ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 251 จัดเตรียม
ในใจของเมิ่งซื่อไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจ ดีใจเพราะฮ่องเต้ออกราชโองการ สุดท้ายลูกสาวตัวเองจะได้แต่งงานสักที เสียใจเพราะถ้าแต่งงานจริงๆ ต่อไปเมิ่งเชี่ยนโยวไม่สามารถมีบุตรได้ แล้วโดนดูถูกขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร
เรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีบุตรยากไม่ได้เล่าให้เมิ่งจงจวี่สองสามีภรรยาฟัง ฉะนั้นทั้งสองคนยังไม่รู้ เมิ่งจงจวี่ได้ยินก็ตกใจหยุดชะงักไป ไม่นานก็รู้สึกตัวขึ้นมา ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ดีกับเมิ่งเชี่ยนโยว ให้พวกเขาแต่งงานกันเร็วๆ
บรรดาคนในตระกูลเมิ่งก็ตกใจหยุดชะงักไป ตั้งแต่เมิ่งเชี่ยนโยวหายตัวไป นางคิดไปเองฝ่ายเดียวมาตลอดว่า เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เห็นด้วยกับงานแต่งครั้งนี้ ฉะนั้นในใจของนางก็ไม่เห็นด้วยกับงานแต่งครั้งนี้ แต่ตอนนี้ฟังคำพูดของพระชายาฉีแล้ว ตกใจจนตาโต มองพระชายาฉีอย่างเหลือเชื่อ ตระกูลเมิ่งมีหลายร้อยกว่าชีวิต ฮ่องเต้ใช้ชีวิตของพวกเขาเป็นตัวประกัน เมิ่งเชี่ยนโยวต้องแต่งแน่นอน ทีนี้นางก็จะยิ่งลำบากมากขึ้นไปอีก
ในใจของเมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีรู้ดีว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงเงียบไม่เอ่ยอะไร
จุดมุ่งหมายของพระชายาฉีที่พูดเรื่องนี้ออกมาคือทำให้พวกเขาตกใจ ให้ครอบครัวเมิ่งรับสินสอดไว้ เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ไม่คิดว่าหลังจากทุกคนได้ยินจะมีสีหน้าเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดแสดงสีหน้าดีใจออกมาเลย จึงมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน ส่งสัญญาณให้เขา
หวงฝู่อี้เซวียนสะบัดปลายเสื้อขึ้น แล้วคุกเข่าลง
ทุกคนตกใจ เมิ่งจงจวี่รีบเตรียมตัวลุกขึ้น พยุงเขาขึ้นมา หวงฝู่อี้เซวียนห้ามไว้ ออกเสียงต่ำ มีพลังว่า “ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ เซวียนเอ๋อร์อยากขอร้องพวกท่านยกโยวเอ๋อร์ให้แต่งงานกับข้า ข้ารู้ว่า เมื่อก่อนข้าทำตัวไม่ค่อยดี ทำให้พวกท่านกังวล แต่ข้าสัญญากับพวกท่าน หลังจากแต่งงาน ข้าจะดีกับโยวเอ๋อร์ ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะไม่ห่างจากนาง ยิ่งไปกว่านั้นข้าสัญญาว่า ชีวิตนี้จะแต่งกับนางเพียงคนเดียว ไม่นอกใจนางเป็นอันขาด”
แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะสัญญาเช่นนี้ เมิ่งซื่อก็ยังไม่วางใจ ถอนหายใจแรงๆ หนึ่งครั้ง “อี้เซวียน เจ้าเป็นเด็กที่มีจิตใจดี ในใจข้ารู้ดี แต่สภาพตอนนี้ของโยวเอ๋อร์นั้นพิเศษ ตอนนี้เจ้าอาจจะรู้สึกไม่มีอะไร แต่ห้าปีผ่านไป สิบปีผ่านไป เห็นคนอื่นมีลูกหลานรอบๆ ตัว จิตใจของเจ้ามันจะเปลี่ยนไปเองโดยธรรมชาติ แทนที่จะรอให้ถึงเวลานั้นพวกเจ้ากลายเป็นคู่ที่เกลียดชังกัน ตอนนี้ปล่อยมือกัน เจ้าสู่ขอผู้อื่น ส่วนโยวเอ๋อร์กลับบ้านกับข้า ข้าจะเลี้ยงนางจนแก่เฒ่าไม่ดีกว่าหรือ”
“ท่านแม่” น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนมีความหวาดกลัวและตกใจ “โยวเอ๋อร์เป็นครึ่งชีวิตของข้า ถ้าหากไม่มีนาง ทั้งชีวิตของลูกก็จะไม่มีความสุขแน่นอน ท่านทนเห็นโยวเอ๋อร์และข้าเจ็บปวดได้หรือ ส่วนเรื่องมีบุตร พวกข้าปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าหากมี แน่นอนว่าพวกข้าต้องดีใจ แต่ถ้าหากไม่มี พวกข้าก็ไม่สนใจ ข้ายังมีน้องชาย ลูกของเขาโตมาสืบทอดตระกูลต่อก็เหมือนกัน
แม้ว่าเมิ่งซื่อจะไม่รู้เรื่องของจวนอ๋องฉี แต่ก็เคยได้ยินเรื่องมากมายที่เกี่ยวกับความแตกต่างของบุตรภรรยาเอกกับบุตรอนุในครอบครัวตระกูลใหญ่ แล้วก็รู้ว่าเพื่อแย่งชิงสมบัติกัน ทั้งสองฝ่ายจะทำร้ายกัน ต่างคนต่างวางแผน แม้ว่าความสัมพันธ์ของหวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้จะดีแค่ไหน แต่ฐานะก็ยังคงแตกต่างกันอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากวันใดให้ลูกของหวงฝู่อวี้สืบทอดตระกูลต่อจริงๆ ในจวนอ๋องฉีอาจไม่มีที่สำหรับพวกเขาสองคนก็ได้ คิดถึงนี่ ก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ อีกหนึ่งครั้ง “เซวียนเอ๋อร์ แม่ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับงานแต่งของพวกเจ้า แต่เพื่ออนาคตของพวกเจ้า เจ้าลองคิดดูดีๆ อีกสักครั้ง ตอนนี้กลับคำยังทัน”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหัวไปมาอย่างมั่นใจ “ท่านแม่ ทั้งชีวิตของลูกอยู่เพื่อโยวเอ๋อร์ ถ้าหากนางอยู่ข้างๆ ลูก ทุกวันของลูกก็จะผ่านไปอย่างมีความสุขมาก ถ้าหากนางไม่อยู่ ลูกก็ผ่านหนึ่งวันเหมือนหนึ่งปี ลูกอยากขอร้องให้ท่านแม่เห็นด้วยกับงานแต่งของลูกเถิด ให้โยวเอ๋อร์แต่งกับข้าเถิด”
เมิ่งซื่ออ้าปากกำลังจะพูด เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา แล้วคุกเข่าลงข้างๆ หวงฝู่อี้เซวียน “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านปู่ ท่านย่า โยวเอ๋อร์อยากแต่งกับอี้เซวียน อยากขอร้องให้ทุกท่านตกลงเถิด”
