ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 355 คนที่บ้านมาถึงแล้ว
นัยน์ตาของหลินหันเยียนส่องประกายอ่อนๆ แวบหนึ่ง วางถ้วยชาบนมือแล้ว ก็ไถลตัวลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้น “ซื่อจื่อเฟยเจ้าคะ ข้าอยากจะแต่งงานกับพี่อวี้เร็วขึ้นอีกหน่อยเจ้าค่ะ หวังว่าท่านจะสามารถช่วยเหลือข้าได้”
ย่นหัวคิ้วเล็กน้อย จ้องมองนางสักพัก จนกระทั่งหลินหันเยียนเกือบจะยอมแพ้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยื่นมือทำเหมือนว่าจะพยุงนาง “คุณหนูหลินลุกขึ้นมาก่อนเถิด เรื่องงานแต่งของเจ้ากับน้องรองไม่ช้าเร็วก็ต้องจัดอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ข้าอยู่กำลังอยู่ไฟ แม้แต่ประตูก็ยังออกไม่ได้ ดังนั้น ถึงข้าจะอยากช่วย แต่ก็จนปัญญาจริงๆ”
หลินหันเยียนริมฝีปากสั่น อยากจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่า ระหว่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้อยู่ตลอด สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดออกมา แล้วก้มหน้าลง พูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเศร้าสร้อยอย่างชอบกล “หันเยียนล้ำเส้นแล้วเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้าพูดอะไรน่ะ ล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น พูดอย่างสบายๆ หน่อยก็ได้ คุณหนูหลินมักจะทำเหมือนว่าตัวเองเป็นคนนอกอยู่ตลอดเลย แบบนี้ไม่ดีนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บมือกลับ พูดด้วยเสียงเรียบๆ
หลินหันเยียนไม่ได้พูด ศีรษะกลับยิ่งก้มต่ำลง
“คุณหนูหลินอยากจะให้ข้าพยุงเจ้าขึ้นมาหรือ” เห็นนางคุกเข่าไม่ขยับ เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตา และพูดด้วยเสียงเย็นชา
ร่างกายของหลินหันเยียนสะท้านทันใด แล้วรีบยืนขึ้นมา “ซื่อจื่อเฟย ขออภัยเจ้าค่ะ ข้า…ข้า…”
ท่าทางที่กลัวแต่เพียงเมิ่งเชี่ยนโยวจะต่อว่าและไม่รู้จะพูดอะไรดี ทำให้กระวนกระวายจนขอบตาแดง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองนางอย่างเงียบๆ
หลินหันเยียนลนลานอย่างยิ่ง แล้วโค้งตัวให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว “ซื่อจื่อเฟยโปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ ข้าต้องการจะกลับแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองนางอย่างเงียบๆ จนกระทั่งนางรับความกดดันไม่ไหว ถึงจะเอ่ยปาก “ไปเถอะ ร่างกายของคุณหนูหลินอ่อนแอนัก ต้องรักษาตัวระยะหนึ่ง ต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องมาแล้ว”
ร่างกายโอนเอน แล้วย่อเข่ารับคำ “เจ้าค่ะ” ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากอีกครั้ง ก็หันกายสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว
เห็นเงาร่างของนางรีบร้อน เมิ่งเชี่ยนโยวก็หรี่ตาลง
ด้านนอกมีเสียงของหวงฝู่อวี้ดังขึ้น “เยียนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนพี่สะใภ้ใหญ่ให้มากหน่อยเล่า”
“ข้า…ร่างกายข้าไม่ค่อยสบาย กลัวว่าจะแพร่ให้แก่ซื่อจื่อเฟย”
