ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 235 จบชีวิตตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหน้าไป เห็นสีหน้ากังวลอีกใบหนึ่งของเมิ่งเอ้ออิ๋น เรียกขึ้นว่า “ท่านพ่อ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็น้ำตาคลอ ตอบว่า “พ่ออยู่นี่”
“พี่ใหญ่”
“พี่สะใภ้ใหญ่”
“พี่รอง”
“พี่สะใภ้รอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกไปทีละคน
ทุกคนน้ำตารื้นตอบว่า “พี่ใหญ่อยู่นี่” “พี่สะใภ้ใหญ่อยู่นี่” “พี่รองอยู่นี่” “พี่สะใภ้รองอยู่นี่”
ใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวปรากฏรอยยิ้มปลอบโยน “ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านไม่ต้องกังวลหรอก”
แล้วน้ำตาทุกคนก็ไหลลงมา
พระชายาฉีเองก็น้ำตาคลอ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างอดกลั้นไม่ได้ ส่งสายตาไปที่อ๋องฉี ทำสัญญาณให้พวกเขาสองคนออกไป ให้ครอบครัวตระกูลเมิ่งได้พูดคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยว
อ๋องฉีเข้าใจ ลุกขึ้น เดินตามพระชายาฉีออกไป
น้ำตาของเมิ่งซื่อไหลพลั่ก หยดลงบนผ้าห่มที่ห่มเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปจะเช็ดน้ำตานาง หวงฝู่อี้เซวียนห้ามนางไว้ “ระวังจะโดนแผล”
เมิ่งซื่อรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาตนเอง และรีบพูดห้ามว่า “เจ้าอย่าขยับเลย”
เมื่อเห็นตาแดงก่ำของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งแสดงสีหน้าสบายใจ “พวกท่านไม่ต้องกังวลหรอก แผลครั้งนี้ของข้าเบากว่าเมื่อห้าปีที่แล้วเยอะ ไม่กี่เดือนก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อนางพูดจบ น้ำตาเมิ่งซื่อก็ไหลลงมาอีกครั้ง
จริงๆ แล้วนางต้องการปลอบประโลมทุกคน แต่กลับทำให้เมิ่งซื่อน้ำตาไหลอีก เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มแสดงสีหน้ากังวล “ท่านแม่ หยุดร้องได้แล้ว ข้าจะหายในเร็ววันนะเจ้าคะ”
เมิ่งซื่อพูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้า
เมิ่งเอ้ออิ๋นยังพอมีสติอยู่ ก็ช่วยปลอบประโลมเมิ่งซื่อ “โยวเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาได้ก็ดีแล้ว หมอหลวงบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าใช้เวลาพักฟื้นไม่กี่เดือนก็กลับมากระโดดโลดเต้นได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบสำทับ “ใช่เจ้าค่ะ ข้าจะหายไวๆ ท่านแม่ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ”
เมิ่งซื่อเช็ดน้ำตา สะอึกไปหนึ่งที พูดขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์ แม่คิดไว้แล้ว เมื่อเจ้าหายดีแล้ว เจ้ากับอี้เซวียนกลับบ้านพร้อมพ่อและแม่เถอะ แม่จะได้เห็นเจ้า เฝ้าดูเจ้าทุกวัน แม่จะได้สบายใจ”
หวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองเขา แล้วหัวเราะพูดกับเมิ่งซื่อว่า “ท่านแม่ ท่าจะยากหน่อยนะ อี้เซวียนเป็นซื่อจื่อของจวนอ๋อง จากที่นี่ไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อกำลังจะพูดต่อ หวงฝู่อี้เซวียนพลันคุกเข่าต่อหน้าทั้งสอง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่ดีเอง ไม่ได้ดูแลโยวเอ๋อร์ให้ดี”
ทุกคนในห้องตกใจ เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบเดินไปพยุงเขาขึ้นมา “เจ้าลูกคนนี้ โยวเอ๋อร์บาดเจ็บโทษเจ้าได้อย่างไร รีบลุกขึ้นมา”
เมิ่งซื่อก็รีบพูดขึ้น “แม่ก็แค่พูดไป เจ้าทำอะไรของเจ้ากัน แม่จะไม่รู้ความเอาใจใส่ของเจ้าที่มีต่อโยวเอ๋อร์หรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านทั้งสองวางใจเถอะขอรับ จากนี้ไป จะไม่มีใครกล้าทำร้ายโยวเอ๋อร์อีกขอรับ”
เรื่องที่จวนเฮ่อถูกฆาตรกรรมหมู่ ครอบครัวเมิ่งรู้กันแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “แม่รู้ เชื่อว่าต่อไปเจ้าจะปกป้องโยวเอ๋อร์อย่างดี”
เด็กน้อยเมิ่งเส้ายืนอยู่ข้างๆ ซุนเชี่ยน มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสีหน้ากังวล
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางโบกมือเรียกเขา “เส้าเอ๋อร์ มานี่สิ”
เมิ่งเส้าเดินไปหาอย่างว่าง่าย ยื่นตัวไปใกล้ มือน้อยๆ ของเขาลูบไปที่ใบหน้าขาวซีดของเมิ่งเชี่ยนโยว ถามด้วยเสียงแผ่วว่า “ท่านอา เจ็บไหมขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขาเบาๆ ยิ้มแล้วตอบกลับว่า “เมื่อกี้ยังเจ็บอยู่ แต่ตอนนี้เห็นหน้าเส้าเอ๋อร์ก็หายเจ็บแล้ว”
“อย่างนั้นข้าจะดูแลท่านอาเอง ท่านอาจะได้ไม่เจ็บ” เมิ่งเส้าพูดอย่างรู้ความ
ทุกคนต่างขบขันกับความน่าเอ็นดูของเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็หัวเราะเล็กน้อย พยักหน้าเบาๆ “ได้ ต่อไปเส้าเอ๋อร์ดูแลอานะ”
เมื่อครอบครัวเมิ่งทราบเรื่องก็รีบมาทันที ไม่มีใครได้พักผ่อน ตอนนี้สีหน้าทุกคนจึงปรากฏความเหนื่อยล้า หวงฝู่อี้เซวียนสังเกตเห็น พูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าสั่งคนเก็บกวาดเรือนในจวนไว้แล้ว พวกท่านทั้งสอง พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พี่รอง และพี่สะใภ้รองไปพักผ่อนเถอะขอรับ ข้าดูแลโยวเอ๋อร์เอง”
เมื่อทั้งบ้านมาถึงเมืองหลวง ก็ตรงมาที่จวนอ๋องฉีทันที เพราะว่าเป็นห่วงเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วนายประตูเป็นคนพาพวกเขามาที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ตอนนั้นมัวแต่กังวลอาการของเมิ่งเชี่ยนโยว ในใจร้อนรน ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นแล้ว หมอหลวงก็บอกกับพวกเขาเองว่าไม่เป็นอะไร เพียงแค่พักผ่อนไม่กี่เดือนก็หาย ทั้งบ้านจึงโล่งใจ เมิ่งซื่อถึงรู้สึกกลัวขึ้นมา ได้ยินดังนั้นก็รีบโบกมือ “ไม่ได้ ไม่ได้ พวกข้าอยู่ที่จวนอ๋องไม่ได้หรอก”
