ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 262 เรือนหอที่พลิกผันไปมา
พระชายาฉีไม่ยอม พูดขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์แพ้ท้องรุนแรงมาก เจ้าไม่มีประสบการณ์ ให้แม่อยู่ดูแลเองเถอะ เรือนที่ให้เจ้าพักผ่อนข้าสั่งคนเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เจ้าไปพักเถอะ”
“เสด็จแม่” หวงฝู่อี้เซวียนเรียก “ท่านลืมเรื่องที่พี่ใหญ่ฝากบอกไว้แล้วหรือ วันนี้เป็นวันเข้าเรือนหอของข้าและโยวเอ๋อร์ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ย้ายออกไปไม่ได้นะขอรับ”
พระชายาฉีเพิ่งนึกถึงสิ่งที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดเมื่อตอนบ่ายได้ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่อ๋องฉีด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ ขยิบตาถี่ๆ ให้เขา เพื่อส่งสัญญาณให้เขาเกลี้ยกล่อมพระชายาฉีกลับไป
อ๋องฉีเห็นดังนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากวันแต่งงานวันแรกก็ไล่หวงฝู่อี้เซวียนย้ายออกไปเลยก็ดูโหดร้ายกับเขาเกินไป เขาไอกระแอมเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “พระชายา หลายวันมานี้เจ้าไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลย เพราะมัวแต่จัดการเรื่องงานแต่งของเซวียนเอ๋อร์ วันนี้กลับไปพักผ่อนหน่อยเถอะ จะได้ไม่ป่วยไข้ เดี๋ยวจะไม่มีคนดูแลโยวเอ๋อร์”
ตั้งแต่ส่งของกำนัลจนถึงงานแต่ง ก็มีแค่สองสามวันนี้ที่มีข้อบกพร่องไปบ้าง พระชายาฉีเป็นคนจัดการเรื่องงานแต่งด้วยตัวเองทั้งหมด จึงรู้สึกเพลียขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่อ๋องฉีพูดก็ถูก สภาพร่างกายของตนไม่เหมือนคนอื่น หากป่วยในเวลาสำคัญแบบนี้ ตนจะดูแลโยวเอ๋อร์ไม่ได้เอา นางจึงพยักหน้าเบาๆ “ก็ได้ ข้ากลับไปพักผ่อน รอพรุ่งนี้พักผ่อนแล้วจะมาหานะ”
หวงฝู่อี้เซวียนร้องเฮในใจ
พระชายาฉีหันไปมองเขา จ้องเขม็งไปที่เขาแล้วพูดขึ้นว่า “คืนนี้ให้เจ้าอยู่นี่ ห้ามทำอะไรที่ไม่สมควร หากทำหลานรักของข้าเป็นอะไรไป ข้าไล่เจ้าออกจากจวนไปแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ไม่กล้าพูดแย้งอะไร ได้แต่พยักหน้าเพื่อเกลี้ยกล่อมให้พระชายาฉีกลับไปได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน “ทราบแล้วขอรับ เสด็จแม่ ข้ารู้ว่าอะไรควรมิควรขอรับ”
พระชายาฉีกำชับอีกสองสามคำ แล้วจึงเดินจากไปพร้อมอ๋องฉี
หวงฝู่อี้เซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ นั่งลงบนข้างเตียง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วแซวเขาว่า “โถ่ พ่อของลูก ช่างน่าสงสารเสียจริง”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาพลันเปล่งประกายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “โยวเอ๋อร์ เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ เรียกอีกทีซิ”
จริงๆ นางแค่พูดหยอกเล่น แต่ไม่คิดว่าเขาจะมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเรียกอีกครั้งว่า “พ่อของลูก”
“จ๊ะ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบเสียงสูง แล้วเรียกนางกลับว่า “แม่ของลูก”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มตอบเขา
หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งซึ้งใจ เรียกไม่หยุดปาก
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มตอบเขา
เรียกกันอยู่พักหนึ่งเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ ท่าทางตื่นเต้นของหวงฝู่อี้เซวียนพลันหายไป เขาขมวดคิ้ว เขยิบตัวเข้าใกล้เมิ่งเชี่ยนโยว มองตาแล้วถามอย่างระมัดระวังและคาดหวังคำตอบจากนางว่า “โยวเอ๋อร์ ถ้ามีลูกแล้ว ข้าจะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ในใจของเจ้าหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะหลุดหัวเราะ ภพชาติที่แล้วนางเคยได้ยินแต่เวลาผู้หญิงมีลูกแล้วจะเป็นทุกข์เป็นร้อนกับผลได้ผลเสียของตน นางไม่คิดว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะถามคำถามปัญญาอ่อนเช่นนี้เหมือนกัน นางกลั้นหัวเราะแล้วถามกลับว่า “เจ้าว่าล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว คิดอยู่นาน แล้วกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ยื่นสามนิ้วออกมาอย่างลองเชิง “ที่สาม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พยักหน้า แต่ก็ไม่ได้ส่ายหน้า ได้แต่ยิ้มมองเขา
หวงฝู่อี้เซวียนเดาจากสีหน้านางไม่ได้ว่าถูกหรือผิด เขาเริ่มร้อนใจ “ที่สี่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่พูด ยิ้มมองเขาเหมือนเดิม
เหงื่อเริ่มซึมออกมาบริเวณจมูกของหวงฝู่อี้เซวียน “ที่ห้า?”
สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนเดิม
ในที่สุดหวงฝู่อี้เซวียนก็ทนไม่ไหว “ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ ลูกสองคนและพ่อแม่อยู่อันดับก่อนหน้าข้าได้หมด แต่ว่า…” ยังไม่ทันพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขัดขึ้นว่า
“เจ้าคนโง่ เจ้าอยู่อันดับที่หนึ่งในใจข้าเสมอ ไม่ว่าจะมีลูกกี่คนก็ตาม”
ไม่มีคำพูดพลอดรักคำไหนที่ทำให้ซึ้งใจไปมากกว่านี้แล้ว หัวใจของหวงฝู่อี้เซวียนเหมือนจะลอยล่องไปบนฟ้า เขามองนางอย่างตื้นตันใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มหวาน หวงฝู่อี้เซวียนพลันนึกอะไรขึ้นได้ ค้ำหน้าผากนางไว้แล้วพูดอย่างงอแงว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าพูดเองนะ หากลูกคลอดออกมาแล้ว เจ้าเมินข้า ข้าจะโยนเจ้าลูกน้อยสองคนนี้ทิ้งไปเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ “เจ้าน่ะ คงเป็นพ่อคนแรกที่ลูกยังไม่คลอดออกมาก็ประกาศศึกชิงรักเสียแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนเล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ ต่อ “ข้าไม่สน เจ้าพูดเองนี่ เจ้าต้องทำให้ได้นะ”
“ได้จ๊ะได้ พ่อของลูก ข้ารับประกันเลยว่า ไม่ว่าเมื่อไหร่เจ้าอยู่อันดับที่หนึ่งในใจข้าเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางปลอบโยนเขา
เมื่อได้รับคำรับรองจากปากนาง หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกพอใจ มือลูบไปที่ท้องของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดขึ้นว่า “ได้ยินหรือยัง เจ้าเด็กน้อยทั้งสอง แม่พวกเจ้ารักข้ามากที่สุด หลังจากพวกเจ้าออกมาแล้วอย่ามาแย่งความรักกับข้าล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ
ในห้องอบอวลไปด้วยความรัก
หลังจาก ‘สั่งสอน’ ลูกในท้องเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนเงยหน้า ถามเสียงอ่อนโยนว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าหิวไหม ข้าไปต้มข้าวต้มให้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มรู้สึกหิว พยักหน้า “หิวนิดหน่อยน่ะ ข้าไปห้องครัวกับเจ้าดีกว่า” พูดจบก็เปิดผ้าห่มที่อยู่บนตัวออก ทำท่าจะลงจากเตียง
หวงฝู่อี้เซวียนรีบห้ามปรามนาง พูดเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอย่าขยับตัว นอนบนเตียงเถอะ ข้าไปทำข้าวต้มให้เอง แม่สอนข้าไว้แล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้านอนบนเตียงมาทั้งวันแล้ว ควรลงจากเตียงขยับตัวบ้าง” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพูดขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงยืนหยัดไม่ให้นางลงจากเตียง “เสด็จแม่บอกแล้ว ช่วงสามเดือนนี้เป็นช่วงที่อันตรายที่สุด เจ้าอย่าขยับตัวเลยจะดีกว่า”
“อี้เซวียน” เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาร้อนใจจนเหงื่อซึมบนหน้าผาก จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ข้าเป็นหมอนะ ข้ารู้ดีกว่าใครว่าทำอย่างไรจึงดีต่อคนท้องและลูก เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก”
“จริงหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามอย่าไม่วางใจ แล้วพูดต่อทันทีว่า “เจ้าอย่าโกหกข้านะ”
“เราสองคนผ่านอุปสรรคมามากมายกว่าจะได้ลูกสองคนนี้มา ข้าระวังตัวกว่าเจ้าอยู่แล้ว เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก”
หวงฝู่อี้เซวียนจึงค่อยวางใจ คุกเข่าลงไปช่วยนางใส่รองเท้า แล้วประคองนางออกจากห้องไปอย่างระวัดระวัง
ชิงหลวนและจูหลีรีบเดินขึ้นมา “ซื่อจื่อ นายหญิง มีคำสั่งอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไร ข้ากับอี้เซวียนจะไปห้องครัวทำข้าวต้มกิน ไม่ต้องอยู่รับใช้หรอก พวกเจ้าไปกินข้าวเย็นเถอะ”
