ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 350 จะคลอดแล้ว
สำหรับพระชายาฉีแล้ว วันตรุษจีนเป็นวันที่วุ่นวายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นธุระใหญ่เล็กภายในจวน และการพบปะผู้คนมากมายภายนอกจวน ทำให้ยุ่งอย่างไม่จบไม่สิ้น
แต่สำหรับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วกลับสบายมาก เพราะนางได้อยู่ในจวนต้อนรับคนที่ตัวเองชอบทุกวัน เช่นคู่สามีภรรยาเหวินซื่อ เฝิงจิ้งซู หรือคู่สามีภรรยาเปาอีฝาน แต่ละคนล้วนมาหาเนื่องในโอกาสวันตรุษจีน ใครๆ ต่างบอกว่าเวลาผู้หญิงอยู่ด้วยกันจะเกิดเสียงดังจ้อกแจ้ก เมื่อเพิ่มเด็กน้อยตัวเล็กน่ารักหลายคนเข้ามาอีก เช่นนั้นก็จะกลายเป็นโรงละครขนาดใหญ่แล้ว
เสียงดังๆ ของเด็กๆ และเสียงหัวเราะของผู้หญิง ผสมผสานด้วยกัน เรือนที่ปกติแห้งแล้งก็เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวาทันใด
ท่ามกลางบรรยากาศที่สุขสันต์ วันตรุษจีนก็ผ่านพ้นไป ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวเติบโตขึ้นอีกปี ท้องก็ใหญ่ขึ้นตามด้วย
เนื่องจากเมิ่งซื่อไม่วางใจ วันที่สิบหกของเดือนหนึ่งก็รีบกลับมาพร้อมกับสองสามีภรรยาเมิ่งฉี ครั้นเห็นท้องของนางใหญ่โตเกินปกติ ใจก็สั่นไหวอย่างแรง แทบอยากจะเฝ้าอยู่ข้างกายนางทุกๆ เวลา
พระชายาฉีก็รู้สึกกังวลอย่างมาก แม้แต่เรื่องงานแต่งของหวงฝู่อวี้กับหลินหันเยียนก็ไม่มีเวลาสนใจแล้ว และก็เป็นเช่นเดียวกับเมิ่งซื่อที่แทบอยากจะคล้องเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยเชือกไว้กับเอวของตัวเองเพื่อจะได้เฝ้าดูนางตลอดเวลา เพราะวิตกว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอันใดขึ้น
พวกนางทั้งสองคนกังวลจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับกินดื่มอย่างดี นอนหลับอย่างสนิท
หวงฝู่อี้เซวียนได้รับอิทธิพลของเมิ่งซื่อและพระชายาฉี จึงเป็นห่วงอย่างมาก แต่เมื่อเห็นท่าทางของเมิ่งเชี่ยนโยว ใจที่กังวลก็ผ่อนคลายลง เพราะตำราแพทย์กล่าวว่า ผู้หญิงใช้เวลาท้องสิบเดือนถึงจะคลอดได้ นี่โยวเอ๋อร์เพิ่งจะท้องหกเดือนกว่า จึงยังเร็วอยู่มากนัก
ขณะที่ทั้งสองคนเป็นกังวล คนหนึ่งรู้สึกว่าไม่มีอะไร และยังมีอีกคนหนึ่งที่ยิ่งไม่ใส่ใจ วันเวลาก็ผ่านไปอีกหลายวัน จนมาถึงเดือนสอง
ยามเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศค่อยๆ อบอุ่น ดอกไม้เริ่มออกดอกผลิบาน แล้วก็สามารถถอดเสื้อผ้าที่ทั้งหนาและหนักออก เปลี่ยนเป็นเสื้อโปร่งสบายๆ ได้แล้ว อารมณ์ของเมิ่งเชี่ยนโยวก็เบิกบานขึ้นตามมาด้วย แม้ว่าจะข้ามกาลเวลามาหลายปี อากาศที่หนาวเหน็บของฤดูหนาว นางก็ยังคงรับไม่ไหว นี่มันหนาวเกินไปแล้ว หนาวจนนางอยากจะหลบอยู่ในกระดองเหมือนกับเต่าจำศีล ครั้นถึงฤดูใบไม้ผลิ สรรพสิ่งล้วนฟื้นคืนสู่สภาพเดิม พลังของนางก็ได้ฟื้นคืนกลับมาด้วยเช่นกัน
