ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 302 สำนักคุ้มภัยเวยหย่วน
เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเปิดตาขึ้นและยังสะลึมสะลืออยู่ เมื่อได้ยินการรายงานของหวงฝู่อี้ จึงขยี้ตา แล้วอยากจะลุกขึ้นมานั่ง
หวงฝู่อี้เซวียนห้ามนาง “ไม่ต้องสนใจเขา เจ้าหายง่วงก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหาวหนึ่งครั้ง แล้วกลับลงไปนอนอีกครั้งหนึ่งอย่างว่าง่าย และพูดโดยที่หลับตาอยู่ “ข้ายิ่งอยู่ยิ่งอยากนอนมากผิดปกติแล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไป ต้องกลายเป็นลูกหมูขี้เกียจแน่ๆ”
หวงฝู่อี้เซวียนพลิกตัวหันข้าง มือข้างหนึ่งดันศีรษะของตัวเอง แล้วมองท่าทางขี้เซาของนาง แล้วยิ้มออกมา พูด “ไม่ว่าเจ้าจะกลายเป็นอะไร ข้าก็ไม่รังเกียจเจ้าเลย” พูดจบ ก็รอคอยท่าทางที่รู้สึกตื้นตันของเมิ่งเชี่ยนโยว
และก็เป็นเช่นนั้นจริง เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดตาขึ้น ยิ้มจนตาหยีเป็นเส้นเดียว “เพิ่งตื่นก็ได้ยินคำพูดหวานๆ แบบนี้ ข้าควรจะให้รางวัลเจ้าเสียหน่อยดีไหมนะ”
“ไม่ต้อง ข้าให้เจ้าเองก็ได้” พูดจบ ริมฝีปากก็ประกบเข้าไป
จูบอย่างดูดดื่มครู่หนึ่ง ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็แผ่ประกายแสงแห่งความสุข และยิ้มถาม “ซื่อจื่อเฟย ตอนนี้ตื่นแล้ว ต้องการให้ข้าใช้ความงามเอาใจเจ้าให้ลุกขึ้นจากเตียงหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก เห็นใบหน้าที่งดงามทุกวันก็เบื่อหน่ายแล้ว ซื่อจื่อเฟยคนนี้ตื่นเองดีกว่า”
หวงฝู่อี้เซวียนเบียดเข้าไปใกล้นาง บนใบหน้าแม้ว่าจะมีรอยยิ้ม แต่ถ้อยคำที่พูดออกมากลับทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกไม่ปลอดภัย “ซื่อจื่อเฟย กล้าพอที่จะพูดคำพูดเมื่อครู่อีกครั้งหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกหวาดกลัวโดยพลัน แล้วทำหน้ายิ้มอ้อน “พูดผิดแล้ว พูดผิดไปอย่างมาก ซื่อจื่อของข้า เป็นชายหนุ่มรูปงามแห่งยุค รูปร่างสง่าผ่าเผย สูงส่งเหนือผู้ใดจะเทียมเช่นนี้ ข้าจะเบื่อหน่ายได้อย่างไร ได้แต่เพียงมองดู มองเท่าไรก็ไม่เบื่อ นับวันก็ยิ่งติดใจ”
คำพูดนี้ฟังอย่างพอใจแล้ว ไออันตรายรอบตัวของหวงฝู่อี้เซวียนก็ได้มลายไป จึงลุกขึ้น ลงจากเตียง รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากเตียง ก็ช่วยนางสวมเสื้อนอกให้เรียบร้อย แล้วถือช่วงเวลาที่นางกำลังล้างหน้าล้างตาและแต่งกาย ตัวเองก็ใส่เสื้อนอก แล้วจัดแจงเล็กน้อย ถึงจะมายังในเรือนของพระชายาฉีด้วยกัน