“ไม่สบายอีกแล้วหรือ อยากให้ข้าเรียกหมอหลวงเจียงมาตรวจดูให้เจ้าสักหน่อยหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ อาจจะเพราะเมื่อคืนโดนลมเย็นเข้าแล้ว กลับไปนอนพักสักหน่อยก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ”
“ก็ได้ ข้าจะพยุงเจ้ากลับไป”
…
เสียงพูดคุยไกลออกไป หวงฝู่อี้เซวียนกลับเข้ามาภายในห้อง ถามด้วยเสียงอ่อนโยน “เหนื่อยไหม”
เริ่มเหนื่อยบ้างแล้วจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หวงฝู่อี้เซวียนจึงประคองนางเดินมาที่ข้างเตียง แล้วอิงที่เตียงครึ่งตัว
อ้าปาก อยากจะพูดอะไรบางอย่าง หวงฝู่อี้เซวียนกลับลูบผมของนาง “อยู่ไฟให้ดีๆ เถิด ส่วนที่เหลือทั้งหมด เจ้าไม่ต้องกังวลแล้ว”
ถ้อยคำที่จะพูดก็กลืนกลับเข้าไป แล้วพยักหน้ายิ้ม
ผ่านไปหนึ่งวัน จนมาถึงใกล้เที่ยง แสงของดวงอาทิตย์ส่องตรงลงมาอย่างเต็มที่ ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่น ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังอยากจะให้คนอุ้มลูกมา เมิ่งซื่อก็เปิดม่านเดินเข้ามา
“ท่านแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกอย่างดีใจ “ลูกล่ะเจ้าค่ะ เหตุใดจึงไม่อุ้มมาด้วย”
พูดถึงเด็ก น้ำเสียงของเมิ่งซื่อก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “พระชายากำลังดูอยู่น่ะ ที่แม่มาเพราะมีเรื่องจะบอกเจ้า”
“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“ตอนที่เจ้าคลอดลูกเสร็จ แล้วสลบไสลไป แม่ตกใจมาก จึงสั่งคนให้ไปส่งข่าวให้พ่อเจ้า สุดท้าย ทั้งปู่ย่า ลุงใหญ่ และพี่สะใภ้สามล้วนมากันหมด หลังจากนั้น ตากับยายของเจ้าที่ไม่รู้ว่าได้ยินจากใคร ก็ให้ลุงใหญ่ของเจ้าเร่งรถม้าตามมา ตอนนี้พวกเขาทุกคนล้วนอยู่ในบ้านที่หนานเฉิง ข้าเห็นเจ้า…”
“พวกท่านตากับท่านยายก็มาแล้วหรือเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างประหลาดใจปนยินดี
“ไม่ใช่แค่พวกเขา ยังมีครอบครัวลุงใหญ่และอารองของเจ้าต่างก็มากันหมดแล้ว” ภายน้ำในเสียงของเมิ่งซื่อมีรอยยิ้ม เมื่อลูกสาวเกิดเรื่อง แล้วคนบ้านแม่ล้วนมาหมด ก็แสดงว่าในใจของพวกเขาให้ความสำคัญต่อลูกสาวตัวเองอย่างมาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในใจของเมิ่งซื่อดีใจมากแค่ไหน
“เช่นนั้นข้าไปแต่งตัวสักประเดี๋ยว แล้วจะกลับไปเยี่ยมพวกเขาด้วยกันกับอี้เซวียน” น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตื่นเต้นไปด้วย เป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้วที่ไม่ได้เจอคนในครอบครัว นางก็คิดถึงอย่างมาก
เมิ่งซื่อรีบห้ามนาง “เจ้ายังอยู่ในช่วงอยู่ไฟ ไฉนจะออกจากบ้านได้เล่า ร่างกายของเจ้าต้องทนไม่ไหวแน่ ข้าจะให้คนไปส่งข่าวบอกให้พวกเขามาหา ถ้าหากไม่ได้ ก็รออีกสองวัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างดีใจ “ท่านแม่ ร่างกายของข้าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ ท่านให้คนส่งข่าวไปเถิด ไม่สิ ให้โจวอันไปส่งข่าวแล้วกันเจ้าค่ะ ท่าทางเขาว่องไวมากกว่า”
เมิ่งซื่อห้ามอีกครั้ง “ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว คนตั้งมากมายขนาดนี้ อย่างไรก็ไม่อาจมากินข้าวที่จวนอ๋องได้หรอก รอให้กินข้าวเสร็จแล้ว ค่อยส่งคนไปส่งข่าวก็ยังไม่สาย”
