ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 305 โศกนาฏกรรมแห่งความรัก
หวงฝู่อวี้ที่เมามายราวกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงส่ายหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
“โจวอัน ทำให้คุณชายรองสร่างเมาเสียหน่อย” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง
โจวอันรับคำ หันกายออกจากเรือน แล้วหยิบน้ำเย็นถังหนึ่งมา สาดไปบนตัวหวงฝู่อวี้ที่นอนอยู่บนพื้นอย่างแรง ความหนาวเหน็บเสียดแทงจนทั้งกายหวงฝู่อวี้สั่นสะท้าน ช่วงเวลานั้นสมองก็ได้สติขึ้นมาอย่างชัดเจน เห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของหวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่เหนือตัวเอง ฟันก็เริ่มสั่น “พี่…พี่ใหญ่”
“ดูท่าจะยังไม่สร่างเมา โจวอัน ทำต่อ!”
แล้วน้ำเย็นอีกหนึ่งถังก็สาดเข้าใส่หัวของหวงฝู่อวี้อีกครั้งโดยพลัน แม้แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็เริ่มรู้สึกทนไม่ได้ แต่ก็ต้องข่มใจฝืนตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปห้ามหวงฝู่อี้เซวียน
ครั้งนี้หวงฝู่อวี้ตื่นแล้วจริงๆ เห็นสีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างชัดเจน ก็ตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง พลิกตัวลุกขึ้นมา แล้วตัวที่แกว่งไปแกว่งมาก็พยายามยืนนิ่งต่อหน้าหวงฝู่อี้เซวียน “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่”
“สร่างแล้วหรือยัง” หวงฝู่อี้เซวียนถามเสียงแข็ง
หวงฝู่อวี้รีบพยักหน้า “สร่างแล้ว สร่างแล้ว สร่างแล้วจริงๆ ขอรับ”
“ให้เวลาเจ้าจัดการตัวเองให้เรียบร้อยภายในเวลาหนึ่งก้านธูป จัดการเสร็จแล้วก็เข้ามาในเรือนของข้า” หวงฝู่อี้เซวียนพูดจบ หันตัว โอบเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากเรือน
“เร็วๆๆ ช่วยข้าเอาน้ำมา ข้าจะล้างหน้าล้างตาสักหน่อย” เสียงที่วุ่นวายหวงฝู่อวี้ดังขึ้นจากด้านหลัง
และมีเสียงฝีเท้าที่ชุลมุนดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง
ทั้งสองคนไม่ได้สนใจ กลับเข้าในห้องของตัวเองโดยที่ไม่พูดอะไรตลอดทาง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างคาดเดา “สามารถทำให้น้องรองใช้สุราเพื่อระบายความทุกข์ได้ น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลินหันเยียนแล้วล่ะ หลายวันนี้พวกเรายุ่งจนละเลยเรื่องเกี่ยวกับนางเสียแล้ว”
ให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ รินน้ำเปล่าหนึ่งถ้วย แล้วส่งให้นาง บอกเป็นนัยว่าให้นางดื่มสักหน่อย หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะพูด “น่าจะเป็นเพราะเรื่องงานหมั้นนั่นแหละ มิเช่นนั้นอวี้เอ๋อร์คงไม่เสียใจจนกลายเป็นแบบนี้”
“งานแต่งของคุณหนูของจวนราชเลขาน่าจะเป็นเรื่องที่ฮือฮาไปทั่วเมือง อวี้เอ๋อร์ได้ยินก็ไม่แปลกอะไร ประเดี๋ยวพวกเราถามเขาให้ดีๆ”
หวงฝู่อวี้จัดแจงตัวเองเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว แล้วมาถึงในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความหวาดหวั่น ไม่กล้าเข้าห้อง และยืนร้องเรียกอยู่ในเรือน “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่”
“เข้ามา”
ไม่ต้องให้ชิงหลวนช่วย หวงฝู่อวี้เปิดม่านออกอย่างระมัดระวัง ตรวจดูสีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน เวลานี้ถึงจะเดินเข้าประตูห้องเข้าไปอย่างเกรงกลัว ยืนนิ่งด้วยความรู้สึกพรั่นพรึงจนกลืนน้ำลายลงหลายอึก ถึงจะพูดเสียงสั่น “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้า…”
หวงฝู่อี้เซวียนมองความคิดในใจเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งทันที ถามอย่างสบาย “นี่เจ้าเตรียมจะวิ่งหนีเลยหรือ”
ในใจถูกมองออก สีหน้าหวงฝู่อวี้ก็แดงขึ้นอีก แล้วรีบพูดเอาใจ “ข้ารู้เลยว่าเรื่องอะไรก็ปิดบังสายตาของพี่ใหญ่ไม่ได้ นี่ข้าก็ต้องกลัวโดนต่อยไม่ใช่หรือ ถ้าวิ่งเร็วหน่อยก็จะได้โดนน้อยลง”
หวงฝู่อี้เซวียนโมโหจนไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะ ริมฝีปากเม้มขึ้น “ยังไม่มานั่งลงอีก!”