วันนี้อากาศแจ่มใส เมิ่งเชี่ยนโยวก็นอนจนเกือบจะเป็นเวลาสาย ถึงจะเปิดตาขึ้นมา หวงฝู่อี้เซวียนที่นั่งอ่านตำราแพทย์อยู่บนเก้าอี้ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงเงยหน้าขึ้น และมองมา
นอนจนตื่นเองตามธรรมชาติ เมิ่งเชี่ยนโยวก็อารมณ์ดีอย่างมาก จึงโบกมือให้เขาอย่างซุกซนพร้อมร้องทักทายเสียงออดอ้อน “เซี่ยงกง ข้าตื่นแล้ว หิวมากเลย”
สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนลุ่มลึกขึ้น วางตำราแพทย์บนมือลง เดินไปเบื้องหน้านางอย่างเป็นสุข แล้วเอนกายลง “เซี่ยงกงก็หิวแล้ว” พูดจบ ไม่รอให้เสียงดุที่อิดออดของเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากปาก ริมฝีปากก็ถูกประกบเข้าไปแล้ว และกดลงที่ด้านบนของนางอย่างแม่นยำ
เมิ่งเชี่ยนโยวยินยอมอย่างอ่อนแรง ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ
เขาปล่อยนางออกด้วยอาการหายใจหอบ เสียงบ่นของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “เดือนที่เจ็ดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะ แล้วก็นึกอะไรได้ขึ้นมาทันที จึงหัวเราะขึ้นอย่างอดไม่ได้
หวงฝู่อี้เซวียนแสวงหาตำราแพทย์จำนวนมาก และศึกษาค้นคว้าอย่างตั้งอกตั้งใจทุกวัน จึงได้รู้ว่าภายในสามเดือนนี้ ผู้หญิงไม่สามารถเคลื่อนไหวแรงๆ ได้ ดังนั้น เขาต้องบังคับข่มใจตัวเอง หลังจากครั้งนี้ที่เมิ่งเชี่ยนโยวหาเรื่องเขาแล้ว จึงพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา
เห็นรอยยิ้มอันพริ้งเพริศดั่งดอกไม้ที่ผลิบาน หวงฝู่อี้เซวียนก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา จนเกิดแสงสว่างเปล่งประกายไปทั่วทั้งห้อง แสงนั้นทั้งสดใสและแจ่มแจ้ง
“เจ้าปีศาจ!” รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวหายไป พูดบ่นกับตัวเองเสียงอุบอิบ
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเข้าหู รอยยิ้มก็ยิ่งกระจ่างใส ส่องจนภายในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกแสบๆ คันๆ จึงยกมือขึ้นโอบคอของเขา แล้วดึงลงมาจูบเข้าไปอย่างแรงโดยไม่มีพิธีรีตอง และยังปนด้วยการระบายความโกรธ เช่นนี้กลับทำให้หวงฝู่อี้เซวียนได้รับความสุขอย่างคาดไม่ถึงแทน หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออก ดันศีรษะของนาง ให้นางสามารถได้ทำตามใจชอบ
สุดท้ายก็เป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่หายใจไม่ออก จึงปล่อยเขา พอเห็นริมฝีปากที่แดงสดงดงามกว่าตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะพูดบ่นอีกครั้ง “เจ้าปีศาจ ถ้าไม่ใช่ข้าจัดการเจ้า ไม่รู้ว่าจะทำให้คนอื่นจำต้องรับเคราะห์มากน้อยเท่าไร”