คนในครอบครัวมาจวนอ๋องทีหนึ่ง ต่างเป็นต้องหวาดกลัวจนตัวสั่นราวกับจะถูกเอาชีวิตอย่างไรอย่างนั้น ถ้าหากมากินข้าวที่จวนอ๋อง ก็คงจะหยิบตะเกียบไม่เป็นแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้แต่เพียงพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะท่านแม่ ว่าตามอย่างที่ท่านว่าเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อเดินยิ้มออกไป โดยแม้แต่พูดคุยถามไถ่อื่นๆ อีก ท่าทางอันรีบร้อนที่อยากจะกลับไปหาเด็กๆ นั่นทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าตัวไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนางเสียแล้ว เด็กน้อยสองคนนั้นต่างหากที่เป็นลูกสาวแท้ๆ ที่รักของนาง
เมื่อกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ไม่ต้องให้เมิ่งซื่อเอ่ยปาก เมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งโจวอันไปที่หนานเฉิงด้วยตัวเองเลย
สามีภรรยาเมิ่งเอ้ออิ๋นกับเมิ่งเสียนล้วนมากันแล้ว หลังจากที่รออยู่ในบ้านอย่างไม่เป็นสุขหลายวัน ในที่สุดก็มีข่าวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นแล้ว
เมิ่งเอ้ออิ๋นดีใจจนร้องไห้ ซุนเชี่ยนกับหวังเยียนก็ตาแดง ส่วนเมิ่งเสียน เมิ่งฉีนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แทบอยากจะตรงไปลากหวงฝู่อี้เซวียนมาตียกใหญ่ หลังจากนั้นอีกหลายวัน เมื่อได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีอะไรโดยตลอด จิตใจถึงสงบลงได้ แล้วตั้งตารอเมิ่งซื่อส่งข่าวให้มาเยี่ยมเมิ่งเชี่ยนโยวที่จวนอ๋อง
ข่าวของโจวอันได้ส่งมาถึงแล้ว หลังจากที่คนในครอบครัวเพิ่งจะกินข้าวเสร็จและสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ก็รีบออกเดินทางอย่างเอิกเกริก คนจำนวนยี่สิบสามสิบคนกับรถม้าคันใหญ่ห้าหกคัน ทำให้ชาวบ้านละแวกนั้นตกใจจนต้องชะโงกศีรษะออกมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับครอบครัวเมิ่งอีกแล้วใช่หรือไม่
คนบนรถม้าไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจพวกเขา โดยเฉพาะพ่อแม่ของจางจู้ พวกเขาตื่นเต้นจนเส้นผมล้วนจะตั้งชูขึ้นแล้ว ตั้งแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวมาเมืองหลวง พวกเขาก็ไม่ได้พบนางหลายปี แม้จะบอกว่า เมื่อครั้งที่เมิ่งเสียวเถี่ยตาย เขาได้กลับไปหลายวัน ทว่า ทั้งสองคนเป็นผู้ใหญ่ จึงย่อมไม่ได้ร่วมแสดงความเสียใจกับรุ่นเล็ก ทำให้ไม่ได้เจอเมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากนั้น นางก็จากไปอย่างฉุกละหุก ประสบกับเหตุลอบทำร้าย ได้รับบาดเจ็บ หายตัวไป แต่งงาน ท้อง คลอดก่อนกำหนด จนถึงคลอดยาก เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ที่ได้รับข่าวมา ทำให้คนชราทั้งสองคนเกือบจะแบกรับไว้ไม่ไหวแล้ว ดังนั้น ครั้นได้ยินข่าวนี้ก็วิ่งตรงกลับไปที่บ้าน บอกพวกเขาด้วยสีหน้าขาวซีดถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวเจอปัญหาคลอดลูกยากและทำให้สลบไสลไม่ฟื้น ทั้งสองคนก็ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ให้จางจู้เร่งรถม้ามาด้วยตัวเอง และถึงเมืองหลวงโดยที่เท้าของม้าไม่ได้หยุดพักเลย พอได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ฟื้น ก็คงไม่ต้องบอกว่าความกระวนกระวายในใจและความไม่เป็นอันสงบนั้นมีมากเพียงไหน
