที่ไปๆ มาๆ ก็ไม่กล้าหายใจแรง เวลาจะเดินก็ต้องเขย่งปลายเท้า ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ แม้แต่น้อย และทุกคนที่เพิ่งตื่นครั้นได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ฟื้น ในใจก็โทษตัวเองอย่างหนัก โดยเฉพาะชิงหลวนกับจูหลีทั้งคู่ แทบอยากจะให้คนที่บาดเจ็บสาหัสคือตัวเอง คนที่ไม่ตื่นขึ้นมาก็คือตัวเอง
สามีภรรยาเมิ่งอี้ที่มาทุกวันก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป หลังจากปรึกษากันลับๆ แล้ว ก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปที่บ้าน เพื่อบอกสถานการณ์ของเมิ่งเชี่ยนโยวให้แก่ที่บ้าน
จริงๆ แล้วพวกเขาไม่เขียนจดหมาย เรื่องใหญ่เช่นนี้ก็ปิดบังคนในบ้านไม่ได้
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อได้ยินคำบอกเล่าของทุกคนแล้ว ก็รีบสั่งเมิ่งเสียน เมิ่งฉีเตรียมรถม้าให้เรียบร้อย แล้วเอาเงินทั้งหมดในบ้านไปด้วย ส่วนเรื่องโรงงานของที่บ้านก็มอบหมายให้เมิ่งต้าจินจัดการ แล้วทั้งบ้านไม่ว่าคนแก่หรือเด็กเล็กล้วนนั่งรถม้ามุ่งมายังเมืองหลวง โดยที่มีองครักษ์ลับสิบกว่าคนและเหวินเป้าคอยคุ้มครองอยู่ ในใจของพวกเขากังวลราวกับมีเพลิงไฟสุมอก