หวงฝู่อี้เซวียนมองว่าประโยคนี้คือคำเชยชม อารมณ์ก็ยิ่งสุขทวีคูณ พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ลุกขึ้นเถิด วันนี้อากาศดี กินข้าวเช้าแล้ว พวกเราไปเดินรอบๆ สวนดอกไม้กัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เอื้อมมือไปโอบคอเขา หวงฝู่อี้เซวียนก็ประคองนางลุกขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ ช่วยนางสวมเสื้อผ้า ขณะที่เสพสุขจากการได้รับการปรนนิบัติ เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกลายเป็นง่อยเสียแล้ว
ในโลกก่อน ถ้าหากมีคนกล้าพูดว่านางว่า ต่อไปในอนาคตแม้แต่ลุกขึ้นจากเตียง เจ้าก็ยังต้องให้คนมาช่วยเหลือ อย่าว่าแต่บรรพบุรุษรุ่นทวดนั่นเลย ข้ามไปบรรพบุรุษแปดรุ่น นางก็จะขุดออกมาจากหลุมศพ แล้วสังหารให้ตายอีกรอบ บัดนี้กลับเกิดขึ้นแล้วจริงๆ แต่เหตุใดนางถึงรู้สึกสุขใจได้เช่นนี้ล่ะ
หลังจากช่วยนางสวมใส่เสื้อผ้าและเก็บเตียงแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ไปห้องครัวเล็ก ยกข้าวเช้าออกมาด้วยตัวเอง แล้วกินด้วยกันอย่างช้าๆ จากนั้นก็สั่งหวงฝู่อี้มาเก็บโต๊ะ ทั้งสองคนนั่งพักครู่หนึ่งจนอาหารย่อยบ้างแล้ว ก็จูงมือกันออกจากเรือน เดินไปสวนดอกไม้
แสงอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ผลิทออร่าม สรรพสิ่งเติบโต หมู่แมกไม้แตกดอกออกใบ เสียงนกร้องและกลิ่นหอมของดอกไม้ ล้วนทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกสำราญ
ไม่จำเป็นต้องให้หวงฝู่อี้เซวียนประคอง เมิ่งเชี่ยนโยวยืนกรานจะเดินด้วยตัวเอง ระหว่างที่เดินไป พลางก็พูดอะไรต่างๆ กับเขา
ดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนจ้องเส้นทางด้านหน้า และรับฟังด้วยใบหน้าที่รักใคร่ พร้อมทั้งพยักหน้าคล้อยตามโดยตลอด
บ่าวรับใช้ภายในจวนเห็นแล้วก็อิจฉาอย่างมาก ซื่อจื่อทั้งรักและเอ็นดูซื่อจื่อเฟยอย่างมากจนเกินขอบเขตที่พวกเขาคาดคิด ตั้งแต่ไหนแต่ไร พวกเขาไม่เคยเห็นคู่สามีภรรยารอบตัวคู่ไหนที่สามารถเออออคล้อยรับได้ถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นซื่อจื่อยังเป็นผู้ที่มีใบหน้างดงามเกินใครเทียม อีกทั้งสูงศักดิ์ทรงสง่า ราศีเฉิดฉาย เป็นคนที่หญิงสาวทั้งเมืองหลวงต่างใฝ่ฝันว่าจะได้เป็นคู่ครองด้วย
หวงฝู่อี้และโจวอันเดินตามอยู่ด้านหลัง
อาจจะเพราะเดินเหนื่อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงมาเกาะแขนของหวงฝู่อี้เซวียนเอาไว้ แล้วเดินไปข้างหน้ากับเขาอย่างช้าๆ
“ไม่มีชิงหลวนกับจูหลีคอยรับใช้อยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ก็รู้สึกไม่ค่อยชินเสียเลยจริงๆ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
หลายวันก่อน ชิงหลวนที่ไปยกกับข้าวในห้องครัวได้กลิ่นควันและน้ำมัน ก็ป้องปากแล้ววิ่งมาอาเจียนในสถานที่ลับตาคน จูหลีตกใจ รีบเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็อาเจียนตามออกมาด้วย