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็กลัวเช่นกัน พวกเขาทั้งบ้านเป็นคนบ้านนอก ไม่ทราบกฎระเบียบในจวนอ๋อง หากพูดอะไรผิด หรือทำอะไรผิดไป ทำให้อ๋องฉีและพระชายาฉีไม่พอใจจะแย่เอา จึงรีบพยักหน้าสำทับว่า “พวกข้าไม่นอนที่นี่ พวกข้าไปอาศัยในจวนที่โยวเอ๋อร์ซื้อไว้ รอสักสองสามวัน อาการโยวเอ๋อร์ดีขึ้นแล้ว พวกข้าจะรับนางกลับไป”
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจว่าพวกเขาคิดอะไร รู้ว่าหากรั้งให้พวกเขาอยู่ในจวนอ๋อง พวกเขาต้องกินไม่ได้ นอนไม่หลับแน่ จึงมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพูดว่า “ตามใจท่านเถอะ”
เมิ่งซื่อค่อยโล่งอก พูดขึ้นว่า “ต่อจากนี้เวลากลางวันแม่จะมาดูแล ตกดึกค่อยกลับไปนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะพูดขึ้นว่าไม่เป็นไร มีตนดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวก็พอแล้ว แต่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นก่อนว่า “ได้เจ้าค่ะ วันนี้แม่กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมา ข้าอยากกินอาหารฝีมือท่านแม่แล้ว”
เมิ่งอี้สองสามีภรรยาที่ไปมาจวนอ๋องทุกวัน ก็กลับมาหนานเฉิง พร้อมเมิ่งเอ้ออิ๋นสองสามีภรรยา เมื่อได้ข่าวว่าเมิ่งเสียวเถี่ยตายแล้ว ก็ชะงักไป เมิ่งอี้พูดอย่างเจ็บปวดว่า “ข้าอกตัญญูจริงๆ ไม่ได้ส่งน้าสี่แม้แต่ครั้งสุดท้าย”
เมิ่งเสียนตบบ่าเขา พูดด้วยความรู้สึกโชคดีว่า “โชคดีที่เจ้าไม่ได้กลับไปพร้อมโยวเอ๋อร์ ไม่อย่างนั้น…” ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดออกมา ทุกคนต่างรู้ว่าหมายถึงอะไร หากเมิ่งอี้สองสามีภรรยากลับไปพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ก็ต้องกลับมาพร้อมนางอีก การลอบฆ่าที่เกิดขึ้นระหว่างทางต้องเอาชีวิตพวกเขาทั้งครอบครัวแน่
ทั้งบ้านอาศัยในเมืองหลวง เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียน และเมิ่งอี้นั่งรถม้าไปนอกเมืองทุกวัน คอยคุมคนงานให้ดูแลมันฝรั่งหนึ่งพันห้าร้อยหมู่ ส่วนเมิ่งฉีไปดูแลโรงงาน
เมิ่งซื่อพาซุนเชี่ยน หวังเยียน และโจวอิ๋งทำอาหารให้เมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อทำเสร็จก็ใส่กล่องไปที่จวนอ๋อง ผลัดกันไปดูแลเมิ่งเชี่ยนโยว
ช่วงนี้พระชายาฉีก็มาหาทุกวัน คุยเล่นกับพวกนาง
เมิ่งซื่อเห็นว่าพระชายาฉีไม่ยกตนข่มท่าน เมื่อผ่านไปไม่กี่วัน ความตื่นเต้นและความกลัวก็มลายหายไป เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวหลับไป ก็ไปเรือนของพระชายาฉีช่วยทำเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เมิ่งเชี่ยนโยว พลางพูดคุยกับนาง และเล่าเรื่องตลกในชนบทให้ฟัง
พระชายาฉีฟังอย่างสนุกสนาน พูดว่าหากต่อไปมีเวลาว่าง จะไปอาศัยในชนบทสักระยะหนึ่ง
ส่วนซุนเชี่ยน หวังเยียน และโจวอิ๋งก็ออกไปซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ในงานสมรสของเมิ่งเชี่ยนโยว
