ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 32-1 ไปคารวะท่านราชครู
ซุนเหลียงไฉพูดจบก็รู้สึกเสียวคอด้านหลัง จึงหดคอลงโดยไม่รู้ตัว รีบหันหลังกลับไป เห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่ถึงแม้ใบหน้าจะประดับด้วยรอยยิ้มแต่ทว่าดวงตากลับจ้องมองเขาอย่างน่ากลัว
ซุนเหลียงไฉรู้ตัวในทันที รีบเดินถอยหลังไปอย่างลนลาน พูดตะกุกตะกักว่า “จะ เจ้า เจ้าห้ามลงมือนะ”
เห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะจนแทบจะทนไม่ไหว เมิ่งอี้สองสามีภรรยาก็หัวเราะขบขันจากท่าทางของเขา
บรรยากาศภายในห้องโถงดูอบอุ่นขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนเก็บไอสังหารที่แผ่กระจายอยู่รอบตัว เดินก้าวเข้าไปหาหมายจะตบบ่าของเขา
ซุนเหลียงไฉตื่นตระหนกรีบถอยหลังออกมาอีกก้าว ร้องขึ้นอย่างหวาดกลัว “เจ้าอย่าเข้ามานะ”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าอย่างนึกขัน แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยว
ซุนเหลียงไฉถึงค่อยได้รู้ตัวว่าตัวเองตกใจไปเอง เช็ดหยาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วก็นั่งลงที่เดิม
จากการโวยวายของซุนเหลียงไฉทำให้เมิ่งอี้สองสามีภรรยาหายรู้สึกเกร็ง ต่างก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้อย่างสบายๆ
หลังจากที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันมานานหลายปี บัดนี้มีฐานะแตกต่างกันมาก แต่ละคนนั่งลงแล้วก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกัน ทำให้บรรยากาศภายในห้องโถงเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้น
ในตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าจะคุยอะไรนั้นเสียงของกัวเฟยก็ดังมาจากด้านนอกขึ้นพอดี “นายหญิงขอรับ สำรับอาหารพร้อมแล้ว วันนี้ท่านจะรับที่ไหนดี?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงดัง “วางไว้ในเรือนรับรองเถอะ พวกเราจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”
กัวเฟยตอบรับแล้วเดินไปสั่งงานที่เรือนครัว
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ย “พี่เมิ่งอี้ พี่สะใภ้ เหลียงไฉเราไปทานข้าวกันเถอะ”
ทุกคนพยักหน้าแล้วลุกขึ้นไปยังเรือนรับรอง
เมิ่งอี้กับคนอื่นๆ เร่งเดินทางมา ในระหว่างการเดินต่างก็ทานอาหารกันอย่างเร่งรีบ ฉะนั้นจึงรู้สึกหิวได้สักพักแล้ว พอตั้งโต๊ะเสร็จทุกคนก็ทานอาหารกันอย่างไม่เกรงใจ
ทุกคนทั้งทานอาหารทั้งพูดคุยกัน พอได้ทานอาหารหัวข้อการสนทนาก็มีมากขึ้นตาม
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จก็นั่งคุยกันสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้นว่า “พี่เมิ่งอี้ พี่สะใภ้เจ้าคะ พวกท่านคิดจะไปจวนโจวเมื่อใด?”
