ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 299
ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง รวมไปถึงหวงฝู่ซวิ่นด้วย ไม่รู้ว่านางคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
กลับเป็นท่านโหวอาวุโสมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ตาที่ขุ่นมัวก็สว่างไสว โบกปฏิเสธอย่างทะนงตัว “ไม่ต้องมากถึงหนึ่งแสนตำลึงหรอก เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกข้าไม่เอาเปรียบเจ้า ทุกคนคนละหนึ่งหมื่นตำลึงเถิด นอกเหนือจากค่ารักษาอาการบาดเจ็บ ก็ยังมีค่าที่ทำให้ตกใจจนเสียขวัญอีกด้วย”
“ถ้าหากข้ายืนกรานที่จะชดใช้ให้ล่ะเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนมองไปทางนางด้วยสายตาที่บอกว่านางสมองทื่อแล้ว มีเพียงหวงฝู่ซวิ่นที่รู้สึกว่านางมีรังสีสังหารกรุ่นอยู่ภายในรอยยิ้มอย่างชอบกล
ชื่อเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นที่โด่งดังในเมืองหลวงอย่างมาก ในแต่ละบ้านของขุนนางชั้นสูงย่อมตรวจสอบเบื้องหลังของนางอย่างละเอียด และรู้ว่านางสร้างตัวด้วยการทำการค้าขาย ตอนนี้จะบอกว่านางมีทรัพย์สินไม่เพียงพอก็คงไม่ได้ ดูท่าว่าเป็นเพราะนางได้ยินว่าท่านโหวอาวุโสต้องการจะขับไล่น้องชายทั้งสองคนของนางออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนจึงเกิดความรู้สึกหวั่นเกรงขึ้น และอยากใช้เงินเพื่อมาปิดปากพวกเขา ทว่า บ้านหนึ่งได้รับแสนตำลึงก็ดูจะมากไปหน่อยจริงๆ แต่นางจะให้เงินเปล่าๆ ทำไมจะไม่เอาล่ะ จริงไหม
พวกเขาคิดวาดฝันในใจอย่างสวยงาม แต่ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยรับปากขึ้นก่อน อย่างไรไท่จื่อก็อยู่ที่นี่ หากรับอย่างลับๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่การเอาเงินอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ พวกเขาก็ไม่อาจทำให้ไท่จื่อรู้สึกว่าพวกเขายอมแลกศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อเงินแสนตำลึง
“ว่าอย่างไรล่ะเจ้าคะ ทุกท่านเห็นด้วยหรือไม่ หากเห็นด้วย ข้าก็จะสั่งคนให้นำตั๋วแลกเงินมาส่งให้แก่พวกท่าน!” เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่พูด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มถามอีกรอบหนึ่ง
ทุกคนมองไปทางหวงฝู่ซวิ่น
หวงฝู่ซวิ่นยิ้มและโบกมือ “นี่มันเป็นเรื่องระหว่างพวกเจ้า พวกเจ้าปรึกษากันเองเถิด ขอเพียงพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายตกลงกัน มีวิธีคลี่คลายปัญหาที่ดีได้ ข้าก็จะไม่ยุ่มย่าม”
ได้รับการอนุญาตจากคำพูดของเขา ท่านโหวอาวุโสก็มีความกล้ามากขึ้น จึงพยักหน้าและพูด “ในเมื่อซื่อจื่อเฟยยืนกรานอ้อนวอนจะให้พวกเราแสนตำลึง พวกเราก็ต้องฝืนรับมา ส่วน…”
“ดีเจ้าค่ะ ท่านโหวอาวุโสตรงไปตรงมายิ่งนัก ประเดี๋ยวข้าจะสั่งคนให้นำตั๋วแลกเงินมามอบให้ทุกท่านเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดแทรกเขา
ท่านโหวอาวุโสพยักหน้า พูดอย่างใจกว้าง “ไม่รีบ พวกเรามีเวลาเหลือเฟือ”
“แต่ข้ารีบมากนะเจ้าค่ะ หากตั๋วแลกเงินมาส่งให้ช้าแล้วทำให้พวกเด็กๆ ของทุกท่านไปตรวจดูอาการบาดเจ็บล่าช้าลงจะทำอย่างไรเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม
ท่านโหวอาวุโสคิดว่าที่นางพูดคืออาการบาดเจ็บบนกายของเด็กๆ ทุกคนในตอนนี้ จึงโบกมือยั้งไว้ “ล่าช้าไม่เท่าไรหรอก ในจวนของพวกข้าล้วนมีหมอประจำอยู่ ประเดี๋ยวกลับไปรักษาเองก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยสีหน้าตกใจ ถาม “ที่แท้หมอในจวนของทุกท่านก็เก่งถึงเพียงนี้ แม้แต่แขนขาขาดก็ล้วนรักษาได้หรือเจ้าคะ”
