ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 290 หาสาเหตุของเรื่องไม่ได้
เสี่ยวซือผงะไป อ้าปากค้าง คิดว่าตนหูฝาดไปแล้วหรือไม่ จากนั้นก็ถามว่า “นาย นายหญิง ท่านพูดอะไรหรือขอรับ”
“ข้าหาคู่ให้เจ้าดีหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถามย้ำ
ครานี้เสี่ยวซือได้ยินชัดเจน พูดด้วยน้ำเสียงดีใจจนปิดไม่อยู่ ถามย้ำว่า “นายหญิง ท่านพูดจริงหรือขอรับ ท่านจะหาคู่ให้บ่าวจริงหรือ”
“เจ้ายินดีหรือไม่”
“ยินดี ยินดีขอรับ” เสี่ยวซือพยักหน้าไม่หยุด “อย่างไรบ่าวก็ต้องยินดีอยู่แล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดยิ้มออกมา จึงได้ล้อเล่นกับเขาไปว่า “เจ้าไม่ถามสักคำหรือว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด หน้าตาเป็นอย่างไร ก็บอกว่ายินดีเสียแล้ว เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะจับเจ้าคู่กับคนขี้ริ้วขี้เหร่หรือ”
เสี่ยวซือเกาหัวตัวเอง หัวเราะเบาๆ “สายตาของนายหญิงดีเป็นที่สุด ข้าเชื่อใจท่าน ต่อให้ท่านเลือกคนขี้ริ้วขี้เหร่มาให้ ก็แสดงว่าแม่นางผู้นั้นมีสิ่งที่โดดเด่นกว่าผู้อื่น”
“ผู้จัดการอัน เจ้านี่ช่างเข้าใจโลกเสียจริง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยรอยยิ้ม
เสี่ยวซือลูบหัวตัวเองด้วยความเหนียมอาย
“เอาล่ะ ข้าขอกลับไปถามแม่นางผู้นั้นดูก่อน เจ้ารอฟังข่าวดูเถิด”
เสี่ยวซือยิ้มซื่อๆ กลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นก็ถามว่า “นายหญิง เมื่อใดจึงจะได้ข่าวหรือขอรับ”
“อีกไม่กี่วันนี้แล้วล่ะ หากแม่นางผู้นั้นยินดี ข้าก็จะให้คนมาส่งข่าวกับเจ้า หากไม่มี เจ้าก็อย่าเสียใจไป”
เสี่ยวซือกล่าวเยินยอว่า “เรื่องที่นายหญิงจัดการเอง ไม่มีทางไม่สำเร็จหรอกขอรับ บ่าวจะรอข่าวดีจากท่าน”
“อย่ามาเยินยอข้านักเลย เรื่องใหญ่เพียงนี้ ข้าจะต้องให้ทั้งสองฝ่ายตกลงปลงใจกัน ข้าจึงจะยอมจับคู่ให้ หากมีฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอม ข้าจะไม่บังคับใจ เรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นกับแม่นางผู้นั้นว่ายินดีหรือไม่ เจ้าก็อย่าเพิ่งรีบดีใจไป” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
เสี่ยวซือดีใจเสียจนยิ้มไม่หุบปาก กล่าวขอบคุณไม่หยุด “ขอบคุณขอรับนายหญิง ขอบคุณขอรับ”
มีตัวเลือกแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวอดใจรอไม่ได้ ยืนขึ้น พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “อี้เซวียน พวกเราไปกันเถิด กลับหนานเฉิงกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น
เมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะไปหนานเฉิง เมิ่งฉีจึงได้หรี่ตาลง พูดว่า “ฟ้าใกล้มืดแล้ว ข้าเองก็ควรกลับได้แล้ว กลับไปพร้อมพวกเจ้าเลยได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ระหว่างทางพี่รองเล่าเรื่องในโรงงานให้ข้าฟังด้วย”
มอบธุระที่เหลือฝากให้เสี่ยวซือดูแล เมิ่งฉีก็จากไปพร้อมกับทั้งสอง ชายตามองรถม้าของตนครู่หนึ่ง จากนั้นเมิ่งฉีพูดว่า “น้องเล็ก เจ้าอยากรู้เรื่องในโรงงานมิใช่หรือ นั่งรถม้าของบ้านเราไปเถิด ข้าจะเล่าให้ฟัง”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนดูไม่ดีเท่าไหร่
เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ถึงบรรยากาศที่คุกกรุ่น จึงหดคอลงอย่างเกรงกลัว “พี่รอง รถม้าของจวนอ๋องกว้างขวาง พวกเรานั่งรถม้าของจวนอ๋องไปเถิด”
เมิ่งฉีเงยหน้ามองหวงฝู่อี้เซวียน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “อี้เซวียน เจ้าไม่อยากให้น้องเล็กมานั่งรถม้าของข้าอย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนกัดฟัน พูดรอดไรฟันว่า “ไม่ใช่ขอรับ”
“อย่างนั้นก็ดี น้องเล็ก มานี่เถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเสียงเบา “เอ่อ พี่รอง หนานเฉิงอยู่ไกลจากที่นี่นัก ข้าชินที่จะมีคนให้พิงหลังเสียแล้ว อย่างไรเสียเราไปนั่งรถม้าจวนอ๋องเถิด”
เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของนาง เมิ่งฉีถอนหายใจออกมา ไม่ดื้อรั้นต่อไป ก้าวเท้าเดินไปยังรถม้าของจวนอ๋อง
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็รีบเดินก้าวเล็กๆ ตามเขาไป พูดประจบว่า “ข้ารู้ว่าท่านพี่เป็นห่วงข้าที่สุด ไม่อยากให้ข้าต้องเหนื่อย”
แม้จะรู้ว่านางกำลังพูดเอาใจตนอยู่ แต่ใบหน้าของเมิ่งฉีก็ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสามคนขึ้นมานั่งบนรถม้าเรียบร้อย โจวอันควบม้าเคลื่อนไปด้านหน้า กัวเฟยควบรถม้าที่ว่างเปล่าตามมาด้านหลัง รถม้าทั้งสองควบตามกันมาจนถึงหนานเฉิง
ตลอดทาง เมิ่งฉีได้นำสถานการณ์คร่าวๆ ในโรงงานเล่าให้เมิ่งเชี่ยนโยวฟัง
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังไปพลางพยักหน้าไปด้วย
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่ด้านหลังนาง ทำหน้าที่เป็นพนักพิง ไม่ได้พูดอะไรตลอดทาง
วันนี้เมิ่งเหรินออกจากสนามสอบเป็นวันแรก เมิ่งซื่อและภรรยาเมิ่งต้าจินไม่ได้ไปที่จวนอ๋อง เมื่อได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนกลับมาแล้ว จึงได้ดีใจเป็นอย่างมาก รีบเข้าครัวไปทำอาหารให้ทั้งสองอย่างมีความสุข
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเดินตรงไปที่ห้องรับรองแขก
ช่วงนี้เมิ่งฉีให้เหวินเปียวได้พักร้อน ให้เขาได้พาครอบครัวเดินเที่ยวรอบๆ เมืองหลวง
หลายปีแล้วที่ไม่ได้มาเมืองหลวง ที่นี่มีการเปลี่ยนไปไปไม่น้อย ครอบครัวของเหวินเปียวเดินดูสถานที่ที่ตนคุ้นเคยสมัยก่อน กลับบ้านมาก็คุยเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เมื่อได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาแล้ว คนทั้งครอบครัวก็ได้วิ่งออกมาจากห้อง กล่าวทักทายด้วยความเคารพพร้อมเพรียงกันว่า “นายหญิง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ พูดกับเหวินเปียวว่า “ข้ามาวันนี้ก็เพราะเรื่องงานแต่งของเหวินเหลียน ข้าหาคนที่เหมาะสมกับนางได้แล้ว ซึ่งก็คือผู้จัดการอันที่โรงงาน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เหวินเปียวมักจะได้พบปะกับเสี่ยวซืออยู่บ่อยๆ รู้จักนิสัยใจคอของเขาอยู่บ้าง หลังจากผงะไปเล็กน้อย ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา “ผู้จัดการอันฉลาดหลักแหลม ทำงานเรียบร้อย เป็นตัวเลือกที่ดี ทั้งสถานะยังเหมาะสมกับบ้านเรา”
