ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 260 ผู้ชาย? ผู้หญิง?
เมิ่งเสียนชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสภาพน่าสงสารของหวงฝู่อี้เซวียน ก็ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “ข้าจะลองดู แต่ไม่รับรองว่าจะสำเร็จนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนดีใจมาก กล่าวขอบคุณไม่หยุดปาก “ขอบคุณพี่ใหญ่ ขอบคุณพี่ใหญ่มากขอรับ”
เมิ่งเสียนตบบ่าเขาเบาๆ หน้าตายังคงยิ้มแย้มเช่นเดิม “ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้าหรอก แต่ข้าทำเพื่อน้องเล็กต่างหาก ข้าไม่อยากให้น้องเล็กต้องเสียใจน่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงัก รอยยิ้มเกร็งบนใบหน้า
เมิ่งเสียนเดินจากไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หวงฝู่อี้เซวียนมองดูแผ่นหลังที่จากไปอย่างร่าเริงของเขา พลันรู้สึกประหนึ่งเห็นชีวิตอันน่า ‘เวทนา’ ของตนในอนาคต
ทั้งสองเดินตามกันติดๆ เข้าไปในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน รอจนชิงหลวนรายงานแล้วจึงเดินเข้าไปในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยว ‘ตื่น’ แล้ว นางนอนอยู่บนเตียง
พระชายาฉีและเมิ่งชื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่หัวเตียงและท้ายเตียง คอยถามไถ่นางว่ามีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า หิวไหม อยากทานอะไรไหม
เมิ่งเสียนคารวะพระชายาฉี แล้วมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยดวงตาเป็นประกายสดใส “น้องเล็ก ยินดีด้วยนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพยักหน้า “พี่ใหญ่ ยินดีด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ พี่จะเป็นคุณลุงแล้ว”
พระชายาฉีดีใจออกนอกหน้านอกตา ยิ้มจนปากจะฉีกถึงหู
เมิ่งชื่อก็ไม่ต่างจากนาง แสดงสีหน้าท่าทางปลื้มปริ่มกว่าตอนที่ซุนเชี่ยนคลอดเส้าเอ๋อร์เสียอีก
สีหน้าเมิ่งเสียนก็ยิ่งมีความสุข น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าเดิม “พักผ่อนเยอะๆ นะ มีอะไรสั่งอี้เซวียนไปทำให้ได้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเหลือบมองหวงฝู่อี้เซวียน ตอบว่า “รู้แล้วเจ้าค่ะ พี่ใหญ่”
เมิ่งเสียนหันไปหาเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ นี่ก็เย็นมากแล้ว เรากลับบ้านกันเถอะขอรับ”
เมิ่งชื่อโบกมือ “พวกเจ้ากลับไปเถอะ จากนี้ไปข้าจะอยู่ที่นี่กับโยวเอ๋อร์ จนกว่านางคลอดลูกแล้วค่อยว่ากัน”
รอยยิ้มของเมิ่งเสียนยังคงไม่เปลี่ยน “ท่านแม่ ท่านปู่ท่านย่ายังอยู่ที่บ้านนะขอรับ หากท่านไม่กลับไปเกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะขอรับ หากท่านอยากดูแลโยวเอ๋อร์ ก็ทำเหมือนเมื่อก่อนก็ได้ กลางวันมาตำหนักอ๋อง ตกดึกข้าค่อยมารับท่านกลับไป”
เมื่อได้ยินซุนเหลียงไฉแจ้งเรื่องโยวเอ๋อร์ตั้งครรภ์ พวกเขาไม่ทันได้ส่งคนไปบอกสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่ที่อยู่อีกเรือนหนึ่ง ก็รีบนั่งรถม้าออกมาทันที ที่สำคัญกว่านั้นคือ ในวันที่เมิ่งเชี่ยนโยวแต่งงาน คนทั้งเมืองก็รู้ว่านางมีครรภ์แล้ว สำหรับเมิ่งจงจวี่ผู้ซึ่งเป็นซิ่วไฉมาตลอดชีวิตที่ปากพล่ามแต่เรื่องคุณธรรมพื้นฐานทั้งสี่ นั้น ก็คงสะเทือนใจเขาอยู่ไม่น้อย วันนี้คงต้องกลับไปเล่าที่มาที่ไปทั้งหมดให้พวกเขาทั้งสองฟัง