“เฮ้อ” เห็นสีหน้าที่บึ้งตึงเปลี่ยนเป็นสดใสแล้ว หวงฝู่อวี้ก็รับคำเสียงดังกังวาน เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา แล้วนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามกับทั้งสองคน และหันศีรษะไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว “พี่สะใภ้ใหญ่ วันนี้น้องทำเรื่องน่าอายแล้ว ไม่ได้ทำให้ท่านตกใจใช่ไหมขอรับ”
“ข้าไม่เป็นไร แต่เกรงว่าเด็กในท้องคงจะตกใจไม่น้อย ตอนนี้ข้าไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกึ่งจริงกึ่งเท็จ
หวงฝู่อวี้ตกใจจนร่างกายที่เพิ่งนั่งลงไปเด้งขึ้นมา ในใจร้องครวญครางไม่หยุด ครั้งนี้ได้ก่อหายนะอันใหญ่หลวงแล้ว ทำให้เด็กในท้องตกใจ อย่าว่าแต่พี่ใหญ่เลย แม้แต่อ๋องฉีและพระชายาฉี หากอีกประเดี๋ยวรู้เข้าแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะคว้ามีดมาไล่ฆ่าเขาทั่วจวน
เดิมทีเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเล่นกับเขา แต่ครั้นเห็นสีหน้าเขาที่ขาวซีดโดยพลัน ก็รู้ว่าล้อเล่นเกินเหตุไปแล้ว จึงพูดยิ้ม “เจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกไป เพียงแต่บอกเหตุผลที่ทำไมวันนี้เจ้าถึงเป็นเช่นนี้ออกมา ข้าก็จะดีขึ้น”
ไหนเลยที่หวงฝู่อวี้จะมีเรื่องกังวลมากมายขนาดนั้น จึงเปิดปากพูดออกมา “เยียนเอ๋อร์ใกล้จะหมั้นหมายแล้ว ข้า…” พูดถึงตรงนี้ ก็ตระหนักอะไรได้บางอย่างทันที จึงรีบยั้งปากไว้ แล้วก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดแทงใจดำเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่บอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับคุณหนูหลินหรอกหรือ ที่เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ในวันนี้ก็เพื่อเหตุผลนั้น?”
“ข้า ข้า…” หวงฝู่อ้ำอึ้ง พูดไม่ออก
“พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ ไม่ได้ยินหรือ” เสียงที่ดุดันของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น
หวงฝู่อวี้ตัวสั่นเทิ้ม เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่งด้วยความกลัว จากนั้นมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้า ข้า…” แล้วก็นึกเหตุผลดีๆ เหตุผลหนึ่งขึ้นได้ทันที จึงยืดตัวตรง พูดเสียงดัง “ข้าเพียงแต่คิดว่าคุณหนูจวนราชเลขาแต่งกับชายคนหนึ่งที่ไม่มีชื่อแซ่ ไม่มีตระกูลค้ำจุน เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
หวงฝู่อวี้พยักหน้างกๆ “ใช่ๆๆ น้องมิได้พูดโป้ปดหลอกลวงท่านอย่างแน่นอนขอรับ”
“น้องรอง” เมิ่งเชี่ยนโยวลากเสียงยาวเรียกเขา
ในใจของหวงฝู่อวี้ไหวสั่น
คำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังตามมาอีก “เจ้าเคยได้ยินคำที่ว่า เป็ดแม้จะตายแล้ว แต่ปากก็ยังแข็งหรือไม่”
หวงฝู่อวี้ฉีกยิ้มด้วยความละอาย “ไม่…ไม่เคยขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เช่นนั้นก็มอบสำนวนนี้ให้น้องรองแล้วกัน ประเดี๋ยวกลับไปแล้วก็ไตร่ตรองความหมายของประโยคนี้ให้ดี”
หวงฝู่อวี้พยักหน้าไม่หยุด แล้วถือโอกาสอยากจะเดินออกไป “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่พักเถิดขอรับ ข้าจะกลับไปไตร่ตรอง”