ทุกคนตะลึงไป
ตอนนี้หวงฝู่ซวิ่นถึงจะเข้าใจจุดประสงค์ของนาง มองพวกเขาที่โชคร้ายเหล่านี้อย่างเงียบๆ พร้อมก้าวถอยหลังออกไปโดยไม่พูดไม่จา
ท่านโหวอาวุโสทุกคนราวกับเข้าใจความหมายของนางแล้วเช่นกัน จึงร้องออกมาพร้อมกัน “เจ้ากล้าหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ใช้สายตาแหลมคมกวาดสายตามองทุกคนอีกครั้ง แล้วถามด้วยเสียงที่เย็นชา “มีเรื่องที่ข้าไม่กล้าด้วยหรือเจ้าคะ”
ทุกคนรู้สึกพรั่นพรึงจากรังสีของนาง ลูกๆ หลานๆ แต่ละคนยิ่งผวาจนไหล่หดตัวสั่น
เมิ่งเชี่ยนโยนชูสองนิ้วขึ้นมา แล้วพูด “ข้าบอกจะให้ทุกท่านแสนตำลึง ก็จะมอบให้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ แต่ ก่อนหน้านี้ ข้าก็มีเงื่อนไขสองข้อเช่นกัน ข้อหนึ่งคือทุกท่านที่ทะเลาะวิวาทกับน้องชายทั้งสองคนของข้าวันนี้จะต้องสู้กันต่อหน้าพวกข้าอีกครั้ง ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร พวกเราทุกคนต้องยอมรับผลและไม่ตีโพยตีพาย”
“ยังมีอีกเงื่อนไขอีกหนึ่งข้อก็คือ พวกท่านสามารถเลือกคนออกมาต่อสู้แทนลูกได้ และรับผลลัพธ์เดียวกัน นี่คือเงื่อนไขสองข้อ พวกท่านเลือกสักข้อเถิดเจ้าค่ะ”
เมื่อคำพูดนี้ของนางสิ้นลง พวกท่านโหวทั้งหลายต่างนิ่งสนิท ต่อให้โดนโบยตีจนตายพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวบอกจะให้เงินแสนตำลึงแก่พวกเขา กลับให้เป็นค่า ‘รักษาแผล’ ของพวกเขา
ไม่รอให้ทุกคนตื่นจากภวังค์ หวงฝู่อี้เซวียนกลับลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก เดินมาที่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว ประคองนางให้นั่งกลับที่เดิมอย่างอ่อนโยน แล้วถึงจะพูดอย่างนุ่มนวลกับนาง “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มอบให้ข้าจัดการก็พอแล้ว เจ้าดูอยู่ทางด้านนี้ก็เพียงพอ”
พูดจบ ก็หันกายไปถามอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ตัดสินใจได้หรือยัง ผู้ใดในพวกเจ้าจะออกมารับศึก พวกเรารีบสู้รีบจบศึก ในท้องของพระชายาข้ายังมีเด็กอยู่นะ พูดไร้สาระกับพวกเจ้านานขนาดนี้ เหนื่อยจะแย่แล้ว ข้าต้องพานางกลับไปพักผ่อนโดยเร็ว”
นี่เป็นการดูหมิ่นอย่างชัดเจน ท่านโหวแต่ละคนทนไม่ไหว กระโดดออกมา พูด “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าอย่าโอหังเกินไปหน่อยเลย หากวันนี้พวกข้าล้มเจ้าให้ลงไปนอนกับพื้นไม่ได้ พวกเราทุกคนก็จะคลานกลับไป”
น่าขัน พวกเขาเกือบสิบคนนี้ จะยังสู้กับเด็กน้อยที่เพิ่งแต่งงานเพียงแค่คนเดียวไม่ได้
“พูดเช่นนี้ ทุกคนก็ตัดสินใจแล้วว่าจะออกศึกแทนลูก?” หวงฝู่อี้เซวียนยืนยันอีกครั้งหนึ่ง
“ถูกแล้ว วันนี้พวกข้าทุกคนจะขอโอกาสรับบทเรียนจากซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีเอง!” ท่านโหวคนหนึ่งจากกลุ่มนั้นที่มีอายุประมาณสามสิบกว่าปีและใบหน้าเหลี่ยมพูดตอบ
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า มองไปทางหวงฝู่ซวิ่น “ไท่จื่อโปรดเป็นพยานให้แก่พวกข้า วันนี้พวกข้ายินยอมจะสู้กันเอง ไม่สนว่าเป็นหรือตาย”
คำนี้พูดออกไป ทุกคนก็สูดหายใจที่เย็นยะเยือกเข้า ภายในใจของพวกเขาโกรธก็โกรธ แต่ก็ไม่ใช่ถึงขั้นจะเอาถึงชีวิตกัน ไม่ว่าอย่างไรหวงฝู่อี้เซวียนก็เป็นคนของเชื้อพระวงศ์ ถ้าหากทำร้ายเขาจนตายแล้ว ไม่แน่ว่าอ๋องฉีจะล้างจวนของพวกเขาด้วยเลือดอย่างเช่นที่ทำกับจวนเฮ่อ