เมิ่งอี้มองหน้าโจวอิ๋ง
โจวอิ๋งเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เจอกับที่บ้านนานหลายปีแล้ว จึงอยากไปให้เร็วที่สุด”
เมิ่งเชี่ยวโยวพยักหน้ากล่าวว่า “ตอนที่มาถึงเมืองหลวงข้าก็อยากจะเข้าพบท่านราชครูตั้งนานแล้วเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่มีเวลาเสียที วันนี้มีเวลาพอดีให้เราไปด้วยกันกับพวกท่านดีหรือไม่เจ้าคะ” พูดจบก็หันหน้าไปถามหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยขึ้นว่า “โจวเซี่ยวกับโจวหลี่ทั้งสองท่านได้รับมอบหมายให้ไปกองเก็บเอกสาร เวลานี้คงมิได้อยู่บ้าน ในบ้านมีแค่ท่านราชครูกับคนในบ้านคนอื่นๆ”
หลายปีมานี้โจวอิ๋งก็พอจะทราบสถานการณ์ภายในบ้านจากจดหมายอยู่บ้าง จึงพยักหน้า “ข้าทราบ พวกเราไปกันตอนนี้เถอะ ข้าคิดถึงคนที่บ้านเหลือเกิน”
ทุกคนต่างก็ลุกขึ้น
ซุนเหลียงไฉก็ลุกขึ้นตาม พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ข้าไปเดินเล่นที่ร้านค้าก่อน ตอนเย็นจะกลับมารอทานอาหารอร่อยๆ ฝีมือเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สั่งให้กัวเฟยไปตระเตรียมของกำนัลด้วย
ทุกคนเดินออกประตูไปพร้อมกัน
ซุนเหลียงไฉขึ้นรถม้าของตัวเองก่อน สั่งให้สารถีรีบพาไปสำรวจร้านของตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นรถม้าที่มีเหวินเปียวนั่งเป็นสารถี ส่วนกัวเฟยก็ขึ้นนั่งเพลารถม้าอีกคัน
เมิ่งอี้สองสามีภรรยาพาหงเอ๋อร์ขึ้นรถม้าที่กัวเฟยเป็นสารถี
หวงฝู่อี้เซวียนบอกที่อยู่ของบ้านตระกูลโจวกับเหวินเปียว
ก่อนที่ท่านราชครูจะย้ายออกจากเมืองหลวงนั้นได้ขายบ้านเดิมไปแล้ว พอกลับมาเมืองหลวงก็ซื้อหลังใหม่อีก ซึ่งไม่หรูหราโอ่โถงเหมือนหลังเดิม ที่ตั้งก็อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองหลวงไปบ้าง
รถม้าสองคันขี่ตามกันไปยังบ้านที่ท่านราชครูซื้อมาใหม่
ทุกคนทยอยลงจากรถม้า
โจวอิ๋งแหงนมองแผ่นบ้านที่มีตัวอักษรตัวโตๆ เขียนว่าตระกูลโจวแขวนอยู่หน้าประตู ขอบตาแดงรื้นขึ้นอย่างอดไม่ได้
ผู้ดูแลบ้านที่บังเอิญเดินออกมาสั่งงานคนเฝ้าประตูพอดี ทันทีที่เห็นหวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้าก็รีบเดินเข้ามาหา โดยไม่ได้มองดูคนอื่นที่อยู่รอบตัวก็คารวะให้เขาทันที เอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมว่า “ซื่อจื่อ ท่านมาแล้ว”
“ลุงฝู!” เขายังพูดไม่จบโจวอิ๋งก็ร้องตะโกนเรียกเขาอย่างตื่นเต้นดีใจ
ลุงฝูตะลึง จากนั้นมองไปยังโจวอิ๋งอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เอ่ยถามขึ้นด้วยความตื้นตันใจ “คุณหนูซุน ท่านกลับมาแล้ว!”
โจวอิ๋งน้ำตาไหลเป็นสาย พยักหน้าพัลวัน
ดวงตาของลุงฝูก็มีน้ำตาคลอเบ้า รีบหันหน้ากลับไปสั่งคนเฝ้าประตูอย่างรีบร้อน “เร็ว รีบไปบอกนายท่าน ฮูหยิน นายหญิงใหญ่ว่าคุณหนูซุนกลับมาแล้ว!”
คนเฝ้าประตูรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที
ลุงฝูหันกลับมาพูดละล่ำละลักด้วยอาการตื่นเต้น “คุณหนูซุน ท่าน ท่านกลับมาได้ ช่าง ช่างดีเหลือเกิน คุณชายใหญ่กับคุณนายคิดถึงท่านแทบแย่”
โจวอิ๋งตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออก
ลุงฝู่หันไปมองเมิ่งอี้
เมิ่งอี้ที่อุ้มหงเอ่อร์อยู่ก็เรียกขึ้นด้วยความเคารพ “ลุงฝู่”
ลุงฝูส่งเสียงตอบรับ ส่วนสายตานั้นจ้องมองหงเอ๋อร์ตาไม่กะพริบเลย ถามขึ้นอย่างงกๆ เงิ่นๆ ว่า “นี่คือคุณชายน้อยกระมัง? เติบโตถึงเพียงนี้แล้ว”
เมิ่งอี้ยิ้มรับ กำลังจะให้หงเอ๋อร์ทักทายก็มีเสียงฝีเท้าวุ่นวายดังเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงฮูหยินโจวเซี่ยวดังขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ “อิ๋งเอ๋อร์ล่ะ อิ๋งเอ๋อร์อยู่ไหน”