ลูกของหวังเยียนยังเล็ก พระชายาฉีรักใคร่เอ็นดูมาก ทุกครั้งเมื่อถึงเวลานี้ ก็จะอาสาช่วยดูแลลูกเอง เพียงเด็กน้อยอยู่ในมือนาง นางก็จะอุ้มไม่ปล่อยเลย โยกซ้ายโยกขวาหยอกเล่นกับเด็กน้อยอย่างสนุกสนานจนทำให้ภายหลังทุกครั้งที่เห็นพระชายาฉีอยู่ต่อหน้าเขา ก็จะอ้าแขนขอให้นางอุ้ม
และหนึ่งในนี้ คนที่ไม่มีความสุขที่สุดก็คือหวงฝู่อี้เซวียน กลางวันเมิ่งเชี่ยนโยวถูกคนบ้านตระกูลเมิ่งครอบครองไปทั้งวัน ส่วนตัวเองได้แต่รอให้ถึงกลางคืนถึงจะได้กอดนางกระซิบคุยกับนาง
เป็นเช่นนี้จนผ่านไปอีกสองสามวัน โจวอันพาองครักษ์ลับสิบนายตะลอนกลับมา นำเงินทองที่ได้จากองค์ชายหกส่งให้หวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้รับไว้ สั่งว่า “ไปแบ่งให้พี่น้องทั้งสามพันนายเถอะ”
องค์ชายหกมีเงินทองหลายแสนตำลึง แม้จะแบ่งเท่ากันสามพันนาย คนหนึ่งก็ยังได้ไม่น้อย โจวอันดีใจใหญ่ กล่าวขอบคุณ “ขอบคุณนายท่านขอรับ”
ในขณะเดียวกัน ฮ่องเต้ก็ได้รับสาสน์รายงานจากข้าราชบริพารจากแดนกันดาร ในสาสน์รายงานว่าเมื่อครั้นองค์ชายหกใกล้ถึงดินแดนกันดาร เจอพวกอันธพาล เกิดการต่อสู้ และถูกอันพาลฆ่าตาย ทรัพย์สินที่มีถูกแย่งชิงไปหมด แต่คนขับรถม้ารอดมาได้เพราะว่ายอมแพ้ตั้งแต่ตอนสู้กัน สาสน์ยังถูกประทับด้วยรอยนิ้วมือของคนขับรถม้าผู้เป็นพยานให้เหตุการณ์
ส่วนองครักษ์หลวงที่ถูกฮ่องเต้ส่งไปก็กลับมาแล้ว รายงานว่าพบร่างขององค์ชายหก และก็สืบสวนคนขับรถม้าแล้ว พยานพูดตรงกันว่าองค์ชายหกเจออันธพาล ถูกพวกเขาใช้ดาบยาวแทงข้างหลัง เป็นดาบยาวที่อันธพาลมักใช้กัน คนทั่วไปไม่มี
บุตรที่เลี้ยงดูเติบโตมาเองกับมือ ฮ่องเต้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่ากำลังวังชาขององค์ชายหกไม่น้อยหน้าใคร จะตายในมือของอันธพาลง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร จึงเดาได้ในใจว่าอาจจะเป็นฝีมือของพ่อลูกอ๋องฉี แต่ก็ไม่มีหลักฐาน ได้แต่เขวี้ยงของในห้องหนังสืออย่างโมโหอีกครั้ง หลังจากด่าว่าองครักษ์หลวงเป็นพวกไร้ประโยชน์แล้ว เรื่องนี้ก็จบอย่างค้างคา
ส่วนเฮ่อผินเฟยผู้ซึ่งเสียสติหลังจากได้ข่าวว่าบ้านนางถูกสังหารหมดแล้ว เมื่อมี ‘ผู้หวังดี’ ส่งข่าวมาว่าองค์ชายหกของนางตายแล้ว ก็วิ่งไปคุกเข่าหน้าห้องหนังสือหวังพบฮ่องเต้ เพื่อถามข้อเท็จจริง
ความรักใคร่เอ็นดูตลอดหลายปีที่ผ่านมา จะว่าไม่เหลือเยื่อใยเลยก็มิใช่ อีกทั้งยังสงสารนางที่เสียทั้งครอบครัวและลูกไป ฮ่องเต้จึงยอมออกมาพบนาง และบอกนางด้วยปากของตนว่า เรื่องขององค์ชายหกเป็นเรื่องจริง ทรงส่งองครักษ์หลวงไปช่วยแล้ว แต่ก็สายไป
เมื่อสูญเสียทั้งครอบครัวและลูกไป แผนที่วางมาตลอดหลายปีพังไม่เป็นท่า เฮ่อผินเฟยเดินหัวเราะอย่างบ้าคลั่งกลับวังของตน เมื่อตกดึกในเวลาที่ไม่มีใครทันสังเกต ก็แขวนคอตัวเองในห้อง เมื่อบ่าวในวังพบเข้า ร่างก็แข็งไปแล้ว