หวงฝู่ซวิ่นเกรงกลัวอ๋องฉี จึงย่อมไม่กล้าไปรบกวนเขา ตัวเองนั่งอยู่คนเดียวก็รู้สึกเบื่อหน่าย จึงมาขอพบพระชายาฉี แล้วนั่งพูดคุยสัพเพเหระกับนางอยู่ภายในเรือรของพระชายาฉี เมื่อก่อนเสด็จอาสะใภ้คนนี้นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน ภายในจวนมีพระชายารองเฮ่อเป็นผู้ดูแลบ้าน เขาจึงมาที่จวนอ๋องฉีน้อยครั้งมาก หลังจากนั้นตามหวงฝู่อี้เซวียนกลับมาได้ ก็แทบไม่ได้มา เนื่องจากต้องปิดบังความสัมพันธ์ลับของพวกเขา วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้สนทนากับพระชายาฉี กลับพบว่าเสด็จอาสะใภ้ท่านนี้มีความน่าสนใจกว่าที่ตัวเองคิดอย่างมาก ว่าตามหลักความจริงแล้ว นางเกิดในจวนของแม่ทัพ แม่ทัพอาวุโสก็มีนางเป็นลูกสาวแค่เพียงคนเดียว อีกทั้งร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เล็ก จึงน่าจะเป็นคนที่ถูกประคบประหงมจนมีนิสัยหยิ่งยโสและเอาแต่ใจไร้เหตุผล แต่เสด็จอาสะใภ้ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มีท่าทางที่เมตตา สง่างาม ใจกว้าง พูดจาก็สบายๆ ไม่เหมือนดังภาพที่เขาจินตนาการไว้แม้แต่น้อย
หวงฝู่ซวิ่นประหลาดใจอย่างมาก ยิ่งอยากจะพูดคุยกับนาง แล้วก็คุยเป็นเวลาชั่วยามโดยที่ไม่รู้ตัว จนกระทั่งหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมา ถึงจะขัดจังหวะการพูดคุยของทั้งคู่
พระชายาฉีมิได้เห็นว่าหวงฝู่ซวิ่นเป็นคนอื่นใด กวักมือยิ้มให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว ส่งสัญญาณให้นางนั่งบนเก้าอี้นิ่มที่อยู่ด้านข้าง แล้วพูด “ไท่จื่อมาถึงตั้งนานแล้ว ได้ยินว่าพวกเจ้ากำลังพักผ่อน จึงไม่ได้ไปรบกวน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าไปทางหวงฝู่ซวิ่น แล้วพูดกับพระชายาฉีอย่างละอาย “ไม่รู้ทำไมเจ้าค่ะ หลายวันนี้ยิ่งรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนง่าย เลยต้องทำให้ไท่จื่อรอนานแล้วเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีพูดกำชับด้วยรอยยิ้ม “ตั้งครรภ์ก็เป็นแบบนี้แหละ ภายในจวนไม่มีเหตุอันใด ถ้าหากอยากนอนก็นอนเถิด ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น”
เห็นทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสบายๆ เหมือนเป็นแม่ลูกแท้ๆ ไม่มีระยะห่างแม้แต่น้อย หวงฝู่ซวิ่นก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา ตัวเองเติบโตภายในวังหลวงตั้งแต่เล็ก แม้แต่ตอนที่พูดคุยกับเสด็จแม่ก็ไม่ได้สบายๆ เช่นนี้ เพราะเสด็จแม่มักจะบอกเขาเสมอว่า หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เวลาจะพูดอะไรต้องระมัดระวังคนที่แอบฟัง สิ่งที่ไม่ควรพูด สิ่งที่ไม่สามารถพูดได้ ล้วนต้องเก็บเอาไว้ในใจ แม้นเพียงครึ่งประโยคก็ไม่อาจพูดออกมาได้ ส่วนไท่จื่อเฟยก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย นางเป็นบุตรสาวของคนชั้นสูง ระวังและรักษาเรื่องมารยาทและกาลเทศะอย่างมาก ไม่เคยล้ำเส้นแม้แต่ก้าวเดียว เวลาพูดจากับตัวเองก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาที่นางพูดคุยกับเสด็จแม่ของตัวเองอีก นอกจากเข้าวังหลวงไปเยี่ยมตามธรรมเนียม เวลาอื่นก็แทบจะไม่ได้มีการพูดคุยกันเท่าไร
หวงฝู่อี้เซวียนไม่อยากให้พระชายาฉีรู้ความสัมพันธ์ลับของตนกับไท่จื่อ จึงถามด้วยเสียงนอบน้อม “ไท่จื่อวันนี้เสด็จมาที่จวนด้วยเหตุอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นเขาแสร้งทำท่าทำทาง หวงฝู่ซวิ่นอยากจะพ่นคำด่าใส่เขาสักหน่อยเสียจริง มีเรื่องอะไรที่เจ้าไม่รู้อีกหรือ รู้แล้วยังจะแกล้งถามอีก! ทว่า อยู่ต่อหน้าพระชายาฉี คำพูดนี้ก็ไม่กล้าพูดออกไป จึงเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าวันนี้เกิดเรื่องเล็กน้อยภายในกั๋วจื่อเจี้ยน และเกี่ยวข้องกับน้องเซวียน ข้าจึงมาถามสักหน่อย ไม่รู้ว่าน้องเซวียนพอจะบอกได้หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เรื่องนี้ถ้าจะพูดก็คงนาน เพียงประโยคสองประโยคคงพูดไม่จบหรอกพ่ะย่ะค่ะ ไม่เช่นนั้นไท่จื่อเสด็จไปที่เรือนของข้า แล้วพวกเรามาคุยกัน ‘ดีๆ’ เถิด”
ไปหรือไม่ไปดี หวงฝู่ซวิ่นลังเลอยู่พักหนึ่ง ไปแล้วโดนต่อยคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ไป บางอย่างก็ไม่สะดวกที่จะพูดต่อหน้าพระชายาฉี ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ กัดฟัน แล้วฝืนเผยรอยยิ้มออกมา “ก็ดี ข้าก็รบกวนเสด็จอาสะใภ้มานานแล้ว พวกเราไปคุยกันในเรือนของเจ้า”
พูดจบ ก็ลุกขึ้นแล้วบอกลาพระชายาฉี “เสด็จอาสะใภ้ขอรับ วันหลังข้าจะมาเยี่ยมท่านที่จวนอีก”
พระชายาฉียิ้มพูด “ฟ้ามืดแล้ว หากเจ้าไม่มีเรื่องด่วนอันใด ข้าสั่งในห้องครัวให้ทำอาหารเย็น แล้วเย็นนี้เจ้าอยู่ทานข้าวในจวนก่อนแล้วค่อยไปเถิด”
อีกประเดี๋ยวไม่รู้ว่าตัวเองโดนต่อยแล้วจะเป็นอย่างไร หวงฝู่ซวิ่นก็ไม่กล้าขายหน้า จึงยิ้มปฏิเสธ “ขอบพระคุณขอรับ วันนี้คงไม่ได้แล้ว วันหลังจะต้องหน้าไม่อายมาทานข้าวด้วยอย่างแน่นอนขอรับ”
พระชายาฉีไม่ดึงดันต่อ พยักหน้ายิ้ม “ได้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน แล้วพูด “เสด็จแม่เจ้าคะ เรื่องวันนี้เกี่ยวข้องกับน้องชายทั้งสองคนของข้า ข้าจะตามไปพูดคุยด้วยเจ้าค่ะ”
“ไปเถิด ระวังหน่อยล่ะ ให้ชิงหลวนประคองเจ้า”
ทั้งสามคนกลับมาถึงภายในเรือนรับแขกของหวงฝู่อี้เซวียน สั่งคนให้ไปยกชามา แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง ถึงจะถามขึ้นอย่างช้าๆ “พี่ใหญ่ ที่ท่านมาในวันนี้คือ…?”