เวลานี้ที่นั่งอยู่บนรถม้า รถม้าใกล้จะเจอคนที่ถวิลหาแล้ว จะไม่ตื่นเต้นได้ที่ไหนกันเล่า
แล้วรถม้าก็มาถึงประตูด้วยความรู้สึกที่ประหม่าและคาดหวัง
ลงจากรถม้าแล้ว เห็นบรรยากาศประตูใหญ่ของจวนอ๋อง ด้านหน้ามีเสือหินที่น่าเกรงขาม จิตใจที่แข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวและเปี่ยมด้วยความปรีดาของทุกคนเมื่อครู่ก็ล้วนกลายเป็นความลนลานอย่างมาก เหล่าเมิ่งซื่อและแม่ของเมิ่งซื่อผวาจนแทบอยากจะกลับขึ้นไปบนรถม้าอีกครั้ง
จวนอ๋องฉีน่ะนะ เป็นสถานที่พักอาศัยของท่านอ๋องฉีผู้เป็นอ๋องทรงศักดิ์ที่สุดแห่งรัฐอู่ และมีอำนาจที่จะคร่าชีวิตของทุกๆ คนได้ เพียงแค่เข้าใกล้เล็กน้อยก็ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกขนหัวลุก ถ้าเข้าไปแล้วล่ะก็… ทั้งสามคน ตัวหนาวสั่นและยื่นแข็งทื่อพร้อมกัน ถ้าหากเข้าไป แล้วเผลอทำให้อ๋องฉีโมโห การที่หัวของพวกเขาหายไปยังเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าพาลไปถึงโยวเอ๋อร์นั่นแล้วถึงจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ
คนชราหลายคนด้านนี้คิดกันต่างๆ นานา ขณะที่กำลังจะเคาะกลอง ฝีเท้าของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งซื่อเดินอย่างเร่งรีบออกมาจากในจวน
เมิ่งซื่อดีใจจนร้องเรียก “ท่านพ่อ ท่านแม่” พลางเดินมาที่ข้างกายคนชราทั้งสี่คน ซ้ายขวาแต่ละด้านประคองที่แขนของแม่และย่าของตัวเอง “โยวเอ๋อร์รู้ว่าพวกท่านจะมาก็ดีใจใหญ่เลยเจ้าค่ะ อยากจะวิ่งออกมา แต่ได้ถูกข้าห้ามเอาไว้แล้ว”
ได้อย่างไรกันเล่า เมื่อคำพูดของเมิ่งซื่อสิ้นลง ใจของเหล่าเมิ่งซื่อก็หล่นหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว “ใช่ๆๆ อย่าได้ให้นางออกมาเลย ถ้าหากโดนลมในช่วงอยู่ไฟก็จะลำบากแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินเข้ามาด้วย แล้วร้องเรียกทุกคน
ทุกคนรับคำ
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาคล้องแขนของเมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่ เข้าไปเถิดขอรับ”
แม้ว่าจะเคยมาครั้งหนึ่งแล้ว เมิ่งจงจวี่ก็ยังคงรู้สึกหวาดหวั่น แต่ก็พยายามทำหน้าหนาเดินไปในจวนอ๋องพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียนที่มาช่วยพยุง ขณะที่เมิ่งต้าจินก็พยุงเขาอยู่อีกข้างหนึ่ง
พี่น้องจางจู้รีบประคองพ่อของตัวเองตามหลังไป
คนหลายสิบคนเดินเข้าไปในจวนอ๋อง
บ่าวรับใช้ภายในจวนมองพวกเขาด้วยความตกตะลึง แล้วก็เข้าใจในทันใดว่าเป็นครอบครัวของซื่อจื่อเฟยที่มา จึงเก็บอาการตกตะลึง แล้วก้มหน้าทำความเคารพต่อทุกคน
ไหนเลยที่ทุกคนจะเคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน ก็ยืดอกขึ้นอย่างลืมตัว ทำทีเดินวางมาดมาถึงยังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว ภายในเรือนสะอาดและเงียบสงบ มีเพียงโจวอันกับหวงฝู่อี้ ครานี้ ทุกคนถึงจะรู้สึกผ่อนคลายลง
หวงฝู่อี้วิ่งมาทักทายเมิ่งจงจวี่และคนอื่นๆ อย่างยิ้มแย้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงฝีเท้าของทุกคน ก็อดใจรอไม่ไหวตั้งนานแล้ว จึงเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว แหวกม่านประตูออกเพื่อจะออกไปต้อนรับ แต่แล้วก็ถูกเสียงของเมิ่งซื่อตะโกนขู่อย่างดังเข้ามา จึงผงะและยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