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนได้ข่าวนี้จากในวัง เขาไม่แม้แต่กะพริบตา
ฮ่องเต้กลับเจ็บปวดใจ ออกพระราชโองการคืนตำแหน่งกุ้ยเฟยให้นาง ฝังศพนางในฐานะกุ้ยเฟย และประกาศกร้าวว่าตนจะไม่พิศวาสใครอีกในสามวันนี้
คู่ศัตรูหลายปีเจอจุดจบแบบนี้ ฮองเฮานั้นชื่นบานใจยิ่งนัก แม้แต่อาหารเช้ามื้อนั้นนางก็ทานไปไม่น้อยเลย
หวงฝู่ซวิ่นมาถึงจวนอ๋องฉี เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนก็ถามขึ้นทันที “เป็นฝือมือเจ้าใช่หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา
หวงฝู่ซวิ่นเม้มปากไม่พอใจ พูดว่า “เจ้านี่แล้งน้ำใจจริง ข้าสู้กับเขามาตั้งหลายปี อย่างน้อยเจ้าก็ควรให้ข้าได้เห็นความทรมานของเขาก่อนตายสิ”
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเสียงเกรี้ยวกราด “ทหาร!”
โจวอันเดินเข้ามา ประสานมือ พูดอย่างสุภาพ “ขอรับนายท่าน!”
“ส่งไท่จื่อไปแดนกันดารตอนนี้เลย หากศพลงหลุมไปแล้ว ก็ให้ขุดขึ้นมาให้เขาดู” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งด้วยสีหน้าจริงจัง
โจวอันยังไม่ทันขานรับ หวงฝู่ซวิ่นก็ตกใจจนกลืนน้ำลายไปหนึ่งอึก ถามขึ้นอย่าไม่เชื่อว่า “เจ้าพูดเล่นใช่ไหม”
สีหน้าพูดเล่นของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ปรากฏแม้แต่น้อย พูดขึ้นว่า “ท่านเป็นไท่จื่อ เป็นพระราชาในอนาคต คำสั่งของท่านข้าจะไม่ทำตามได้อย่างไร ท่านวางใจเถอะ องครักษ์ลับทำงานรวดเร็ว ไม่เกินห้าวันก็ส่งท่านไปแดนกันดารได้แล้ว”
แดนกันดารห่างจากเมืองหลวงไกลโพ้น ห้าวันถึงที่นั่น ผิวหนังคงถลอกปลอกเปิก ไม่สิ ตัวเองไม่ได้อยากไปอยู่แล้ว แค่พูดขึ้นมาเฉยๆ หวงฝู่อี้เซวียนเจ้าคนใจดำ คงคิดจะกลั่นแกล้งกันแน่ๆ
หวงฝู่ซวิ่นคิดได้ รีบลุกขึ้น ออกจากจวนอ๋องฉีไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจากไปพูดด้วยความแค้นเคืองว่า “ข้ายอมปล่อยเจ้าไปเพราะเห็นแก่น้องสะใภ้ของข้าที่กำลังบาดเจ็บอยู่หรอกนะ หากครั้งหน้าเจ้ายังแกล้งข้าแบบนี้ ข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่”
โจวอันมองเขาหนีออกไปจากจวนอ๋องฉีด้วยความไวแสง ยืนมองอย่างตกตะลึงอยู่ชั่วครู่
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มมุมปาก อาการเบื่อหน่ายที่ไม่ได้ดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยตัวเองค่อยคลายลงไปบ้าง ก้าวขาขึ้นเตรียมเดินไปห้องของตนเพื่อดูว่าเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นหรือยัง เสียงดังไร้มารยาทก็ดังขึ้นอีกเสียงจากห้องรับแขก “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าดูแลโยวเอ๋อร์อย่างไรกันแน่”
สิ้นเสียง หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว เดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยังไม่ทันพูดอะไร เงาใครสักคนก็วูบผ่านตรงหน้า สวมหมัดมุ่งตรงมาทางเขา