สีหน้าของเมิ่งซื่อเริ่มอ่อนลง “โยวเอ๋อร์ เจ้า…”
“ท่านแม่เจ้าคะ ข้ารู้ว่าท่านหวังดีกับข้า แต่หลังจากผ่านการห่างไกลกันนานหลายเดือนมานี้ทำให้ลูกรู้ว่า ถ้าหากไม่มีอี้เซวียน ทั้งชีวิตนี้ ก็ไม่มีความสุขและความหวังอะไรอีกเลย ฉะนั้นลูกจึงกลับมากับเขา มอบทั้งหมดของลูกให้เขาอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ฉะนั้น อยากขอร้องท่านพ่อท่านแม่ให้เห็นด้วยกับงานแต่งของพวกข้า ต่อไปไม่ว่าดีหรือร้าย ลูกก็ขอแบกรับกับเขาเจ้าค่ะ”
ทุกคนอาบน้ำร้อนมาก่อน จะไม่เข้าใจความหมายของประโยคที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดได้อย่างไร เมิ่งจงจวี่สองสามีภรรยาและเมิ่งเอ้ออิ๋นสองสามีภรรยาตกใจ เมิ่งเสียนกัดปาก เมิ่งฉีกำหมัดแน่น
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เมิ่งซื่อจึงเอ่ยออกมาว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้า…” ประโยคหลัง ขยับปากสักพักใหญ่ ก็ไม้รู้จะเอ่ยอะไรออกมา
พระชายาฉีรีบเอ่ยออกมาว่า “ชิ่งจยา ลูกสองคนนี้รู้จักกันมานานขนาดนี้แล้ว เลยเถิดมาถึงขั้นนี้ก็ไม่แปลก ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเราก็อย่าลังเลใจอีกเลย สินสอดอยู่ข้างนอก พวกเราออกไปดูกันเถิด”
ไม่มีใครมารับสินสอดสักที เสียงกลองข้างนอกก็ยังคงบรรเลงอยู่
ทุกคนมองไปทางเมิ่งซื่อ รอนางตัดสินใจ
มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าจะคำนึงถึงชื่อเสียงของลูก เมิ่งซื่อไม่ตกลงก็ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองรักกัน ตกลงปลงใจกัน ถ้าหากตัวเองยังไม่เห็นด้วยอีก ก็จะกลายเป็นคนที่ทำให้ทั้งคู่พลัดพรากจากกัน สุดท้ายเมิ่งซื่อถอนหายใจหนึ่งครั้ง แล้วพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวดีใจมาก กราบลงไปพร้อมกัน “ขอบพระคุณขอรับ/เจ้าค่ะท่านแม่”
เมิ่งซื่อลุกขึ้น พยุงทั้งสองขึ้นมา
พระชายาฉีก็ดีใจมาก ยิ้มแล้วลุกขึ้น กล่าวว่า “ชิ่งจยาเราออกไปดูสินสอดกันเถิด”
เมิ่งซื่อตกลง ทุกคนก็ดีใจ ยิ้มแล้วลุกขึ้น เมิ่งเสียนและเมิ่งเอ้ออิ๋นพยุงเมิ่งจงจวี่ เมิ่งซื่อและซุนเชี่ยนพยุงบรรดาคนในตระกูลเมิ่ง ทุกคนดีใจแล้วพากันเดินออกไปข้างนอก
เห็นคนเดินออกมาจากจวน เสียงดนตรียิ่งบรรเลงดังขึ้นไปอีก
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมา โบกมือกับทุกคน เสียงดนตรีหยุดบรรเลง คนที่มามุงดูล้อมรอบก็ทำตาโตแล้วหันมาทางนี้
หวงฝู่อี้เซวียนพูดสั่งอย่างดีใจ “เปิด**บสินสอด”