ทั้งสองตกใจ ชิงหลวนพูดห้ามขึ้นว่า “นายหญิง ท่านมิควรทำนะเจ้าคะ ตอนนี้ท่านมีครรภ์อยู่ อย่าขยับเขยื้อนตัวเลย”
มาอีกคนหนึ่งแล้ว…
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี ขนาดแค่ตอนนี้ประคบประหงมขนาดนี้ ต่อไปนางท้องหกเจ็ดเดือนจนท้องโตแล้ว พวกเขาคงให้นางนอนอยู่แต่บนเตียงทั้งวัน นางจึงนำคำพูดที่พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนพูดให้พวกนางทั้งสองฟังซ้ำอีกครั้ง
ทั้งสองทำหน้ากึ่งเชื่อกึ่งสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้คัดค้านอะไร จึงหลีกทางให้พวกเขาสองคนออกไป แล้วเดินตามหลังพวกเขาไป
เนื่องจากเป็นช่วงมื้อเย็น คนใช้ส่วนใหญ่รวมตัวกันกำลังกินข้าวอยู่ในห้องครัว เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามา ทุกคนก็วางถ้วยและตะเกียบลงแล้วคารวะพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วโบกมือ “พวกเจ้ากินต่อเถอะ ข้ากับซื่อจื่อมาทำข้าวต้มน่ะ”
ผู้ดูแลห้องครัวตกใจ มีคนใช้มากมายขนาดนี้ แต่ปล่อยให้ซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อลงมือทำข้าวต้มเอง หากเรื่องนี้ถึงหูท่านอ๋องและพระชายาฉีเมื่อไหร่ เกรงว่าไม่ต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ พวกเขาทั้งหมดถูกเฉดหัวออกไปแน่ เขาพูดอย่างเกรงกลัวว่า “ซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ ไม่ได้นะขอรับ ให้ข้าน้อยทำให้เถอะขอรับ”
“ช่วงนี้ต่อมลิ้มรสของข้าไม่เหมือนปกติ ข้าชอบทานแต่ข้าวต้มที่แม่ข้าทำน่ะ พวกเจ้าทำไม่ได้รสชาตนั้นหรอก ไปกินข้าวตามสบายเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและอธิบายเมื่อเห็นความกังวลของพวกเขา
ผู้ดูแลครัวรู้สึกค่อยโล่งใจ จึงถอยออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนให้เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ดูอยู่ข้างๆ เขาทำตามลำดับขั้นที่เมิ่งชื่อสอน โดยเริ่มจากล้างข้าว สะเด็ดน้ำ เติมน้ำ และลงต้มในหม้อ เมิ่งเชี่ยนโยวคอยอยู่ข้างๆ
ซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อกำลังทำอาหาร คนใช้อย่างพวกเขากลับนั่งทานอาหารอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ภาพแบบนี้ดูอย่างไรก็แปลกพิกล ทุกคนบ่นอุบอิบในใจ บางคนรีบซัดข้าวต้มในถ้วยจนหมด รีบล้างถ้วยเสร็จก็เดินออกไปทันที บางคนรีบยัดหมันโถวลงไป แล้วยกถ้วยข้าวต้มออกไปทานนอกห้องครัว ผ่านไปไม่นาน นอกจากผู้ดูแลห้องครัว ก็ไม่เหลือคนใช้สักคนเลย
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็น จึงยิ้มและพูดว่า “อี้เซวียน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เราสร้างครัวเล็กๆ ในเรือนของเรากันเองเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังวุ่นอยู่ในครัวก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวในห้องครัวเช่นกัน เขาตอบกลับว่า “ได้ เดี๋ยวโยกคนสองคนจากที่นี่ไป”
“ไม่ต้องหรอก คนในเรือนของเราก็พอ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
หวงฝู่อี้เซวียนชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเข้าใจความหมายของนาง เขาก็พยักหน้า “ได้ แล้วแต่เจ้าเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนวุ่นอยู่ในตลอด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อยากอยู่ว่างๆ นางจึงสั่งชิงหลวนและจูหลีอย่างคล่องแคล่วให้เตรียมวัตถุดิบอาหารที่หวงฝู่อี้เซวียนชอบทานสองจาน ครั้นนางถลกแขนเสื้อขึ้นกำลังจะผัด กลับรู้สึกคลื่นไส้เมื่อได้กลิ่นน้ำมันลอยมา