คิดได้เช่นนั้น เมิ่งชื่อก็พยักหน้า “ก็ดี วันนี้ข้าจะกลับไปพร้อมพวกเจ้า พรุ่งนี้เช้าค่อยมาอีก”
หวงฝู่อี้เซวียนโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีใจมาก ในขณะที่ทุกคนไม่ทันสังเกตนั้นก็แอบส่งสายตาชื่นชมให้เมิ่งเสียน
ในเมื่อที่บ้านมีคนแก่อยู่ หากไม่กลับไปคงมีเหมาะสมจริงๆ พระชายาฉีจึงไม่ได้รั้งไว้ นางลุกขึ้นยืนแล้วส่งเมิ่งชื่อออกจากเรือนไป
เมิ่งเอ้ออิ๋นและคนอื่นๆ ก็กินอิ่มแล้ว กำลังจะมาถามไถ่พอดี แต่ดันเห็นเมิ่งชื่อออกมาเสียก่อน ทั้งบ้านจึงถูกหวงฝู่อี้เซวียนส่งออกจากตำหนักอ๋องไปขึ้นรถม้าและกลับบ้านตนไป
ส่วนเจ้าคนปัญญาอ่อนทั้งหกนายนั้น ครอบครัวเมิ่งลืมไปนานแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็คร้านจะสนใจพวกเขา จึงปล่อยให้พวกเขาดื่มจนพอใจ
ในห้องเหลือเพียงพระชายาฉีคนเดียว
เมื่อครู่นี้เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งหลับ แต่ตอนนี้นางเริ่มง่วงจริงๆ แล้ว จึงพูดขอโทษว่า “พระชายาฉี หม่อมฉันรู้สึกง่วงอีกแล้ว อยากนอนสักงีบเจ้าค่ะ”
“เจ้านอนเถอะ ข้าจะนั่งอยู่ในห้อง ไม่รบกวนเจ้า” พระชายาฉีกล่าวเสียงเบา
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หลับตาลง ผ่านไปครู่เดียวก็ผล็อยหลับไป
พระชายาฉีรู้สึกแปลกๆ คิดอยู่นานจึงนึกขึ้นได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเรียกตนเองไม่ถูก นางควรเรียกตนว่าเสด็จแม่ เมื่อครั้นจะปริปากพูดแก้ไขนาง แต่เห็นนางหลับไปแล้ว จึงกลืนคำพูดทั้งหมดกลับไป นางนั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ สายตากวาดมองไปที่ท้องน้อยๆ ของนาง รู้สึกอยากยื่นมือไปลูบ แต่ก็กลัวจะทำให้นางตื่น จึงได้แต่ทำท่าทางบนท้องของนางด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ประหนึ่งเห็นเด็กน้อยขาวผ่องสองหน่อกำลังเรียกนางว่า ‘ท่านย่า’
หลังจากส่งบ้านตระกูลเมิ่งกลับไปแล้ว ก็เหลือเพียงพระชายาฉีเพียงผู้เดียว หวงฝู่อี้เซวียนมีแผนในใจ เขาเดินย่องเข้าไปในห้อง ส่งสัญญาณให้นางว่าตนมีเรื่องจะคุยด้วย
พระชายาฉีกลัวว่าจะทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวตื่น จึงยื่นนิ้วชี้ขึ้นมาตรงปาก พร้อมทำเสียง จุ๊ จุ๊ เบาๆ แล้วชี้นิ้วไปด้านนอก ส่งสัญญาณว่ามีอะไรให้ไปคุยข้างนอก
ทั้งสองเดินย่องเหมือนโจรตามกันไปติดๆจนถึงในเรือน
พระชายาฉียังคงไม่กล้าพูดเสียงดัง นางพูดด้วยเสียงต่ำว่า “มีอะไรหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนตอบเสียงต่ำว่า “เสด็จแม่ เสด็จพ่อตั้งชื่อลูกอยู่ที่ห้องหนังสือ ท่านไปดูหน่อยดีไหมขอรับ”
ชื่อที่ตั้งจะตามติดตัวลูกไปตลอดชีวิต จะทำเป็นเรื่องเล่นๆ ไม่ได้ พระชายาฉีได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นอย่างเปรมปรีว่า “ข้าไปดูหน่อยแล้วกัน”
พูดจบ ก็หันหลังเดินออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะยิ้มได้ใจ