ทหารองครักษ์ในจวนรับคำสั่ง ก็เปิดออกทีละ**บตั้งแต่**บแรกอย่างเป็นระเบียบ ให้เห็นสินสอดข้างในกันอย่างชัดเจน
ทุกครั้งที่เปิดออกหนึ่ง**บ คนที่มามุงดูก็สูดหายใจเข้าลึกๆ พักใหญ่ จนเปิดออกหมดทุก**บ เสียงเข้าออกของลมหายใจ ดังติดต่อกันเป็นเวลานาน
ครอบครัวเมิ่งก็ทนไม่ไหวออกเสียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เบา ครั้งนั้นครอบครัวเมิ่งสู่ขอสะใภ้ทีเดียวทั้งสามเรือน สินสอดของแต่ละคนถือว่าหนาแน่นมากแล้ว แต่ถ้าเทียบกับจวนอ๋องฉีแล้ว คือดูไม่ได้เลย บรรดาคนในตระกูลเมิ่งคิดโดยประมาณแล้วสินสอดของหลานสะใภ้ทั้งสามของตนเองรวมกันแล้ว เกรงว่ายังไม่มีค่าเท่ากับสินสอดหนึ่ง**บในนี้เลย
คนที่มามุงดูส่วนใหญ่ก็เป็นประชาชนที่ยากจน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นสินสอดเช่นนี้ ภาพวาดโบราณ ชุดเครื่องประดับ อัญมณีต่างๆ ยังมีอีกมากมายที่พวกเขาไม่เคยพบเห็น สิ่งของมีค่าที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อเรียก
สินสอดพวกนี้ จวนอ๋องฉีใช้เวลาจัดเตรียมหนึ่งปีกว่า ตอนนี้เห็นการตอบสนองของครอบครัวเมิ่ง ใจที่กังวลก็วางลงได้สักที ยิ้มแล้วกล่าวกับเมิ่งซื่อว่า “ชิ่งจยา ดูสิว่ายังขาดเหลืออะไรอีกหรือไม่ ข้าจะได้กลับจวนไปจัดการ”
เมิ่งซื่อก็ดูจนตาลายเล็กน้อย ได้ยินจึงรู้สึกตัวขึ้นมา สีหน้ามีความตกใจเล็กน้อย “ท่านเกรงใจมากไปแล้ว ทั้งชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยพบเจอสินสอดที่ดีเยี่ยมเยี่ยงนี้มาก่อน ท่านให้ความสำคัญกับพวกข้ามากไปแล้ว”
พระชายาฉีกล่าวเสียงดังว่า “ลูกสะใภ้คนนี้ข้าขอแทบเป็นแทบตายจึงจะได้มา สินสอดพวกนี้ข้ายังรู้สึกน้อยไปด้วยซ้ำ รอพวกเขาแต่งงานกันแล้ว ข้าจะมอบอำนาจดูแลจวนให้โยวเอ๋อร์ทันที ทุกอย่างในจวนเป็นของนางทั้งหมด”
เสียงสูดลมหายใจเข้าดังขึ้นอีกครั้ง ครอบครัวตระกูลใหญ่ ให้ความสำคัญที่สุดกับอำนาจดูแลครอบครัว เพราะถ้าหากมีอำนาจดูแลครอบครัว เรื่องทุกอย่างในครอบครัว แทบจะทุกเรื่องที่คำพูดของคนถืออำนาจเป็นใหญ่สุด คนที่เหลือต้องมองสีหน้าของนางในการดำเนินชีวิต พระชายาฉีสัญญาต่อหน้าทุกคนในที่นี้ว่าจะมอบอำนาจดูแลครอบครัวให้กับองค์หญิงชิงเหอ นั่นเท่ากับว่าเป็นการบอกกลายๆ ถึงฐานะในจวนอ๋องของเมิ่งเชี่ยนโยวในอนาคต
ไม่เพียงแต่คนที่มามุงดู แม้แต่ครอบครัวเมิ่งก็ตกใจกันไปสักพักใหญ่ๆ ไม่รู้สึกตัวกันไปหมด
พระชายาฉีมองดูการตอบสนองของทุกคนอย่างพอใจ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ชิ่งจยา ถ้าหากท่านไม่มีความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับสินสอด พวกเราก็จัดงานแต่งงานให้เด็กทั้งสองในวันที่หกเดือนแปดตามวันที่กำหนดเถิด”