หวงฝู่อี้เซวียนร้อนรนใจ ชิงหลวนและจูหลีก็ตกใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ดูแลครัวที่ถึงกับคุกเข่าลงบนพื้นอย่างอ่อนแรงทันที
ดีที่อาการคลื่นไส้ผ่านไประรอกหนึ่ง นางไม่ได้อาเจียนอะไรออกมา แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่วางใจ จะประคองนางกลับห้องทันที
สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวซีดเซียว โบกมือ “ไม่เป็นไร เจ้าไปเรียกแม่ครัวมา ข้าสอนนางเองว่าต้องทำอย่างไร”
ผู้ดูแลครัวรีบเดินขาสั่นออกไปเรียกแม่ครัวที่ดีที่สุดมา แล้วกับข้าวสองจานก็ผัดเสร็จตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวคอยประกบสอน
ข้าวต้มก็ทำเสร็จแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนประคองเมิ่งเชี่ยนโยว ชิงหลวนและจูหลียกข้าวต้มและกับข้าวกลับไปที่ห้อง
หลังจากทานข้าวแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ออกไปเดินเล่นที่ลานบ้านเป็นเพื่อนนางตามที่นางร้องขออยู่หลายหน แล้วจึงกลับห้องพักผ่อน
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ จวนอ๋องก็เงียบสงบ
หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว นางก็พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “อี้เซวียน วันนี้เป็นวันเข้าเรือนหอของเรา เจ้าจะหลับไปอย่างนี้เลยหรือ”
ลูกกระเดือกของหวงฝู่อี้เซวียนกลิ้งขึ้นลง เขากัดฟันข่มอารมณ์ของตนไว้ “เสด็จแม่บอกไว้ว่าสามเดือนนี้ห้ามข้าทำอะไรล่วงเลย ข้า…”
“สองภพชาติรวมกัน นี่เป็นเรือนหอครั้งแรกของข้า ข้าไม่อยากทิ้งโอกาสนี้ไปอย่างเสียใจ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดยิ้มมองตาเขา
ความอดทนของหวงฝู่อี้เซวียนพังทลายลงทันที เขาไม่กล้าถามเรื่องภพชาติที่แล้วของนาง กลัวว่าทางนู้นของนางจะมีญาติ มีครอบครัว มีลูก มีสายใยผูกพันธ์ แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด ความกังวลใจทั้งหมดพลันหายไปทันที
ครั้นหวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะทำอะไรต่อ เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบก็ดังขึ้นจากลานบ้าน ขณะเดียวกันเสียงของพระชายาฉีก็ดังขึ้นว่า “เซวียนเอ๋อร์ แม่บอกเจ้าไว้นะ…”
ขณะที่เสียงพูดดังขึ้น เสียงฝีเท้าก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
หวงฝู่อี้เซวียนรีบปล่อยตัวเมิ่งเชี่ยนโยว ดึงผ้าห่มข้างๆ มาห่มตัวนางไว้ และรีบลุกยืนขึ้น
พระชายาฉีเดินเข้ามาเห็นสภาพของทั้งสองคน ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างตกใจว่า “เซวียนเอ๋อร์ สิ่งที่ข้าพูดไปเจ้าฟังหูซ้ายทะลุหูขวาหรือ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าสามเดือนแรกห้ามแตะต้องตัวโยวเอ๋อร์”
หน้าทั้งสองคนแดงก่ำทันที เมิ่งเชี่ยนโยวก็อายจนอยากจะมุดตัวลงไปใต้เตียง หวงฝู่อี้เซวียนกลับนิ่ง “เสด็จแม่ ท่านคิดไปไหนน่ะ โยวเอ๋อร์บอกว่าจะพักผ่อน ข้าเพิ่งช่วยนางถอดเสื้อผ้าเสร็จ”
พระชายาฉีเหลือบมองเขาอย่างมีพิรุธ เมื่อเห็นเขายังใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยอยู่ ก็โล่งใจ แล้วพูดขึ้นว่า “เซวียนเอ๋อร์ แม่รู้ว่าแม่ทำเจ้าอึดอัด แต่เห็นแก่ลูกในท้องโยวเอ๋อร์เถอะ เจ้าทนหน่อยนะ รอให้โยวเอ๋อร์คลอดเสร็จแล้ว เจ้าอยากจะทำอะไรก็เชิญ แม่ไม่ห้ามหรอก”
หวงฝู่อี้เซวียนตอบอย่างเชื่อฟัง
พระชายาฉีพูดพล่ามไม่หยุด จนเหมือนกับว่าทั้งสองต้องลงลายลักษณ์อักษรว่าวันนี้จะไม่ทำอะไรในเรือนหอจึงจะยอมจากไปอย่างพอใจ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินออกจากลานไป ทั้งสองจึงโล่งใจ หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกเส้นเลือดสมองของตนเต้นตุบๆ จนเขานั่งบนขอบเตียงอย่างหมดแรง