พระชายาฉีที่เดินออกไปสองก้าวกลับหยุดฝีเท้าลงแล้วหันหลังกลับ “เจ้ายืนทำอะไรอยู่น่ะ ตามข้าไปสิ”
หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ทันได้แสดงสีหน้ายิ้มได้ใจของออกมา ก็ถูกห้ามไว้เสียแล้ว
พระชายาฉีเตือนเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะ อย่าถือโอกาสตอนที่ข้าไม่สังเกตแล้วเจ้าแอบเข้าไปในห้องโยวเอ๋อร์ อีกประเดี๋ยวข้าจะสั่งคนให้เฝ้ารอบเรือนให้แน่นหนาเลย สามเดือนแรกไม่ให้เจ้าทำอะไรตามใจแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนร้องทุกข์ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับไม่ปรากฏสีหน้าใดๆ ให้เห็น เขาเตรียมคำพูดไว้แล้วว่า “เสด็จแม่ เมื่อครู่นี้พี่ใหญ่คุยกับข้าแล้ว บอกว่าเพราะว่าสถานการณ์ของโยวเอ๋อร์ไม่เหมือนใคร พวกเราไม่ได้ไหว้ฟ้าดิน แต่จะไม่ให้เข้าเรือนหอด้วยไม่ได้นะขอรับ เช่นนั้นจะทำให้โยวเอ๋อร์เสียใจไปตลอดชีวิตนะขอรับ”
พระชายาฉีกำลังจะเอ่ยปากพูด
หวงฝู่อี้เซวียนรีบพูดต่อ “พี่ใหญ่ยังบอกอีกว่า ข้ากับโยวเอ๋อร์ไม่ได้ไหว้ฟ้าดิน ไม่มีเรือนหอก็ไม่เท่ากับว่าได้แต่งงานกันจริงๆ ต่อไปหากโยวเอ๋อร์ไม่พอใจเราตรงไหน พวกเขาจะส่งคนมารับนางกลับไป แม้แต่ลูกก็ไม่ให้พวกเรา”
คำพูดนี้ฟังดูเกินไป แต่ไม่คิดว่าพระชายาฉีกลับเชื่อ นางถามกลับว่า “พี่ใหญ่โยวเอ๋อร์พูดเช่นนั้นจริงหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้าและพูดหน้าตายว่า “เสด็จแม่ ข้าเคยโกหกแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะขอรับ”
หลายปีที่ผ่านมานี้ เซวียนเอ๋อร์ไม่เคยโกหกตนเลย พระชายาฉีจึงเชื่อสนิทใจ แต่ก็ยังไม่อนุญาต “เจ้าไปหาเสด็จพ่อที่ห้องหนังสือกับข้าก่อน ให้เราปรึกษากันแล้วค่อยว่ากัน”
หวงฝู่อี้เซวียนหมดหนทาง เดินตามพระชายาฉีไปถึงที่ห้องหนังสือ
ในห้องที่ปกติเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนนี้กลับสะเปะสะปะไปด้วยหนังสือ ส่วนอ๋องฉีผู้สูงส่งและเก่งกล้าสามารถนั้นกลับนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางกองหนังสือ ในมือถือหนังสือไว้เล่มหนึ่ง พลิกหน้ากระดาษอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อได้ยินเสียงทั้งสองคนเข้ามา ก็เงยหน้าขึ้นมองครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าอ่านหนังสือในมือต่อ
พระชายาฉีเข้ามาก่อน นางเดินผ่านกองหนังสือที่อยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง กว่าจะถึงหน้าอ๋องฉี ก็เล่นเอาเหงื่อซึมบริเวณจมูก นางพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง…”
ยังไม่ทันได้พูดต่อ ก็ถูกเสียงที่เต็มไปด้วยความรำคาญของอ๋องฉีขัดขึ้น “อย่ารบกวนข้า ข้ากำลังตั้งชื่อให้หลานอยู่น่ะ”
นี่ช่างแตกต่างจากวันก่อนที่ปฏิบัติกับตนเองดั่งสมบัติล้ำค่าเสียเหลือเกิน พระชายาฉีเริ่มไม่พอใจ ร้อง ฮึ เบาๆ เหมือนเด็กน้อย ใช้เท้าเขี่ยหนังสือที่อยู่บริเวณเท้าออกไป แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ โต๊ะหนังสือ
หวงฝู่อี้เซวียนโค้งตัวลงไปกำลังจะหยิบหนังสือที่อยู่บนพื้นออกเพื่อเดินเข้าไปในห้องหนังสือ แต่กลับถูกอ๋องฉีแผดเสียงห้ามขึ้น “อย่าแตะ!”