โจวอิ๋งวิ่งไปรับฮูหยินโจวเซี่ยวที่กำลังเดินออกมาพอดี “ท่านแม่ ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ ข้ากลับมาแล้ว”
ฮูหยินโจวเซี่ยวใช้มือข้างหนึ่งจับโจวอิ๋งไว้ มีน้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย สะอึกสะอื้นพูดว่า “กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”
โจวอิ๋งก็กลั้นไม่อยู่น้ำตาไหลพรากออกมา “ท่านแม่ ลูกอกตัญญูนัก ไม่กลับมาเยี่ยมพวกท่านเลยตั้งสี่ปี พวกท่านโปรดให้อภัยด้วยนะเจ้าคะ”
ฮูหยินโจวเซี่ยวเช็ดน้ำตาให้นาง “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว คราวนี้ต้องอยู่นานๆ นะ เราครอบครัวเดียวกันจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”
โจวอิ๋งพยักหน้า
เมิ่งอี้ก็อุ้มหงเอ๋อร์เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของฮูหยินโจวเซี่ยว ร้องทักทายด้วยความนอบน้อมว่า “ท่านแม่ยาย”
ฮูหยินโจวเซี่ยวพยักหน้า มองไปยังหงเอ๋อร์ที่เขาอุ้มอยู่เอ่ยขึ้นว่า “นี่หงเอ๋อร์ใช่ไหม โตถึงเพียงนี้แล้ว”
เมิ่งอี้ก้มหน้าบอกหงเอ๋อร์ว่า “หงเอ๋อร์ เรียกท่านยายสิ”
“ท่านยาย” หงเอ๋อร์ก็ไม่เขินอาย ร้องเรียกเสียงหวานขึ้นมา
“จ้ะ” ฮูหยินโจวเซี่ยวตอบรับอย่างดีใจพร้อมยื่นมือออกไป “มา หงเอ๋อร์ มาให้ยายอุ้ม ให้ยายมองดูให้ชื่นใจหน่อย”
หงเอ๋อร์มองหน้าเมิ่งอี้
เมิ่งอี้พยักหน้า
หงเอ๋อร์จึงลงจากอ้อมแขนของเมิ่งอี้มายืนบนพื้น แล้วแหงนมองไปยังฮูหยินโจวพร้อมกับพูดเสียงใสว่า “หงเอ๋อร์ตัวหนัก ท่านยายอุ้มหงเอ๋อร์ไม่ไหวหรอก หงเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงนี้ให้ท่านยายมองดูดีกว่า”
พอเห็นเขาใส่ใจเช่นนี้ฮูหยินโจวเซี่ยวก็ดีใจเหลือเกิน จึงย่อตัวลงอุ้มเขาขึ้นมา “เด็กดีของยาย ไม่ว่าเจ้าจะตัวหนักเพียงใดยายก็อุ้มเจ้าไหว”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้ก็เดินตามเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินยิ้มเข้ามาทักทายฮูหยินโจวเซี่ยว “ฮูหยินใหญ่ ไม่ได้พบกันสี่ปีท่านยังดูดีเช่นแต่ก่อนเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินโจวเซี่ยวเพิ่งจะเห็นพวกเขา อุ้มหงเอ๋อร์กำลังจะคารวะหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนยกมือขึ้นห้ามนางไว้ “ฮูหยินใหญ่ มิต้องมากพิธี”
ฮูหยินโจวเซี่ยวพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจว่า “แม่นางเมิ่ง ท่านก็มาด้วย เร็ว เชิญเข้ามาเร็วเข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนจึงเดินเข้าไป
ฮูหยินโจวเซี่ยวอุ้มหงเอ๋อร์ไว้ด้านข้าง โจวอิ๋งกับเมิ่งอี้เดินตามหลัง
เมิ่งเชี่ยนโยวพลางยิ้มพลางพูดว่า “ข้ามาถึงเมืองหลวงตั้งแต่สิบวันก่อนแล้ว คิดตลอดว่าจะมาคารวะท่านราชครู แต่งานยุ่งเหลือเกิน จึงหาเวลามาไม่ได้เสียที วันพี่รองกับพี่สะใภ้มาบ้านพอดีข้าจึงตามมา หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวนพวกท่าน”
ข่าวของเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนนั้นแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ฮูหยินโจวเซี่ยวก็ได้ยินเช่นกัน ตอนนี้พอได้ฟังนางพูดเช่นนั้นจึงรีบบอกว่า “พวกเราก็ได้ข่าวว่าท่านกลับมาเมืองหลวงแล้ว คิดจะไปพบท่านเช่นกัน แต่ก็ไม่ทราบว่าท่านพักอยู่ที่ใด จึงมิได้ไปเสียที เมื่อวานนายท่านยังบอกท่านพี่ว่าหากมียามว่างก็ให้ไปถามซื่อจื่อว่าท่านพักอยู่ที่ใด ก็บังเอิญว่าท่านมาวันนี้พอดี”
ทั้งสองคนทักทายปราศรัยกันจนมาถึงเรือนของท่านราชครู