เมิ่งซื่อพยักหน้าเห็นด้วยติดต่อกันหลายๆ ครั้ง “ดีๆๆ ให้พวกเขาแต่งงานตามวันที่กำหนด”
เปิดสินสอด โน้มน้าวใจคนในครอบครัวเมิ่ง เป้าหมายของพระชายาฉีก็สำเร็จลงแล้ว ก็ไม่ได้เดินกลับเข้าไปในจวนอีกครั้ง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “วันแต่งงานรีบร้อนมากเกินไป ข้ายังต้องกลับไปจัดเตรียมอีกมากมาย ถ้าหากท่านไม่มีเรื่องอะไร ข้าขอตัวกลับก่อน”
เมิ่งจงจวี่สองสามีภรรยาไม่ขยับ เมิ่งซื่อสองสามีภรรยา เมิ่งเสียนสองสามีภรรยาและเมิ่งฉีสองสามีภรรยาเดินไปส่งพระชายาฉีและหวงฝู่อี้เซวียนถึงข้างรถม้า มองดูพระชายาฉีขึ้นรถม้าไป
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ คนที่เล่นดนตรีและยกสินสอดก็ถอยหลังออกไปอย่างเป็นระเบียบ กระโดดขึ้นบนหลังม้า หันม้า แล้วตามหลังรถม้าของพระชายาฉีไปทางจวนอ๋องฉี
องครักษ์ในจวนตามหลังอย่างเป็นระเบียบ
ทุกคนที่มามุงดูก็มองตามหลังทั้งสองไปไกล ก็หันกลับมามองสินสอดตั้งแต่ลังแรกยันลังสุดท้ายอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ จึงจะจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
สินสอดหนึ่งร้อยแปดลังนี้ เปิดไว้หนึ่งวันเต็มๆ คนที่มามุงดูจึงจะค่อยๆ ทยอยหายไปจนหมด เมิ่งเสียนจึงสั่งคนในจวนให้ยกเข้าไปในจวน
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่นานก็เข้าหูฮ่องเต้และไทเฮา
ไทเฮาโมโหจนโยนแก้วชาในมือลงบนพื้น เสียงดังนั้นทำให้นางกำนัลและขันทีที่รับใช้อยู่ในห้องตกใจจนกราบลงไปบนพื้นอย่างพร้อมเพรียง “เจ้าชั่วสองคนนี้ เป็นคนในราชวงศ์แท้ๆ ลดตัวลงไปสู่ขอลูกสาวชาวนา ยังประกาศให้ทุกคนรู้กันไปทั่ว เสียสติกันไปแล้วหรือไง”
ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา แม้แต่เสียงหายใจดังๆ ก็ไม่มี
มีแต่สายตาของกูกูผู้ดูแลที่กะพริบหลายครั้ง แต่ไม่นานก็กลับมาสงบเหมือนเดิม
ไทเฮายังคงไม่หายโมโห ตะคอกด่าว่า “ลูกสาวชาวนาที่มีบุตรยากคนหนึ่ง ฮ่องเต้ประทานนามองค์หญิงชิงเหอให้กับนาง ยังตกลงเรื่องแต่งงานของนางกับเซวียนเอ๋อร์ นางไม่เพียงแต่ไม่รู้จักขอบพระทัย ยังหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุครึ่งปีกว่า เกือบทำลายหลานชายที่ดีของข้าไปคนหนึ่ง ตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำตัวดีๆ ไม่กระทำการณ์เงียบๆ ยังกล้าทำเรื่องเสียหน้าราชวงศ์ของข้าเยี่ยงนี้ ถ้าหากไม่เห็นแก่หน้าของเซวียนเอ๋อร์ ครั้งนี้ข้าจะต้องทำอะไรนางสักอย่างจริงๆ ”