ได้ยินคำพูดเขา ตาหวงฝู่ซวิ่นได้แต่จ้องน้ำชาที่อยู่ข้างกาย ไม่เงยหน้าขึ้นมา และตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เสแสร้งให้มันน้อยๆ หน่อย ข้ามาทำอะไรเจ้าไม่รู้หรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าอย่างซื่อตรง “พี่ใหญ่ ท่านไม่พูด น้องก็ไม่รู้จริงๆ ขอรับ”
“ข้าจะบอกทั้งคู่ให้ว่าเรื่องในวันนี้เป็นเพราะข้าสะเพร่าเอง แต่ไม่อาจโทษข้าได้ทั้งหมด อีกประเดี๋ยวลงมือเบาเสียหน่อย สองวันนี้เสด็จพ่อมีพระประสงค์ให้ข้าไปที่ห้องทรงพระอักษรเพื่อช่วยดูฎีกา ถ้าหากทำให้เขามองออก ข้าจะไม่ปิดบังแทนพวกเจ้า ไม่แน่ว่าอาจจะถือโอกาสฟ้องเสียเลย”
“นี่พี่ใหญ่พูดอะไรของพี่กัน พระองค์เป็นถึงรัชทายาท เป็นฮ่องเต้ในอนาคตของรัฐอู่ พวกเรากล้าจะลงมือกับพระองค์ที่ไหนกันพ่ะย่ะค่ะ” ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนผ่อนลง และพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สา
ในใจหวงฝู่ซวิ่นกลับยิ่งฮึกเหิม “พวกเจ้าจะเอาอย่างไรก็ว่ามาเถิด วันนี้ข้าขอรับประกันว่าจะไม่ตีกลับ ไม่พูดย้อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเสียงดังออกมา “พี่ใหญ่พูดเสียน่าสงสารเลยนะเพคะ พวกเราเคารพต่อพระองค์อย่างยิ่ง แล้วพวกเราจะเคยกล้าลงมือกับพระองค์เมื่อไรหรือเพคะ เรื่องวันนี้ ข้ากับอี้เซวียนไม่ได้โทษพระองค์เลยเพคะ”
“จริงหรือ” หวงฝู่ซวิ่นเบิกตาโต ถามกลับอย่างไม่เชื่อ
“แน่นอนว่าไม่จริงเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกดวงตาดำทั้งคู่ แล้วมองเขาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “พี่ใหญ่ แม้แต่คำพูดนี้ท่านก็เชื่อหรือ”
หวงฝู่ซวิ่นถูกย้อนจนพูดไม่ออก โกรธจนยกถ้วยน้ำชาขึ้นซดไปหลายอึก
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งยิ้มยิ่งส่องประกายแวววับ “แต่ วันนี้พวกเราไม่ได้คิดว่าจะไม่เคารพพี่ใหญ่หรอกนะเพคะ เพียงแต่จะยื่นเงื่อนไขเล็กๆ ให้แก่พี่ใหญ่”
ดื่มน้ำชาในถ้วยเสร็จ หวงฝู่ซวิ่นก็วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะที่อยู่ข้างกาย แล้วเผยท่าทางที่ใจกว้าง “ก็ได้ เงื่อนไขอันใด หากข้าสามารถทำได้จะรับปากเจ้าอย่างแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รีบ ยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มเล็กน้อย แล้วถึงจะพูดยิ้มอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเพคะ สำหรับพี่ใหญ่แล้วง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก”
หวงฝู่ซวิ่นบุ้ยปาก แสดงท่าทางราวกับบอกว่ามีแค่ผีเท่านั้นแหละถึงจะเชื่อพวกเจ้า
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจ วางถ้วยชาในมือลง แล้วยิ้มพูด “พี่ใหญ่จำได้ไหมเพคะว่าเมื่อก่อนในเมืองหลวงมีสำนักคุ้มภัยที่ชื่อว่าเวยหย่วนอยู่แห่งหนึ่ง”