เสียงดังก้องนั้นทำเอาหวงฝู่อี้เซวียนตกใจโขยง หนังสือที่อยู่ในมือร่วนหล่นกลับไปบนพื้น
เสียงเย็นชาของอ๋องฉีดังขึ้น “มีธุระหรือ หากไม่มีก็อย่าเข้ามาเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่พระชายาฉี
พระชายาฉีทำเสียง ฮึ อีกครั้ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่พอใจ หวังเรียกร้องความสนใจจากอ๋องฉี
แต่อ๋องฉีมัวจมปลักอยู่กับการตั้งชื่อหลาน ไม่ทันได้สังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของนางเลย เขาถามหวงฝู่อี้เซวียนเสียงดุว่า “ดูซิว่าเสด็จแม่ของเจ้าทำอะไร มีอะไรก็ให้รีบพูด”
หวงฝู่อี้เซวียนกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่ง พูดอย่างลองเชิงว่า “ข้าอยากกลับไปดูแลโยวเอ๋อร์ ไม่ทราบว่าเสด็จพ่ออนุญาตไหมขอรับ”
อ๋องฉีขมวดคิ้ว เสียงดุดันกว่าเดิม “สภาพแม่นางเมิ่งตอนนี้ไม่ควรปล่อยให้นางอยู่คนเดียวแม้แต่วินาทีเดียว เจ้าไม่ไปดูแล แต่กลับมาถามคำถามโง่ๆ แบบนี้รึ”
แสดงว่าท่านอ๋องอนุญาตแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างดีใจว่า “ขอบพระคุณเสด็จพ่อขอรับ” แล้วก็หายวับไป
ครั้นพระชายาฉีจะห้ามปรามก็ไม่ทัน
พระชายาฉีทำเสียง ฮึ อีกครั้ง พูดด้วยความโมโหว่า “ท่านอ๋อง ท่านลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้วันอะไร”
อ๋องฉีเงยหน้ามองนาง กะพริบตาปริบ ถามอย่างสงสัยว่า “วันนี้วันแต่งงานของเซวียนเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ”
“ดีที่ท่านยังจำได้ ท่านไม่รู้หรือว่าวันนี้พวกเขาต้องเข้าเรือนหอ”
เพียงประโยคเดียวของนางก็เรียกสติอ๋องฉีกลับมา เขาผุดลุกขึ้น ตบศีรษะของตน “ข้าลืมไปเลย ข้าไปห้ามพวกเขาเดี๋ยวนี้แหละ”
พระชายาฉีไม่ได้ขยับ แต่พูดด้วยเสียงประชดประชันว่า “แขกอยู่ในเรือนเต็มไปหมด พวกเขายังไม่เลิกกินเลี้ยงกันเลย แต่ท่านออกไปห้ามเซวียนเอ๋อร์เข้าเรือนหอ หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป ท่านจะมีหน้าพบปะผู้คนอีกหรือเพคะ”
ในที่สุดอ๋องฉีที่มัวแต่จมปลักอยู่กับการตั้งชื่อหลานก็ตั้งสติกลับมาได้ และสังเกตได้ว่าพระชายาฉีผิดแปลกไป จึงถามอย่างแปลกใจว่า “พระชายาเป็นอะไรหรือ”
ตัวเองโกรธมาครึ่งค่อนวัน อ๋องฉีกลับไม่รู้เรื่องเลย พระชายาฉีรู้สึกตนน่าขันยิ่งนัก ความคุกรุ่นในใจค่อยคลายลง แล้วยิ้มพลางโบกมือว่า “ไม่มีอะไรเพคะ หม่อมฉันมาห้องหนังสือเพื่อถามท่านอ๋องว่าตั้งชื่อหลานได้แล้วหรือยัง”
เมื่อได้ยินว่านางบอกว่าไม่มีอะไร อ๋องฉีก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาส่ายหัว “ยังไม่เสร็จเลย”
“ท่านอ๋องจะตั้งกี่ชื่อเพคะ”
“สองชื่อ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง”
พระชายาฉีส่ายหน้า “ไม่ได้นะเพคะ หากเป็นผู้หญิงสองคนล่ะเพคะ”