“หยุด!” หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนเรียกเขา
ขณะที่เท้าของหวงฝู่อวี้กำลังจะยกขึ้นก็ต้องวางลงไปทันที แล้วยิ้มแฮะๆ “พี่ใหญ่ ข้ายังไม่ได้ไปสักหน่อย”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนสงบนิ่ง หวงฝู่อวี้เดาไม่ออกว่าเขาเรียกเพื่ออะไร ในใจก็หวั่นเกรงขึ้นมาอีก
“รู้สถานะของตัวเองหรือไม่” หวงฝู่อี้เซวียนถาม
หวงฝู่อวี้พยักหน้า “รู้ขอรับ”
“สถานะคืออะไร”
หวงฝู่อวี้ตอบอย่างตรงไปตรงมา “คุณชายรองแห่งจวนอ๋องขอรับ”
“ยังมีอะไรอีก”
“ยังมี…” หวงฝู่อวี้เกาหัว คิดไม่ออกว่าตัวเองมีสถานะอะไรอีก
“เจ้าเป็นน้องชายของข้า เป็นคนที่จะค้ำจุนจวนอ๋องด้วยกันกับข้า” หวงฝู่อี้เซวียนเตือนเขา
ร่างกายของหวงฝู่อวี้สะท้าน เงยหน้า มองไปทางเขา
“ที่คุณหนูหลินหมั้นหมาย พี่ใหญ่ก็รู้ว่าเจ้าในใจของเจ้าเจ็บช้ำ แต่นี่เป็นการเลือกของเจ้าเอง ตอนแรกเสด็จแม่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าต่างก็ถามเจ้าแล้ว แต่เป็นเจ้าเองที่ละทิ้ง ผลลัพธ์ทั้งหมดเจ้าก็ต้องรับด้วยตัวเอง”
หวงฝู่อวี้ยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าทราบ เพียงแต่ควบคุมไม่ได้ชั่วขณะหนึ่ง…”
“เจ้าไม่รู้!” เสียงที่ดุดันของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “สายตาทั้งคู่ของคนข้างนอกล้วนจับจ้องมาที่จวนอ๋องของพวกเราไม่มากก็น้อย อยากจะหาเรื่องหัวเราะเยาะจวนอ๋องของพวกเราใจจะขาด พวกเขาได้ทีเหยียบแล้ว ก็พร้อมระบายความอัดอั้นในใจออกมา การกระทำของเจ้าครั้งนี้ ประจวบเหมาะที่จะให้พวกเขาได้มีข้ออ้างมาหัวเราะเยาะ ไม่เกินวันนี้ ไม่สิ ตอนนี้ภายในเมืองหลวงอาจจะเริ่มพูดไปทั่วแล้ว เจ้ารู้หรือไม่”
หวงฝู่อวี้นิ่งอึ้ง
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นอีก “ข้าก็เคยบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า ต่อไปพวกเราสองพี่น้องจะต้องค้ำจุนจวนอ๋องด้วยกัน ข้าจัดการงานภายนอก ส่วนเจ้าจัดแจงเรื่องทรัพย์สิน พวกเราร่วมแรงร่วมใจกันทำให้จวนอ๋องดำรงอยู่ได้ตลอดไป ทว่า การกระทำของเจ้าในวันนี้ เป็นการเอาข้อด้อยของตัวเองไปเปิดเผยต่อหน้าผู้คนอย่างสิ้นเชิง ในวันข้างหน้า คนพวกนั้นที่อยากจะทำให้จวนอ๋องเสียเปรียบ ก็จะใช้ข้อด้อยนี้ของเจ้า เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเมื่อผ่านไปแล้วผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร”
หวงฝู่อวี้เหมือนกับโดนตะบองทุบหัว เหม่ออยู่ที่เดิม เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ปฏิบัติต่อผู้คนหรือเรื่องต่างๆ โดยไม่คิดมาก ต่อมาประสบเรื่องพลิกผันมากมาย บวกกับไปฝึกฝนที่โรงงาน เขาจึงมีความคิดที่รอบคอบมากขึ้น คำพูดที่หวงฝู่อี้เซวียนบอกว่าพี่น้องสองคนร่วมแรงร่วมใจค้ำจุนจวนอ๋อง ก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ณ เวลานี้ ที่นา ร้านค้าภายในจวนก็จัดการอย่างเต็มที่ด้วยแรงกายและแรงใจ แต่มีเพียงในใจเขาเองที่รู้ว่าเขายังมีอคติอยู่