มีจำนวนคนมากมายเกินไป อีกทั้งยังอยู่ในช่วงอยู่ไฟของเมิ่งเชี่ยวโยว เมิ่งจงจวี่และคนอื่นย่อมไม่เหมาะสมที่จะเข้าไป เหล่าเมิ่งซื่อ แม่ของจางจู้ ภรรยาเมิ่งต้าจิน ภรรยาเมิ่งซานถง อาของจางจู้สองคน ซุนเชี่ยน และหวังเยียนก็เดินเข้าไปในห้อง ส่วนคนที่เหลือนั้น หวงฝู่อี้เซวียนได้พาไปที่ห้องรับแขกแล้ว
“โยวเอ๋อร์ เจ้าถอยไปนะ พวกเรากำลังจะเข้าไปแล้วเดี๋ยวนี้” เมิ่งซื่อเปล่งเสียงดัง
เมิ่งเชี่ยนโยวถอยหลังไปหลายก้าว เมิ่งซื่อเดินเข้ามาที่ข้างประตูและเปิดม่านออก เหล่าเมิ่งซื่อเดินเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวก็รุดเข้ามาหาทันที โอบคอของนาง แล้วพูดเสียงหวานหยดย้อย “ท่านย่า ข้าคิดถึงท่านจะแย่แล้วเจ้าค่ะ”
เหล่าเมิ่งซื่อได้ยินแล้วในใจก็เบิกบาน ตบหลังของนาง “ย่าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน”
แม่ของเมิ่งซื่อเดินเข้ามาในห้องตามมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ผละจากเหล่าเมิ่งซื่อ แล้วโอบคอของนาง พูดด้วยเสียงฉอเลาะออดอ้อน “ท่านยาย ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินเจ้าค่ะ”
เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้น้ำตาของหญิงชราจางซื่อไหลลงมาอย่างอดกลั้นไม่ได้ พูดทั้งน้ำตาที่พร่ามัว “เด็กดี ให้ยายดูหน่อยสิ ผอมลงไปแล้วหรือยัง”
ปล่อยมือออก แล้วเอามือกลับมาหยิกแก้มที่อ้วนตุ๊ต๊ะของตัวเอง “ท่านยายเจ้าคะ ท่านดูสิ ไม่เพียงแต่จะไม่ผอมลง ยังจะอ้วนขึ้นอีกเจ้าค่ะ ข้าถูกอี้เซวียนเลี้ยงจนใกล้จะกลายเป็นหมูแล้วเจ้าค่ะ”
คำพูดที่ซุกซนทำให้ทุกคนที่เดินตามเข้ามาหัวเราะเสียงดัง บรรยากาศที่เศร้าหมองก็หายไปโดยพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกแต่ละคนแล้ว ก็มาต้อนรับซุนเชี่ยนที่ดวงตาแดงก่ำ สองมือของเมิ่งเชี่ยนโยวกางออก แล้วกอดนางไว้ในอ้อมอก “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ”
ซุนเชี่ยนโอบนางกลับ “เจ้าเด็กบ้า ทำข้าเป็นห่วงจะตายอยู่แล้ว”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซุนเชี่ยนเรียกนางเช่นนี้ แต่กลับทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกสนิทสนมขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แล้วพ่นเสียงหัวเราะออกมา “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านแม่อยู่นี่นะเจ้าคะ เจ้ากล้าเรียกลูกสาวของนางแบบนี้ ระวังว่ากลับบ้านไปแม่จะคิดบัญชีด้วยนะ”
แล้วก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง เมิ่งซื่อตบหลังของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างยิ้มแย้ม “เชี่ยนเอ๋อร์ อย่าไปฟังนางนะ แม่รักเจ้ามากกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกตะลึง เบิกตาโพลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ “ท่านแม่ ข้าเป็นลูกแท้ๆ ของท่านนะ”
ทุกคนหัวเราะเสียงดังขึ้นอีกครั้ง เสียงหัวเราะนั้นดังออกไปไกล บ่าวรับใช้ในจวนได้ยินแล้ว ก็เผยรอยยิ้มตามออกมาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อได้ยินว่าครอบครัวเมิ่งเชี่ยนโยวล้วนมาแล้ว พระชายาฉีก็ส่งหลิงหลงให้นำสาวใช้ที่คล่องแคล่วหลายคนมาช่วย