เมื่อได้ยินคำเขาเช่นนี้ ภรรยาของเหวินเปียวก็มีสีหน้ายินดี กำลังจะอ้าปากถามอะไรบางอย่าง แต่คงคิดว่าไม่เหมาะสม จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความไม่สบายใจของนาง จึงได้อธิบายว่า “ผู้จัดการอันเป็นผู้จัดการที่ข้าได้มอบหมายให้ดูและเรื่องในโรงงาน ตอนนั้นเคยเป็นบ่าวรับใช้ของใต้เท้าเปา ตอนที่ข้าเพิ่งเปิดโรงงานใหม่ๆ เขาช่วยงานไว้ได้ไม่น้อยเลย ข้าเห็นว่าเขาขยันขันแข็ง จึงได้ขอเขามาจากใต้เท้าเปา และมอบหมายให้เขาดูแลเรื่องในโรงงาน บัดนี้เขาเป็นผู้ช่วยมือขวาของพี่ชายข้า ทำงานได้ไม่เลว นิสัยก็มั่นคง ทั้งยังไม่มีพ่อแม่ ไม่มีภาระจากทางบ้าน”
เป็นบ่าวรับใช้นั่นเอง ภรรยาของเหวินเปียวผิดหวังเล็กน้อย ถึงแม้ว่าพวกเขาก็จะเป็นเพียงบ่าวรับใช้เช่นกัน ไม่ควรไปรังเกียจเขา แต่ว่าเหวินเหลียนเป็นผู้หญิง ให้นางอยู่ที่เมืองหลวงก็เพราะหวังจะให้นางได้แต่งงานกับคนธรรมดา แม้ต่อให้จนก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้มีชีวิตที่อิสระก็พอแล้ว ภายหน้าลูกของพวกเขาก็จะได้ไม่ต้องมาเป็นบ่าวรับใช้อีก แต่บัดนี้ ความรู้สึกที่เหวินซงมีต่อชิงหลวนคงยากที่จะเปลี่ยนไป แต่สำหรับเหวินเหลียน นางจะไม่ยอมให้ลูกได้แต่งงานกับบ่าวรับใช้อีกแล้ว
เหวินเปียวไม่ได้คิดมากอย่างนาง เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ข้าเห็นว่าผู้จัดการอันก็ไม่เลว ตกลงตามนี้เลยแล้วกันขอรับ อย่างไรก็ต้องรบกวนนายหญิงไปถามผู้จัดการอันทีว่าเขายินดีหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตสีหน้าของภรรยาเหวินเปียวได้ตั้งแต่ต้น แต่เดาไม่ได้ว่านางคิดอะไรอยู่ เมื่อเหวินเปียวพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ตอบรับในทันที แต่กลับเป็นภรรยาของเขาห้ามเอาไว้เสียก่อน พูดว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตเหวินเหลียน ต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน พวกเราจะต้องคุยกันอย่างดีเสียก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความหมายของนางทันที เช่นนี้แสดงว่านางไม่ยินดีเท่าใด แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไปในตอนนั้นจึงยิ้มและพูดว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เหวินเปียวรู้จักกับผู้จัดการอัน รู้จักนิสัยใจคอของเขาไม่น้อย พวกท่านค่อยๆ ไปพูดคุยกัน หากไม่ยินดี ก็มิเป็นไร เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ดังท่านว่า จะมาสะเพร่ามิได้ ข้าเองก็ไม่อยากจับคู่ให้คนต้องเกลียดกัน”
ภรรยาของเหวินเปียวหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย อยากรีบอธิบาย “นายหญิง ข้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมห้ามนาง “ไปตกลงกันให้ดีเถิด ช้าที่สุดคืนวันพรุ่งมาบอกข้า”
ภรรยาเหวินเปียวตอบกลับด้วยในหน้าแดงก่ำ
แต่เหวินเปียวกลับขมวดคิ้วลง แต่งงานกันมาหลายสิบปี ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ภรรยาไม่เคยขัดขวางความคิดของเขาเลย ทุกเรื่องเป็นไปตามความเห็นของเขาทั้งสิ้น แต่เหตุใดครานี้จึง…แต่ว่า เห็นแก่เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้พูดอะไรมาก
เมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากที่พักของบ่าวรับใช้ เข้าประกบหวงฝู่อี้เซวียนและโอบแขนของเขา เหมือนที่ทำกับเมิ่งซื่อ เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา ยิ้มไปพูดไปว่า “ดูท่าแล้ว หากไท่จื่อสร้างชื่อเสียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าเองจะต้องขอความดีความชอบจากเขาบ้างแล้วล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนมีความสุขจากการกระทำของนาง อารมณ์ดี มุมปากมีรอยยิ้มขึ้นมา ยกมือขึ้น ลูบหัวของนางเบาๆ พูดว่า “ความดีจากไท่จื่อมิได้ขอกันมาง่ายปานนั้น เจ้าคนใจดำนั่น คงจะถลกหนังของพวกเราเป็นแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยความมั่นใจว่า “เขามิกล้าหรอก หากเขากล้าจัดแจงให้เจ้าไปทำงานหนัก ข้าเองนี่และจะแบกท้องโตๆ ไปหาเขาถึงในวัง”
หวงฝู่อี้เซวียนหลุดหัวเราะออกมา “เจ้านี่ นับวันยิ่งทำตัวเหมือนเด็กเข้าทุกที”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มใสซื่อ “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ท่านแม่และเจ้าควบคุมข้าอย่างเข้มงวดเช่นนี้กันเล่า นี่ก็ทำไม่ได้ นั่นก็มิให้ทำ ข้าว่างเสียจนตัวจะเป็นขนเสียแล้ว” ไม่พูดเปล่า แต่กลับคิดอะไรได้ มองเขาด้วยแววตาเปล่งประกาย “หรือไม่ เจ้ามอบหมายเรื่องในจวนให้ข้าจัดการบ้างเป็นอย่างไร”
หวงฝู่อี้เซวียนปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “อย่าแม้แต่จะคิดเลย เจ้าดูแลครรภ์ให้ดีก็พอแล้ว”
รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวมลายไป เบะปากน้อยๆ ออกมา
น้อยครั้งที่นางจะทำสีหน้าเช่นนี้ ใจของหวงฝู่อี้เซวียนสั่นขึ้นมา อาศัยจังหวะที่รอบกายไม่มีคนอยู่ขโมยจูบนางไปหนึ่งที
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจไม่น้อย กุมปากตนเองมองไปรอบๆ ตัว เมื่อพบว่าไม่มีใคร จึงได้โล่งใจ
ทั้งสองกลับมายังห้องของตน องครักษ์ลับที่ไปสืบเรื่องของคุณชายหลิวกลับมาแล้ว รายงานว่า “นายท่านขอรับ ข้าน้อยไปสืบมาเรียบร้อยแล้ว คุณชายหลิวเองก็เพิ่งออกมาจากสนามสอบวันนี้ หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายแล้วนั้น ก็กำลังพักผ่อนอยู่ที่จวนราชเลขาขอรับ”
“เจ้าดูชัดแล้วหรือ เป็นคุณชายหลิวแน่หรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยเสียงทุ้ม
องครักษ์ลับตอบด้วยเสียงหนักแน่น “เป็นคุณชายหลิวแน่ขอรับ ตอนที่พวกข้าน้อยไปปล้น เขาก็หน้าตาเช่นนี้”
“อย่างนั้นก็น่าประหลาดนัก คนที่ร้านอาหารที่หน้าตาเหมือนเขาอย่างกับแกะนั้นเป็นผู้ใดกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความสงสัย
องครักษ์ลับเกาหัว “ข้าเองก็แปลกใจ ท่านชายที่พบที่ร้านอาหารนั้นหน้าตาเหมือนคุณชายหลิวราวกับแกะ ทั้งสองยืนคู่กัน ก็แทบจะแยกไม่ออกว่าผู้ใดเป็นผู้ใด”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ในใจจะมีความสงสัย แต่ว่าไม่ได้สั่งให้องครักษ์ลับไปสืบต่อ โบกมือเป็นสัญญาณให้เขากลับออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วอยากจะถาม คิดไม่ออกว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงได้ยอมแพ้ไปเสียดื้อๆ “คงเป็นเพราะพวกเราคิดมากไปเอง คงเป็นเพียงคนสองคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกันเท่านั้น ไม่ต้องไปสนใจหรอก”