หวงฝู่อี้เซวียนเป็นลูกของพระชายาเอก เป็นซื่อจื่อ และเป็นคนสืบทอดจวนอ๋องในอนาคต ส่วนเขานั้น พูดตามที่คนอื่นบอกก็คือเป็นภัยอันตรายต่อเขาที่สุด ไม่สร้างปัญหาก็ดี แต่ถ้าสร้างปัญหา ไม่แน่ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะถือโอกาสขับไล่เขาออกจากจวน ให้เขาสร้างเนื้อสร้างตัวเองอย่างอัตคัด แต่คำพูดของเขาวันนี้ กลับพูดในมุมของพี่น้องร่วมแรงกันค้ำจุนจวนอ๋องจริงๆ ความคิดในใจของเขาที่ล่องลอยไม่แน่นิ่ง เป็นทุกข์เป็นร้อนในเรื่องผลได้ผลเสียในระยะนี้ ก็วนกลับมาตั้งมั่นอยู่ที่เดิม
เขารู้ว่าคำพูดนี้ของหวงฝู่อี้เซวียนเป็นความจริง อีกทั้ง เขาก็รู้ว่า เขากับเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาเป็นน้องแท้ๆ จริงๆ และเขาก็ยิ่งรู้ว่าทั้งชีวิตของเขานี้จะไม่กลายเป็นคนที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งอย่างแน่นอน ด้านหลังของเขามีพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ มีจวนอ๋องที่ให้เขายึดมั่น ไม่ว่าตอนนี้หรือว่าอนาคต เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของจวนอ๋องฉีแห่งนี้ตลอดไป
คิดถึงตรงนี้ ขอบตาชื้น เผยสีหน้าละอายใจ “พี่ใหญ่ ข้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกถ้อยคำที่เขาจะแสดงความซาบซึ้ง “น้องรอง ปีนั้นเจ้าคงจะได้ยินสถานการณ์ในบ้านข้า ไม่ว่าพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ หรือว่าพี่รอง พี่สะใภ้รอง หรือพี่เขย และคนอื่นๆ พวกเราล้วนสนิทสนมดั่งครอบครัวเดียวกัน ข้าไม่รู้ว่าบรรดาศักดิ์และทรัพย์สินจะทำให้คนต้องฟาดฟันด้วยเล่ห์กลอุบายอย่างไร ข้ารู้แต่เพียงว่าหลังจากที่ข้าแต่งมา ก็มีน้องชายแท้ๆ เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งเท่านั้น”
น้ำตาของหวงฝู่อวี้ทะลักออกมา ดวงตาที่พร่ามัวด้วยน้ำตาเผยรอยยิ้มที่ใสซื่อบริสุทธิ์เช่นเมื่อก่อน แล้วพยักหน้าสุดแรงไม่หยุด น้ำตาร่วงลอยไปก็ไม่สนใจ ท่ามกลางเสียงสะอึกสะอื้นก็พูดรับปากกับตัวเอง “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ อวี้เอ๋อร์จะเป็นน้องชายแท้ๆ ของพวกท่านตลอดไปขอรับ”
หวงฝู่อวี้ออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็สบายใจขึ้นมาก “เป็นเพราะพวกเราละเลยแล้ว ตั้งแต่พระชายารองเฮ่อตาย ก็ทำให้เขาไม่รู้สึกปลอดภัย ตอนนี้ดีแล้วที่ใจของเขามั่นคงขึ้น ต่อไปพวกเจ้าก็เป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริงเสียที”
หวงฝู่อวี้เซวียนตอบรับ “อืม” เบาๆ
“หากต่อไปเขากระทำผิดอีก เจ้าจะใช้วิธีร้ายกาจลงโทษเขาไม่ได้อีกแล้วนะ ข้าเห็นแล้วก็ปวดใจเหลือเกิน”
ดวงตาหรี่ลงด้วยความอันตราย ความหึงหวงภายในน้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเผยออกมา “เจ้าพูดคำพูดเมื่อครู่อีกรอบสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพลันอึ้งไป นึกคำพูดที่ตัวเองพูด ก็พ่นหัวเราะ “ข้าว่าเจ้านะ เหตุใดตอนนี้ถึงมีความหึงหวงมากขนาดนี้ เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของพวกเรา ข้าเอ็นดู ปวดใจแทนเขาแล้วจะทำไมหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนแนบประชิดนาง ลมหายใจอุ่นๆ ที่พ่นออกมารดบนหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ทำให้นางรู้สึกถึงความอันตรายชอบกล “เจ้าผิดแล้ว เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของข้า แต่เป็นน้องของสามีเจ้า ต่อไปคำพูดคำจา เจ้าต้องระวังกว่านี้ แน่นอนว่าถ้าเจ้านึกอยากจะให้ข้าลงโทษเจ้า ก็จงพูดผิด ทำผิดบ่อยๆ เสีย”