ขณะที่ทุกคนกำลังตะลึง หวงฝู่ซวิ่นก็โบกมือ “พวกเจ้าล้วนเป็นเสาหลักของประเทศ ถ้าหากมีใครคนหนึ่งบาดเจ็บจนตาย เช่นนั้นก็จะเป็นความสูญเสียของรัฐอู่ด้วยเหมือนกัน ข้าไม่เห็นด้วย เอาอย่างนี้ละกัน พวกเจ้าอย่าได้ทำเกินพอดี” พูดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกถึงสายตาอันเฉียบเย็นของหวงฝู่อี้เซวียนที่พัดผ่านมา จึงพูดต่ออีกประโยค “แต่แน่นอนว่าเกิดเหตุสุดวิสัยเล็กๆ น้อยๆ ก็พอทำเนาได้”
เหตุสุดวิสัยมีทั้งใหญ่และเล็ก นี่เป็นการให้ท้ายแก่หวงฝู่อี้เซวียนที่อีกประเดี๋ยวจะเริ่มบ้าคลั่งอย่างไม่ต้องสงสัย
หวงฝู่อี้เซวียนและท่านโหวล้วนพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาภายในสนามขี่ม้าคนแรก
ท่านโหวแต่ละคนก็ไม่กล้ารั้งท้าย จึงวางมาดเดินเข้ามาภายในสนามอย่างผ่าเผย แล้วแยกออกจากกันเพื่อล้อมหวงฝู่อี้เซวียนไว้ตรงกลาง
ใจของหัวหน้าผู้ดูแลและเสนาบดีล้วนรู้สึกว่าหัวใจได้ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ได้
บรรดานักเรียนที่มองดูสถานการณ์อยู่ด้านหนึ่งตลอดต่างเบิกตาโต เพื่อจะคอยดูบรรยากาศอันแสนดุเดือดเลือดพล่านภายในสนาม
เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงก็มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความละอาย
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับ ลูบศีรษะของพวกเขาอย่างระมัดระวัง และพูดว่า “ต้องเชื่อมั่นในพี่เขยของพวกเจ้านะ เผชิญหน้ากับพวกขี้ขลาดแบบนั้น ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงส่งเสียงหัวเราะออกมา ท่านโหวอาวุโสที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำของนางอย่างชัดเจน จึงรู้สึกโกรธจนหนวดชูเคราสั่นขึ้นอีกครั้ง
หวงฝู่ซวิ่นไปนั่งบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ไม่ได้เป็นกังวลต่อเหตุการณ์ภายในสนามขี่ม้าแม้แต่น้อย
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ท่ามกลางเสียงตื่นตระหนกและเสียงครวญคราง หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินตัวลอยออกมา แล้วมาอยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว พร้อมยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน แล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองซับเหงื่อบางๆ ที่แทบจะไม่เห็นบนหน้าผากของเขา จูงเขาขึ้นแล้วพูดกับท่านโหวอาวุโสที่ยังไม่ได้สติกลับคืนมา “ภายในครึ่งชั่วยาม เงินแสนตำลึงจะส่งถึงมือของทุกท่านอย่างแน่นอน ขอทุกท่านอย่าได้รีบร้อน นั่งรออยู่ที่นี่สักประเดี๋ยวเถิดเจ้าค่ะ”
พูดจบ ก็พูดกับหวงฝู่ซวิ่น “ไท่จื่อ ร่างกายของข้าไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับไปก่อนนะเพคะ แล้ววันรุ่งข้าจะให้น้องชายของข้ามาเข้าเรียนตามปกติ คนบ้านนอกนั้นหนังหนา บาดเจ็บเพียงแค่นี้ไม่เป็นปัญหาอันใดหรอกเพคะ”
เมื่อมองผ่านผู้คนไปยังภายในสนามขี่ม้าแวบหนึ่ง หวงฝู่ซวิ่นก็พยักหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหน้า เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงตามอยู่ด้านหลังทั้งสองคนติดๆ ทั้งสี่คนเดินอย่างผึ่งผายจากไป ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทางแม้แต่คนเดียว