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนตั้งแต่แรก เพียงแต่ว่าพบเข้า จึงเกิดความสงสัย ให้คนไปสืบเรื่องมา บัดนี้คุณชายหลิวตัวจริงอยู่ในจวน คนที่หน้าเหมือนผู้นั้นก็ไม่สำคัญเสียแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่ได้ใส่ใจ
ทั้งสองพักที่นั่นหนึ่งคืน วันที่สองตกลงกันว่าเมื่อรายชื่อผู้สอบผ่านออกมาแล้ว จะไปดูรายชื่อด้วยกัน จากนั้นทั้งสองก็ กลับจวนอ๋องไป
หวงฝู่อวี้กำลังจะออกไปด้านนอกพอดี ทั้งสามพบกันที่หน้าประตู
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาอิดโรย ไม่มีชีวิตชีวา ทั้งสองจึงได้หยุดฝีเท้าลง หวงฝู่อี้เซวียนถามเขาว่า “อวี้เอ๋อร์ มีปัญหาอะไรให้คิดไม่ตกอย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อวี้ฝืนยิ้มออกมา “ไม่มีอะไรขอรับพี่ใหญ่”
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่มีชีวิตชีวาเช่นนี้เล่า”
เขาจับหน้าของตนเอง หวงฝู่อวี้ตอบอย่างปิดบังว่า “อาจเป็นเพราะช่วงนี้เหนื่อยขอรับ พักผ่อนไม่เพียงพอ”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้นอนไม่หลับเพราะมีเรื่องในใจ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความเย็นชา
หวงฝู่อวี้ชะงักไป สายตาสั่นคลอน สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ รีบตอบรับว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ข้าจะรีบไปด้านนอก ขอตัวก่อน” จากนั้นก็รีบเดินไปที่รถม้าด้านนอกทันที
“รอเดี๋ยว!” หวงฝู่อี้เซวียนเรียกเขาเอาไว้
หวงฝู่อวี้เมื่อได้ยินดังนั้นก็หยุดฝีเท้าลง หันไปมองเขา ตอบด้วยความไม่สบายใจว่า “พี่ใหญ่ยังมีเรื่องอะไรหรือขอรับ”
น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความห่วงใย “หากไม่สบายก็อย่าออกไปไหนเลย วันนี้อยู่พักผ่อนในจวนเถิด”
หวงฝู่อวี้โบกมือ “ไม่เป็นไรหรอกพี่ใหญ่ วันนี้ข้าจะไปเดินดูร้านรวงแถวนอกเมืองเสียหน่อย”
“เงินทองน่ะอย่างไรก็ใช้ไม่หมด ตอนที่ข้ามอบกิจการเหล่านี้ให้เจ้าก็เพราะอยากให้เจ้าได้ช่วยกันดูแลจวนอ๋อง นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในเวลาวันสองวัน อีกอย่าง เจ้าเพิ่งจะได้คลุกคลีกับเรื่องเหล่านี้ ก็อย่าเพิ่งหักโหมนักเลย ฟังพี่เถิด วันนี้พักผ่อนในจวนก่อน ร้านรวงนอกเมืองค่อยไปวันพรุ่งก็ทัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น หวงฝู่อวี้ฟังออกว่าเป็นคำสั่งลอยๆ เขาลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามเข้าไปอย่างว่าง่าย
พวกเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปยังเรือนของตน หวงฝู่อวี้ที่เดินตามมาด้านหลังเดินๆ หยุดๆ จากนั้นก็กลับไปยังเรือนของตนเช่นกัน ถอดเสื้อผ้าออก โยนไปบนเตียง ในหัวคิดถึงแต่ภาพที่พบหลินหันเยียนครั้งล่าสุด พร้อมสภาพอิดโรย และเสียงร้องไห้อันโศกเศร้าของนาง ทำอย่างไรก็มิอาจลืมเลือนได้
เขายืนขึ้นอีกครั้งพร้อมจิตใจกระวนกระวาย กำลังจะอ้าปากสั่งเฮ่ออีให้ไปสืบเรื่องที่จวนราชเลขา แต่ก็คิดได้ว่าไปสืบมาแล้วจะอย่างไร เขาและนางมีกำแพงที่ไม่อาจก้าวผ่านไปได้กั้นอยู่ จากนั้นก็นอนลงเช่นเดิม นอนมองเพดานนิ่งๆ