“เฮ้อ เจ้า…” คำพูดต่อมาก็ถูกหวงฝู่อี้เซวียนกลืนลงไปแล้ว
ชิงหลวนกับจูหลีได้ยินการเคลื่อนไหวภายในห้อง มองหน้ากัน แล้วไปยืนอยู่หน้าประตูใหญ่อย่างเงียบๆ
ต่อมาหลายวัน ไม่มีเรื่องสำคัญอันใด หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ออกจากบ้าน สั่งคนให้ค้นสมุนไพรล้ำค่าแต่ละชนิดที่ฉกฉวยมาจากวังหลวงออกมาตำให้แหลก เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนส่วนผสม ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนก็ทำเป็นเม็ดยารูปแบบต่างๆ ด้วยตัวเอง
เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องหลายวัน สมุนไพรก็ถูกปรุงจนใกล้หมดแล้ว เม็ดยาทำได้สิบกว่าขวดเต็มๆ หวงฝู่อี้เซวียนนำเม็ดยาเหล่านี้วางอย่างระมัดระวัง เตรียมไว้ให้เมิ่งเชี่ยนโยวใช้ตอนคลอด
ขณะที่เม็ดยาชุดสุดท้ายทำเสร็จและยังไม่ได้บรรจุใส่ขวดนั้น เจ้าเหวินซื่อตัวดีที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ พาเฝิงจิ้งเหวินที่อุ้มลูกชายมาทักทายถึงประตูจวนอ๋องแล้ว
ขณะที่เพิ่งจะให้นายประตูนำเข้าจวนอ๋อง จมูกที่สัมผัสไวเหมือนสุนัขของเขานั่นก็ได้กลิ่นของสมุนไพร จึงทิ้งเฝิงจิ้งเหวินแม่ลูก ตามกลิ่นของสมุนไพรมาถึงในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ครั้นเห็นเม็ดยาที่รูปร่างเล็กใหญ่ต่างกันแต่ละเม็ด ดวงตาก็ส่องแสงวาววับ มือหนึ่งยกขึ้นจะโกยเอาเม็ดยาเข้าลงในอกของตัวเอง พร้อมตะโกนร้องเสียงดัง “เม็ดยาพวกนี้เป็นของข้าแล้ว”
ยังไม่รอให้เขาได้สัมผัสเม็ดยา แรงมหาศาลพุ่งเข้ามาใส่จนทำให้เขากระเด็นออกจากเรือน
เฝิงจิ้งเหวินที่อุ้มลูกอยู่เดินเข้าไปด้านหน้าพอดี สะดุ้งตกใจอย่างแรง กระทั่งเห็นว่าเป็นเหวินซื่อ จึงร้องเรียกด้วยความตระหนก “ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ”
เหวินซื่อโบกมือ แล้วลอยตัวกระโจนเข้าไปในเรือนอย่างไม่ยอมแพ้
เฝิงจิ้งเหวินก็ตามเข้าไป เมื่อเห็นเม็ดยาใหญ่เล็กพวกนั้น ก็เข้าใจว่าเพราะอะไร แล้วยิ้มให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างละอาย
คนอื่นทำงาน นางทำได้แค่ดู หลายวันนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเบื่อจะแย่แล้ว เมื่อเห็นเฝิงจิ้งเหวิน ก็เริงร่าอย่างยิ่ง “พี่สะใภ้ ในที่สุดเจ้าก็คิดจะมาเยี่ยมข้าแล้ว” พูดจบ ก็สาวเท้าเข้าไปต้อนรับ
เฝิงจิ้งเหวินอุ้มลูกเดินไปหานางอย่างรวดเร็ว ปากก็กำชับ “เจ้าเดินช้าๆ หน่อย เจ้าตั้งครรภ์แล้วนะ ทำไมยังเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้”
ทั้งสองคนเดินมาใกล้กัน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอออกมา ปรบมือเล็กๆ ของนาง เล่นกับเด็กในอ้อมอกของเฝิงจิ้งเหวิน “พี่สะใภ้ ลูกชายคนนี้ของเจ้าหน้าตาฉลาดเฉลียวจริงๆ เจ้าค่ะ”
ลูกตาของเหวินซื่อที่อยากจะแย่งเม็ดยาแต่ไม่สำเร็จอยู่ด้านข้างก็เปลี่ยนทิศ กระโจนมาข้างกายทั้งสองคน แล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ถ้าเจ้าเอาเม็ดยาพวกนั้นให้ข้า ข้าจะให้ลูกชายข้าเรียกเจ้าว่าแม่บุญธรรม”