จนกระทั่งขึ้นรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวถึงจะกอดแขนของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างตื่นเต้น ถามด้วยใบหน้าที่คาดหวัง “เป็นอย่างไรล่ะ แสนตำลึง คุ้มหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออก จิ้มไปที่ปลายจมูกของนาง “เจ้านี่ ได้มาเงินมากมายขนาดนั้นจึงให้คนอื่นไปเปล่าๆ เช่นนี้ เจ้าไม่เสียดายหรือ”
“เงินนี้ไม่ใช่เป็นข้าที่ออกเสียหน่อย แล้วข้าจะเสียดายทำไมเล่า เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย ตกลงแล้วพวกเขาเป็นอย่างไรหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนใช้นิ้วลูบจมูกของนางอย่างเอาใจ แล้วก็ยิ้มพูด “อย่างน้อยครึ่งปีพวกเขาคงไม่สามารถออกจากบ้านได้หรอก ทีนี้เจ้าพอใจแล้วสินะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า แล้วทำปากจู๋ “ไม่พอใจ ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงร้องไห้เรียกหาพ่อกับแม่ของพวกเขาเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนถูกล้อจนหัวเราะ ก้มหน้าจูบที่ปากเล็กๆ ของนางด้วยความว่องไว แล้วยิ้มถาม “ไม่เช่นนั้น ให้ข้ากลับไปต่อยพวกเขาจนร้องไห้เรียกหาพ่อแม่อีกดีหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมา
รถม้าสองคันด้านหน้าและด้านหลังมาถึงประตูบ้าน เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ได้กำลังรอคอยอย่างกังวลใจที่หน้าประตูแล้ว
ครั้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยวโยวมีอารมณ์ดีลงมาจากรถม้า ก็ถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงลงมาจากรถม้าด้านหลัง ไม่กล้าเดินไปข้างหน้า ครั้นเมิ่งซื่อเห็นแล้ว น้ำตาก็ไหลพรากออกมา วิ่งเข้าไปโอบกอดทั้งสองคนไว้ในอ้อมอก ภรรยาเมิ่งต้าจินตามอยู่ด้านหลังนางติดๆ พอเห็นสภาพของทั้งคู่ก็ปวดใจจนน้ำตารินไหล แต่ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่พาทั้งคู่เดินเข้าไปในบ้านด้วยกันกับเมิ่งซื่อ
เมิ่งต้าจินและคนอื่นๆ ก็ตามกลับเข้าไปในบ้านอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
เมิ่งฉีรออยู่หน้าประตู รอหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเดินผ่านไป ก็กดเสียงต่ำถาม “เกิดอะไรขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไป พลางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกระชับให้เขา แล้วจึงยิ้มพูด “พี่ชายรองไม่ต้องเป็นกังวลนะเจ้าคะ พี่ไม่ได้เห็น คนอื่นถูกพวกเขาต่อยจนสภาพย่ำแย่กว่านี้อีกเจ้าค่ะ ก็ถือว่าพวกเขาได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แล้ว หลังจากนี้เป็นต้นไป ก็ไม่มีคนในกั๋วจื่อเจี้ยนกล้าหาเรื่องอีกแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เมิ่งฉีก็ยิ้มขึ้นมา “ทำให้เจ้าเคยตัวเสียแล้ว แม้แต่คนในกั๋วจื่อเจี้ยนก็กล้าหาเรื่องได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เห็นด้วย “คนในกั๋วจื่อเจี้ยนแล้วอย่างไรล่ะเจ้าคะ ไม่ใช่ว่ามีสองตา หนึ่งปากเหมือนกันหรือ จะเหนือกว่าพวกเราสักเท่าไรกันเชียว เพียงแค่เพราะพวกเขาคาบช้อนเงินช้อนทองเกิดมา ก็รังแกคนได้อย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเสียล่ะ”
พูดจบ ก็นึกถึงที่ตัวเองต้องออกเงินชดเชย จึงยิ้มอย่างเริงร่า แล้วพูดกับเมิ่งฉีด้วยความฉอเลาะ “พี่ชายรอง ข้ารับปากว่าจะชดใช้ให้พวกเขาคนละหนึ่งแสนตำลึง ตอนนี้ตัวข้าไม่มี พี่ให้ข้ายืมก่อนนะเจ้าคะ”