กูกูผู้ดูแลอ้าปาก กลืนคำพูดที่จะเอ่ยออกมาลงไปอีกครั้ง
ขันทีที่ดูแลกลับเงยหน้าแล้วโน้มน้าวอย่างประจบสอพลอว่า “ไทเฮา ท่านไม่เห็นต้องไปโมโหให้กับคนที่ไม่มีค่าเช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ต้องว่าแค่ตอนนี้ รอนางและซื่อจือแต่งงานกันแล้ว ท่านก็สามารถเรียกนางเข้าวังมาคุยด้วยบ่อยๆ ได้”
ทุกคนเข้าใจความหมายในประโยคของขันทีที่ดูแล ไทเฮาจะไม่เข้าใจได้เยี่ยงไร ความโมโหลดน้อยลง ยิ้มแล้วพยักหน้า “เจ้าพูดถูก นางเป็นหลานสะใภ้ของข้า ข้าเรียกนางเข้าวังนางจะกล้าปฏิเสธเอ่ยคำว่าไม่ได้อย่างไร
ประโยคเดียว กำหนดชีวิตต่อไปที่ลำบากของเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ หวงฝู่อี้เซวียนเป็นคนที่หลงภรรยามาก จะให้นางสมหวังได้อย่างไร
ฝั่งนี้ไทเฮาคิดอย่างมีความสุข ฝั่งฮ่องเต้หลังจากได้ยินคำรายงานของขันที พิงหลังลงไปบนเก้าอี้ เงียบไปสักพักใหญ่ วันนั้นที่หวงฝู่อี้เซวียนเข้าวังมาขอราชโองการ คำที่ขมขู่ตนยังอยู่ข้างหู ‘เสด็จลุง ทั้งชีวิตของข้าไม่ต้องการอะไร แค่อยากอยู่กับโยวเอ๋อร์ ถ้าหากท่านตกลงให้พวกข้าแต่งงานกัน ข้าจะสนับสนุนให้ตระกูลหวงฝู่ของเราครองบัลลังก์อย่างสุดความสามารถ แต่ถ้าหากท่านไม่ตกลง งั้นข้าก็ขอละทิ้งฐานันดรนี้ แล้วพาโยวเอ๋อร์ไปเที่ยวทั่วภูเขาทะเล ตั้งแต่นี้ต่อไป ตระกูลหวงฝู่กับข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น’
ประโยคนี้ ถ้าหากเป็นผู้อื่น ฮ่องเต้คงให้ทหารลากตัวออกไปประหารชีวิตทันที แต่หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยออกมา ในใจของฮ่องเต้ก็รู้สึกหวาดกลัว หวงฝู่อี้เซวียนมีพรสวรรค์ทั้งความรู้และการต่อสู้อย่างมาก เขาเห็นมาโดยตลอด พูดได้เลยว่าองค์ชายทั้งหลายไม่มีใครเทียบเขาได้เลยสักคนเดียว ถ้าหากเขายอมสนับสนุน แม้ว่าองค์ชายรัชทายาทจะไม่ได้เรื่องสักแค่ไหน แต่ก็สามารถครองบัลลังก์ได้อีกนานหลายปี ตระกูลหวงฝู่ของพวกเขาก็ยังสามารถตั้งตระหง่านได้อีกนานหลายปีไม่ล้มลง แต่ถ้าหากเขาไม่สนับสนุน การสืบทอดบรรพบุรุษของตน ไม่รู้ว่าจะสามารถรักษาไว้ได้นานแค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือ ถ้าหากเขาไป น้องชายคนเดียวของเขาก็จะจากเขาไปด้วย ต่อไปเขาก็จะเป็นฮ่องเต้ผู้โดดเดี่ยวเดียวดายจริงๆ ฉะนั้นแม้ว่าจะได้ยินคำรายงานของขันทีแล้ว ฮ่องเต้ก็ทำได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่มีทางเลือก โบกมือให้ทุกคนถอยออกไป ครั้งแรกในชีวิต ที่ตนเหม่อมองเพดานของพระตำหนัก