“สำนักคุ้มภัยเวยหย่วน?” หวงฝู่ซวิ่นขมวดคิ้ว แล้วนึกอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่าจำขึ้นมาได้อย่างเลือนลาง แน่นอนว่ามีช่วงหนึ่งที่นับว่าสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนมีความรุ่งเรืองอย่างมากในเมืองหลวง หลังจากนั้นเพราะว่าสินค้าที่ต้องคุ้มกันนำส่งให้เฮ่อเหลี่ยนเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย ถึงทำให้สำนักนั้นปิดตัวลง ว่ากันว่า นายน้อยผู้เป็นเถ้าแก่ในสำนักคุ้มภัยถูกขายเป็นทาส
หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า พูด “พอนึกออกบ้าง เวลานั้นสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนแห่งนี้เกิดเรื่องเพราะข้องเกี่ยวกับเฮ่อเหลี่ยน ดังนั้นข้าจึงส่งคนไปสืบดูเสียหน่อย ไม่รู้ว่าที่น้องถามถึงเรื่องนี้เพราะเหตุใดหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แสดงอีกต่อไป ตอบเขาอย่างเป็นกันเองว่า “นายน้อยของสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนก็คือเหวินเปียว ซึ่งเป็นลูกน้องของข้า ในปีนั้นทั้งครอบครัวของเขาสิบกว่าคนถูกขับไล่เป็นทาส แล้วถูกส่งไปที่ชิงเหอ บังเอิญถูกข้าพบ จึงซื้อพวกเขามา หลังจากนั้น ข้ามาที่เมืองหลวงแล้ว ก็อยากจะสืบเรื่องในอดีตที่ผ่านมา แล้วพบว่าพวกเขาถูกเฮ่อเหลี่ยนใส่ร้าย สาเหตุทั้งหมดนี้เป็นพราะเฮ่อเหลี่ยนอยากจะบีบบังคับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เหวินเปียวที่พบเข้าโดยบังเอิญก็ช่วยนางไว้ เฮ่อเหลี่ยนจึงมีใจคิดแค้น ถึงได้สร้างเรื่องเพื่อใส่ร้ายในเวลาต่อมา วันนี้ข้าพูดออกมา เพราะอยากจะให้พี่ใหญ่ช่วยสักหน่อยเจ้าค่ะ ช่วยคืนชื่อเสียงให้แก่สำนักคุ้มภัยเวยหย่วนด้วยนะเจ้าคะ”
เรื่องนี้ค่อนข้างจัดการลำบาก ในปีนั้นเฮ่อจางยังดำรงตำแหน่งมหาเสนาบดี และพระชายารองเฮ่อก็ได้รับความเอ็นดู ขุนนางระดับล่างจึงลงโทษอย่างหนักเพื่อที่จะประจบพวกเขา แต่เนื่องจากเป็นศาลในสังกัดของราชวงศ์ หากตอนนี้อยากจะพลิกคดี ก็เท่ากับตบหน้าของราชสำนักตัวเองไปด้วย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เห็นเขาเงียบไม่พูด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้เร่งเร้า ยกน้ำเปล่าขึ้นมา จิบเล็กๆ อีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก “เรื่องนี้ไม่ได้ยากมากอย่างที่พี่ใหญ่คิด ตอนแรกที่สำนักคุ้มภัยเกิดเรื่องเป็นแผนการของเฮ่อเหลี่ยน ตอนนี้ไม่มีเขา ก็ย่อมไม่มีคนคัดค้านแล้ว พระองค์สามารถสั่งคนไปเอาเอกสารคดีออกมาทำลายอย่างเงียบๆ แล้วเว้นโทษให้สำนักคุ้มภัยทุกคน เท่านี้ก็เรียบร้อยไม่ใช่หรือ”
หัวคิ้วของหวงฝู่ซวิ่นขมวดกันแน่น “จะง่ายอย่างที่เจ้าพูดที่ไหนกัน ภายในนั้นไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องเฮ่อเหลี่ยน ยังเกี่ยวโยงกับข้าราชที่ตัดสินคดีความนี้ในเวลานั้นอีก ถ้าจะพลิกคดีให้แก่สำนักคุ้มภัย ก็จำเป็นต้องลงโทษพวกเขา แต่นี่ก็ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว บางคนก็ได้เลื่อนตำแหน่งสูงแล้ว