เวลานี้ หลิงหลงพาสาวใช้ยกน้ำชาและขนมที่วิจิตรวางไว้ตรงหน้าทุกคน แล้วถอยออกไปเฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างนอบน้อม
ทุกคนสอบถามสภาพร่างกายของเมิ่งเชี่ยนโยว ครั้นได้รู้ว่านางไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ อีกทั้งยังเห็นนางมีสีหน้าแดงอวบอิ่ม ก็ถอนหายใจ แล้วเริ่มมองซ้ายมองขวา เหล่าเมิ่งซื่อเอ่ยปากถาม “ลูกล่ะ อุ้มออกมาให้พวกเราดูสักหน่อย”
“ร่างกายของโยวเอ๋อร์ไม่ดี เด็กก็เลยอยู่ในเรือนของพระชายาฉีเจ้าค่ะ ท่านแม่รอประเดี๋ยวนะเจ้าคะ ข้าจะไปให้แม่นมอุ้มมาเจ้าค่ะ” เมิ่งซื่อพูด
เหล่าเมิ่งซื่อพยักหน้า “รีบไปเถิด อุ้มมาให้ข้าดูสักหน่อย”
เมิ่งซื่อเดินออกไป
ไม่นานก็พาแม่นมสองคนที่อุ้มเด็กมา
เหล่าเมิ่งซื่อไม่เหมือนกับเมิ่งซื่อ สิ่งที่เสียใจที่สุดในชีวิตก็คือไม่มีลูกสาว จึงไม่มีเด็กหญิงตัวน้อยๆ ออดอ้อนอยู่ข้างกาย ดังนั้น ทันทีที่อุ้มเด็กมา ก็เอื้อมมือออกไปอย่างไม่รอช้า “ให้ข้าอุ้มคนหนึ่ง”
แม่นมสองคนได้รับคำสั่งจากพระชายาฉีแล้ว จึงไม่กล้ารีรอ คนหนึ่งวางเด็กคนหนึ่งไว้ในอ้อมอกของเหล่าเมิ่งซื่อ
เหล่าจางซื่อ ผู้เป็นยายทวดของเด็กทารกทั้งสองเอื้อมมือออกไปรับเด็กอีกคนมา
ทุกคนเข้ามาล้อมรอบ เพื่อแย่งกันดูเด็ก เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถูกทิ้งไว้ด้านหลังอย่างเฉยชา
“รีบมาดูเร็ว เด็กน้อยคนนี้เหมือนกับโยวเอ๋อร์ตอนเด็กไม่ผิดเลย” เสียงของเหล่าเมิ่งซื่อมีความยินดี
“เด็กสองคนนี้หน้าตาดูฉลาดเฉลียวจริงๆ ใครเห็นใครก็รัก” เสียงของนางจางซื่อ
“ดูเร็ว ดูเร็ว ยิ้มให้ข้าด้วย” เสียงของภรรยาเมิ่งต้าจิน
“เด็กสองคนนี้ คนไหนพี่คนไหนน้องล่ะ” เสียงของภรรยาเมิ่งซานถง
“เสียดายที่ดูตัวเล็กกว่าเด็กที่คลอดตามกำหนดไปหน่อย” เสียงภรรยาจางจู้
คำพูดของนางสิ้นลง สายตาก็พุ่งมาที่ร่างนางโดยพร้อมกัน ทำให้ภรรยาจางจู้หนาวสั่น รู้สึกว่าตัวเองได้พูดผิดไปแล้ว จึงยิ้มแหะๆ แล้วรีบพูดแก้สถานการณ์ “แต่ก็ดูฉลาดเฉลียวกว่าเด็กคลอดตามกำหนด พวกเด็กที่คลอดตามกำหนดจะลืมตาเร็วขนาดนี้ที่ไหนกัน แล้วยังยิ้มให้พวกเราอีก”
แววตาของทุกคนก็ละกลับไป
ภรรยาจางจู้ตีตัวเอง นางตกใจจนหัวใจเต้นรัวดัง ตึกตัก ตึกตัก โล่งอกไปที คุณพระคุณเจ้า แววตาของทุกคนเมื่อครู่ราวกับจะกินนางอย่างไรอย่างนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้ายิ้มอยู่ข้างๆ
ดูกันสักพัก แหย่เล่นกันสักพัก เด็กทั้งสองคนก็หาวแล้ว
ทุกคนจึงรีบส่งเด็กให้แก่แม่นม
แม่นมอุ้มและกล่อมให้เด็กนอน
ทุกคนพูดถึงเด็กอย่างออกรสออกชาติกันสองชั่วโมงกว่า ถึงจะกำชับให้เมิ่งเชี่ยวโยวรักษาตัวเองอย่างดีด้วยความดีใจอีกครั้ง แล้วถึงจะกลับหนานเฉิงไป
แล้วผ่านไปห้าหกวัน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เป็นอะไร ทุกคนก็ตั้งใจว่าจะกลับแล้ว เมิ่งซื่อช่วยจัดแจงสิ่งของอยู่ที่บ้าน จึงไม่ได้มาหา
อ๋องฉีที่นั่งถอนหายใจยาวอยู่ในห้องหนังสือโดยตลอด ในที่สุดก็ปล่อยวางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหลานสาวหรือเป็นหลานชาย สุดท้ายแล้วก็เป็นสายเลือดจวนอ๋องของเขาอยู่ดี ตัวเองก็ควรจะไปดูเสียหน่อย