หวงฝู่อี้ตกใจอย่างมาก นึกว่าพวกนางกินอาหารไม่สะอาดอะไรไป จึงร้องเสียงดังอย่างลนลานภายในเรือน “ซื่อจื่อเฟย ท่านรีบออกมาดูหน่อยขอรับ พี่ชิงหลวนกับพี่จูหลีกินของผิดสำแดงแล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมา เห็นสภาพของทั้งคู่อย่างชัดเจน ก็ยิ้มร่า และสั่งโจวอัน “ส่งคนไปเรียกกัวเฟยกับเหวินซงมา ให้พวกเขารับภรรยาของตัวเองกลับไปดูแลให้ดี”
โจวอันรับคำ แล้วออกคำสั่งไปต่อ
หวงฝู่อี้เอียงศีรษะ ยังคงสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเขาให้ไปยกน้ำเปล่าสองแก้วมาให้ทั้งสองล้างปาก แล้วถึงจะเดินมาตรงหน้าชิงหลวนกับจูหลีด้วยรอยยิ้ม “ให้พวกเจ้าหยุดงานหนึ่งเดือน เมื่อไหร่ที่แข็งแรงแล้วก็ค่อยมา”
ความรู้สึกพะอืดพะอมคลายไป ชิงหลวนรีบเช็ดขอบปากอย่างไม่ใส่ใจ “นายหญิง ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ยังรับใช้ท่านได้เจ้าค่ะ”
“พวกเจ้าไม่เป็นอะไร แต่ข้าเป็น เห็นพวกเจ้าอ้วกแบบนี้ทุกวันแล้ว ข้ารำคาญใจ”
ทั้งสองคนหมดคำพูด
กัวเฟยและเหวินซงได้รับข่าวแล้วก็วิ่งเข้ามาที่จวนอ๋องตามลำดับ และตรงมารับภรรยาของตัวเองโดยที่ไม่แม้แต่จะทักทายเมิ่งเชี่ยนโยว คำพูดทั้งคู่เกือบจะเป็นเหมือนกัน “เมียจ๋า เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ”
เห็นทั้งสองคนเคร่งเครียด เมิ่งเชี่ยนโยวก็หลุดหัวเราะ
ชิงหลวนและจูหลีหน้าแดง
กัวเฟยกับเหวินซงอึ้งไป มองคนตรงหน้าอย่างไม่รู้อะไรเสียเลย
ถ้าไม่ใช่ว่าตัวเองไม่สะดวก เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะถีบคนซื่อบื่อสองคนนี้คนละข้างจริงๆ จึงหันศีรษะ ส่งสายตาให้แก่หวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่หน้าประตูโดยตลอดเพื่อให้เขามาช่วยทำหน้าที่แทน
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาอย่างอุ้ยอ้าย ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ใจกัวเฟยและเหวินซงหดกลัวขึ้นมา
“พวกเจ้าทั้งสองคนพานางออกไป ภายในหนึ่งเดือนนี้ ไม่อนุญาตให้โผล่หน้ามาให้ข้าเห็น” พูดจบ ก็โอบเมิ่งเชี่ยนโยวเบาๆ หันตัวกลับไปในห้อง
กัวเฟยกับเหวินซงอึ้ง ยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับ ในใจก็นึกใคร่ครวญว่าภรรยาตัวเองทำความผิดมหันต์ขนาดไหนไป ถึงได้ทำให้ซื่อจื่อไม่ให้นางมาอีกแล้ว ในขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกยินดี ในที่สุดก็ได้มีวันที่อยู่ด้วยกันกับภรรยาทั้งวันทั้งคืนแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวโกรธจนหยิกเอวของเขา นางให้เขาไปจัดการคน เขากลับเพียงพูดประโยคเดียวก็เดินออกมาแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนเจ็บ จึงหันหน้า ปรายตามองทั้งสองคนด้วยความเย็นชา “ยินดีกับทั้งคู่ด้วย ตั้งแต่วันนี้จะได้มีวันที่จิตใจบริสุทธิ์มากขึ้นแล้ว”
ประโยคนี้ลึกซึ้งกว่าประโยคเมื่อครู่ กัวเฟยและเหวินซงก็ยิ่งไม่เข้าใจ แล้วมองภรรยาตัวเองที่อยู่ตรงหน้า กดเสียงต่ำพูด “เมียจ๋า คำพูดของซื่อจื่อหมายความว่าเยี่ยงไรหรือ”