เมิ่งฉีสะดุ้งตกใจ และขมวดคิ้วถาม “มากขนาดนั้นเลยหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายหน้า แล้วชี้ไปที่หวงฝู่อี้เซวียนพร้อมพูด “ไม่ใช่เจี๋ยเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์ก่อเรื่อง เป็นเขาที่ก่อเรื่อง”
โดนใส่ร้ายอย่างไร้เหตุผล หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่รู้จะร้องหรือยิ้มดี แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากและแบกรับโทษนี้ “เป็นข้าเองที่ใช้อารมณ์อย่างเกินเหตุ แล้วลงมือกับคนที่เข้ามาคิดบัญชีด้วยจนปางตาย พี่ชายรองออกให้แทนพวกเราก่อนนะขอรับ รอให้พวกข้ากลับถึงจวนแล้วจะสั่งคนนำส่งมาให้พี่”
“นี่พวกเจ้าพูดอะไรน่ะ พวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน มาพูดว่าอะไรของข้าอะไรของเจ้าได้อย่างไร แล้วก็นะ เจ้าก็ออกหน้าเพื่อเจี๋ยเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์ด้วย ข้าจะไปเอามาให้พวกเจ้าเดี๋ยวนี้ล่ะ”
ได้รับตั๋วเงินมาแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็สั่งโจวอันให้ไปส่งให้แก่หวงฝู่ซวิ่น
หลังจากเมิ่งซื่อและคนอื่นกลับถึงห้องแล้ว ก็ช่วยเช็ดแผลที่บวมช้ำบนหน้าของเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง ทำให้ทั้งสองคนเจ็บจนร้อง โอ้ย ตลอด เมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินเข้ามาจากด้านหลังได้ยินเสียงของพวกเขา จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “สมน้ำหน้า ใครให้พวกเจ้าทำอะไรโดยไม่ใช่สมองเล่า ข้าเคยสอนพวกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ยามคนน้อยต้านศัตรูไม่ไหว ต้องใช้ปัญญาเข้าสู้ พวกเจ้ากลับไม่ฟัง ตัวเองก็เลยต้องบาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้”
ทั้งคู่ไม่กล้าครวญครางเสียงดังอีก จึงยื่นมือขึ้นมาป้องปากตัวเองเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้ง
เมิ่งต้าจินก็สอบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเล่าอย่างสั้นๆ อีกครั้ง แล้วภรรยาเมิ่งต้าจินก็รู้สึกดีใจอย่างมาก ตบเข่าฉาดแล้วพูด “พวกเจ้าทั้งสองคนทำได้เยี่ยมมาก ควรจะจัดการพวกเขาอย่างนี้แหละ ประเดี๋ยวป้าใหญ่จะทำอะไรอร่อยๆ ให้พวกเจ้ากินนะ ตอบแทนที่พวกเจ้าเหนื่อยเสียหน่อย”
เมิ่งต้าจินคิดมาก ขมวดคิ้วแล้วถาม “อี้เซวียน พวกเจ้าทั้งสองก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ กั๋วจื่อเจี้ยนแห่งนี้…”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไท่จื่อได้อนุญาตพวกข้าแล้ว วันรุ่งให้พวกเขาเข้าเรียนได้ตามปกติเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
ครั้งนี้เมิ่งต้าจินถึงจะพยักหน้าด้วยความสบายใจ “โชคดีที่ไท่จื่อมีพระทัยกว้าง ไม่ขับไล่พวกเขาเพราะในเรื่องนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า ไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นให้พวกเขา เพื่อจะได้ไม่ให้ทั้งครอบครัวต้องเป็นกังวล
เมื่อได้รับยาดีแล้ว เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงก็ไปพักผ่อน หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง คิดอยากจะพักผ่อนเสียหน่อย แต่โจวอันกลับเดินเข้ามาในเรือนและรายงาน “นายท่านขอรับ ไท่จื่อให้ข้ามาบอกท่านว่า ท่านโหวอาวุโสพวกนั้นสั่งคนให้แบกเหล่าท่านโหวเข้าไปดูอาการรักษาในสำนักหมอหลวง จึงให้ท่านและซื่อจื่อเฟยเตรียมตัวให้ดี ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวภายในวังหลวงจะส่งคนมาเรียกตัวขอรับ”