จึงไม่ง่ายต่อการตรวจสอบเลย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่คลาย และพูดอย่างจริงจัง “พี่ใหญ่ ข้าเป็นเพียงผู้หญิง หลักการการจัดการของขุนนางมิได้เข้าใจมาก แต่ข้ารู้หลักการอย่างหนึ่ง นั่นคือ ผู้ที่ได้ใจของประชาชนเท่ากับได้ครอบครองแผ่นดิน ท่านมีสถานะเป็นไท่จื่อ สิ่งที่ต้องทำก็คือกุมหัวใจของประชาชน ก็จริงอย่างที่ท่านว่า เรื่องนี้ไม่ได้จัดการง่าย แต่ถ้าหากท่านจัดการสำเร็จแล้ว ก็จะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเรื่องที่ใส่ร้ายในปีนั้น แม้ว่าทำลายชื่อเสียงของขุนนางหลายคน แต่สิ่งที่พระองค์ได้ก็คือใจอันเป็นที่รักจากประชาชนในเมืองหลวง และในเวลาต่อมาไม่นานก็จะกลายเป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน เช่นนั้นต่อไปท่านจะกังวลว่าจะนั่งบนบัลลังก์อย่างไม่มั่นคงในแผ่นดินแห่งนี้กันไปทำไมเล่าเจ้าคะ”
ในใจของหวงฝู่ซวิ่นสั่นไหวอย่างแรง เพียงประโยคที่สวยงามประโยคเดียวที่กล่าวว่า เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินผู้ได้ใจของประชาชน ดูแล้วเหมือนว่าเป็นประโยคที่ง่าย แต่ซ่อนความหมายยิ่งใหญ่เอาไว้ ถ้าหากตัวเองทำได้จริงๆ ก็จะเป็นอย่างที่นางว่า จะกังวลว่าจะนั่งอย่างไม่มั่นคงได้อย่างไร ใคร่ครวญถึงตรงนี้ เลือดร้อนก็พลุ่งพล่าน และพูดรับปากอย่างเริงรมย์ “ได้ เมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ พี่ใหญ่ก็จะช่วยเรื่องนี้อย่างแน่นอน ส่วนเจ้ารอฟังข่าวดีจากข้าเถิด”
ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวเผยความยินดี สายตาเป็นประกาย “ขอบพระคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องขอบคุณหรอก พี่ใหญ่เพียงแต่อยากจะพูดอย่างหนึ่ง”
“พี่ใหญ่โปรดว่ามาเถิด”
“คนฉลาดหลักแหลมเช่นเจ้า เหตุใดถึงตามืดบอดไปถูกใจคนหน้าซื่อใจคดเสียแล้วล่ะ” พูดจบ เงาคนที่อยู่เบื้องหน้าทั้งสองก็แวบหายไป และเงาของหวงฝู่ซวิ่นก็ได้มาถึงหน้าประตูของห้องรับแขกแล้ว เสียงด้านหลังก็ดังขึ้นตามมาจากไกลๆ “ถ้าหากวันใดที่น้องสาวเสียใจภายหลังแล้ว ก็บอกกับพี่ใหญ่สักหน่อย ผู้ชายดีๆ ในแผ่นดินแห่งนี้ยังมีอีกมากมาย ถึงเวลานั้นพี่ใหญ่จะช่วยพวกเจ้าอีกแรงแน่นอน”
สิ้นคำพูด ตัวคนก็ออกจากเรือนไปแล้ว
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนทะมึนลง ปลายเท้าขยับราวกับอยากจะตามออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะยิ้ม ร้องห้าม “เห็นแก่ที่เรื่องนี้ยากสำหรับเขาแล้ว เจ้าอย่าได้ถือสากับเขาเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนหันศีรษะกลับมา มองนางเขม็ง
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกอึดอัด จึงยิ้มถาม “เหตุใดถึงมองข้าเช่นนั้น”
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น เดินเข้ามาตรงหน้านาง กอดนางเข้าในอ้อมอกแน่น แล้วขยับปากชิดที่ข้างหูนาง พูดเสียงเบาราวกับยั่วเย้าและไถ่ถาม “โยวเอ๋อร์ บอกเรื่องในโลกก่อนของเจ้าให้ข้าฟังได้หรือไม่”