พูดจบ ก็มีเท้าเตะเข้ามาทันที ในขณะที่กระโดดกอดขาหมุนไปมาด้วยความเจ็บปวด ภรรยาตัวเองก็เดินออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียดแล้ว
รีบตามไปติดๆ และสอบถามตลอดทาง กระทั่งผ่านไปสักพักหนึ่ง เสียงร้องอย่างมีความสุขก็ดังเข้าหูของเมิ่งเชี่ยนโยว
นึกถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเสียดายอย่างมากที่ไม่ได้บอกทั้งสองคนทันที จึงไม่ได้เห็นท่าทางซื่อบื้อของกัวเฟยและเหวินซง
หวงฝู่อี้เซวียนน่าจะคิดถึงเหตุการณ์เวลานั้นด้วยเช่นกัน มุมปากก็เผยรอยยิ้ม
หลังจากที่ทั้งสองคนเดินภายในสวนดอกไม้ครบสองรอบแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็เริ่มเหนื่อยแล้ว หวงฝู่อี้จึงหยิบเบาะรองนั่งที่เตรียมไว้แล้วออกมาวางไว้บนเก้าอี้หินในศาลา หวงฝู่อี้เซวียนพยุงนางนั่งอย่างดี เมื่อมีลมอุ่นๆ พัดเข้ามา ก็ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและเย็นสบายอย่างมาก
โจวอันยกกาน้ำชาและถ้วยน้ำชาเข้ามาวางไว้บนโต๊ะหินอย่างนอบน้อม หลังจากที่ซื่อจื่อเฟยเดินเสร็จทุกครั้ง เวลาพักก็ต้องดื่มน้ำสองถ้วย สิ่งนี้เป็นความเคยชินของเมิ่งเชี่ยนโยวที่ชิงหลวนได้บอกเขาล่วงหน้าแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ โจวอันและหวงฝู่อี้ถอยออกไปไกลๆ
ภายในกาน้ำชาคือน้ำเปล่าอุ่น หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลง เทน้ำหนึ่งถ้วย แล้วใช้ถ้วยสองใบเทกลับไปกลับมาหลายครั้ง เมื่อลองชิมและรู้สึกว่ากำลังดี ถึงจะส่งให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา ยกขึ้นไว้ในมือ และดื่มคำเล็กๆ เข้าไป
ดื่มถ้วยแรกเสร็จ ก็ส่งถ้วยเปล่าให้แก่หวงฝู่อี้เซวียนด้วยรอยยิ้ม ขณะที่อยากจะพูดอะไรอย่างยิ้มแย้ม กลับรู้สึกว่าร่างกายร้อนผาวขึ้นมา
ในใจรู้สึกตื่นตระหนก ครั้นสูดหายใจเข้ายาวๆ กลับรู้สึกว่าความรุ่มร้อนยิ่งพลุ่งพล่านแล้ว
สูดหายใจเข้าแรงๆ อีกหลายครั้ง แล้วส่งเสียงเรียก “อี้เซวียน”
หวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังก้มหน้าใช้ถ้วยสองใบทำน้ำให้เย็นอย่างตั้งอกตั้งใจ เพียงแต่ส่งเสียง อืม เบาๆ
“ข้าจะคลอดแล้ว” หลังจากสูดลมหายใจเข้าอีกหลายครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดด้วยเสียงเบา
แล้วก็ส่งเสียง อืม เบาๆ อีกครั้ง สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนนิ่งเป็นปกติ น้ำเสียงไม่เปลี่ยนแปลง ท่าทางยังคงทำอย่างคล่องแคล่วและชำนาญ
ดีจริงๆ สุขุมนิ่งเหลือเกิน ดูเหมือนว่าตำราแพทย์หลายเดือนนี้ไม่ได้อ่านโดยเปล่าประโยชน์แล้ว เช่นนั้นก็น่าจะรู้ว่าต่อไปควรจะทำอย่างไรแล้วสิ เมิ่งเชี่ยนโยวคิดอย่างเชื่อมั่นเต็มอก