“ไม่แน่นอน” อ๋องฉีพูดอย่างมั่นใจ “อาจจะเป็นชายสอง หรือแย่สุดก็ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง จะเป็นหญิงทั้งสองไม่ได้แน่นอน”
น้ำเสียงพระชายาฉีแฝงไปด้วยความโกรธ “ท่านอ๋องเพคะ ท่านให้ความสำคัญผู้ชายมากกว่าผู้หญิงหรือ”
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ขอเพียงเป็นสายเลือดของตระกูลหวงฝู่ ไม่ว่าชายหรือหญิง ข้าก็รักเอ็นดูทั้งนั้น แต่ตำหนักอ๋องที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ ต้องมีคนสืบทอด ทางที่ดีควรมีผู้ชายสักหนึ่งคน”
“หม่อมฉันชอบผู้หญิง พวกนางจะได้กอดคอและเรียกหม่อมฉันด้วยเสียงหวานว่าท่านย่า อย่าว่าแต่สองคนเลย จะแปดคน สิบคน หม่อมฉันก็ไม่คิดว่ามากเกินไป เพราะฉะนั้นครรภ์ครั้งนี้ของโยวเอ๋อร์ต้องเป็นผู้หญิงก่อนแน่นอน”
เปลวไฟแห่งความหวังของอ๋องฉีถูกดับมอด เขารู้สึกฉุนเฉียว โต้กลับไปอย่างเด็กน้อยว่า “ต้องเป็นผู้ชายแน่นอน”
“ไม่แน่หรอก หม่อมฉันเคยคลอดเซวียนเอ๋อร์ หม่อมฉันรู้ดี เห็นท้องของโยวเอ๋อร์ก็รู้ว่าต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆ”
“เป็นผู้ชายแน่นอน” อ๋องฉีพูดซ้ำตอบกลับไปอย่างมั่นใจ
หลังจากนั้นคนใช้ที่เฝ้าอยู่นอกห้องหนังสือก็ได้ยินบทสนทนาเช่นนี้ขึ้น
“ผู้ชาย!”
“ผู้หญิง!”
“ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง!”
“ผู้หญิง!”
“ผู้ชาย!”
“ผู้หญิง!”
“ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง!”
…
เป็นครั้งแรกที่คนใช้ได้ยินสนทนาปัญญาอ่อนเช่นนี้ ตั้งแต่อยู่ตำหนักอ๋องมา หลังจากพวกเขามองดูกันไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก ก็ก้มหน้า เอามือปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมา
บทสนทนานี้ต่อเนื่องอยู่นาน จนอ๋องฉียอมแพ้ “ก็ได้ ก็ได้ เจ้าบอกว่าเป็นผู้หญิงก็ผู้หญิง”
เมื่อพระชายาฉีเห็นเขายอมให้ จึงค่อยสบายใจ และไม่ตอบโต้อีก นางพูดว่า “ท่านอ๋องพูดถูก อาจจะเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ทั้งท่านและหม่อมฉันจะได้สมหวังทั้งคู่เพคะ”
อ๋องฉีก็ดีใจ “ข้าก็คิดเช่นนั้น เตรียมจะตั้งสองชื่อ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง”
“แต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่แน่นอน” พระชายาฉีพูด “เอาอย่างนี้ไหมเพคะ เราตั้งสี่ชื่อ ชายสองชื่อหญิงสองชื่อ หลังจากเก้าเดือนแล้ว ไม่ว่าโยวเอ่อร์คลอดลูกชายหรือลูกสาว เราจะได้ไม่ต้องตั้งชื่อให้ใหม่อีก”
อ๋องฉีพยักหน้าอย่างดีใจ “วิธีนี้ของพระชายาดี เอาอย่างนี้ เจ้าอยู่ช่วยข้า เรามาตั้งชื่อกัน แล้วค่อยคัดออกทีละชื่อ เหลือสี่ชื่อสุดท้ายที่เราพอใจที่สุด”
พระชายาฉีพยักหน้า “ดีเลยเพคะ”
อ๋องฉีและพระชายาฉีจึงนั่งลงบนพื้นในห้องหนังสือ พลิกหนังสือที่อยู่ด้านซ้ายและขวารอบหนึ่ง จึงได้ชื่อที่ทั้งสองพอใจที่สุด จากนั้นก็เลือกชื่ออย่างพิถีพิถันแล้ว จนเหลือชื่อชายสองหญิงสอง ทั้งหมดสี่ชื่อ