ความคิดยังไม่สิ้นสุดลง เสียง เพล้ง ก็ดังขึ้น ถ้วยชาในมือของหวงฝู่อี้เซวียนร่วงหล่นบนพื้น เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยท่าทางตกตะลึงแต่กลับไม่ได้ลนลาน “จะคลอดแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “น้ำคร่ำแตกแล้ว ดูท่าว่าเจ้าเด็กทั้งสองคนนี้อยากจะรีบออกมาแล้วล่ะ”
พูดจบ เบื้องหน้าก็ไม่เห็นเงาของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว
มองเงาของร่างที่ผ่านออกไปนอกศาลา เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งอึ้งไป ไม่ใช่ว่าเขาควรจะอุ้มตัวเองกลับไปที่ห้องหรอกหรือ
โจวอันกับหวงฝู่อี้เห็นหวงฝู่อี้เซวียนออกมา นึกว่ามีเรื่องที่ต้องการจะสั่ง จึงรุดเข้ามารับหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนกลับกระโดดผ่านหน้าทั้งสองคนไป ในปากพูดพึมพำไม่หยุด “จะคลอดแล้ว จะคลอดแล้ว”
ทั้งสองคนมองหน้ากันและกัน แล้วสีหน้าเปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน นี่ไม่ใช่ว่าซื่อจื่อโดนมนตร์ดำแล้วหรือ ทิ้งซื่อจื่อเฟยไว้อย่างไม่แย่แส แล้วตัวเองก็เดินพูดบ่นออกไป
เห็นเงาของร่างที่ยิ่งไกลออกไป ก็รู้สึกถึงความรุ่มร้อนบนกายที่ยิ่งรุมเร้า เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น พ่อของเด็กไม่สนใจแล้ว แต่อย่างไรตัวเองก็คงไม่อาจคลอดที่ศาลาได้หรอกนะ
อ้าปากอยากจะสั่งโจวอันให้ไปเรียกคน เงาของร่างหวงฝู่อี้เซวียนที่กระวนกระวายก็ปรากฏตรงหน้านาง แล้วถามด้วยความตื่นตระหนก สับสน และศีรษะชุ่มไปด้วยเหงื่อ “จะคลอดแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เอนกาย อุ้มนางขึ้นมา วิ่งไปยังเรือนของตัวเองอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวเบาใจลง ในที่สุดก็ไม่ได้ลืมตัวเองไว้ที่ศาลา
ความคิดในใจยังไม่ทันสิ้นสุด ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของหวงฝู่อี้เซวียนที่เกิดมาเพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ท่านแม่ โยวเอ๋อร์จะคลอดแล้วขอรับ”
เสียงนั้นทั้งดัง ทั้งตื่นตระหนก ทั้งไม่สบายใจ ทั้งน่าเวทนา
ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกตาโพลง มองเขาอย่างไม่เชื่อ แม้แต่ความเจ็บปวดที่ตามมาก็ไม่รู้สึกอีกแล้ว
พระชายาฉีกับเมิ่งซื่อกำลังถักเสื้อผ้าเด็กและพูดคุยหัวเราะกันอยู่ ทันทีที่ได้ยินเสียงน่าเวทนาของหวงฝู่อี้เซวียน มือก็สั่น และถูกเข็มแทงเข้าที่มือ พระชายาฉีไม่สนใจเช็ดเลือดแล้ว ถามเมิ่งซื่อ “ชิ่นจยา ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม เมื่อครู่เป็นเสียงของเซวียนเอ๋อร์หรือ”
เมิ่งซื่อพยักหน้า “ไม่ผิดหรอก ข้าก็ได้ยินชัดแล้วเจ้าค่ะ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับโยวเอ๋อร์แล้วเจ้าคะ”
มองตากัน แล้ววางด้ายบนมือพร้อมกัน จากนั้นก็สาวเท้าวิ่งออกไปด้านนอก
ขณะที่รีบเร่งออกมาที่หน้าประตูเรือน พ่อบ้านก็วิ่งรับหน้าเข้ามา “พระชายาฉี แย่แล้วขอรับ ซื่อจื่อเฟยจะคลอดก่อนกำหนดแล้วขอรับ”