ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 36-2 ซื่อจื่อใจดำอำมหิต
หลังจากที่บรรดาองครักษ์ตกตะลึงกันแล้ว ต่างก็มองหวงฝู่อวี้ด้วยความเห็นใจ คนปกติทั่วไปนั้นกินบะหมี่มันฝรั่งชามเดียวก็อิ่มมากพอแล้ว แต่ตอนนี้นายท่านให้คุณชายรองกินเข้าไปถึงสี่ชาม คิดว่าพอกินเสร็จแล้วคงไม่อยากกินบะหมี่มันฝรั่งไปชั่วชีวิต ส่วนในใจนั้นก็แอบตักเตือนตัวเองไว้ว่าต่อไปห้ามทำให้นายท่านขุ่นเคืองเด็ดขาด วิธีการจัดการคนอันไม่ธรรมดาของเขา พวกเขาไม่ว่าใครก็ไม่อยากได้รับการสั่งสอนเช่นนั้น
ในใจของหวงฝู่อวี้ร่ำไห้ไปเรียบร้อยแล้ว แอบเสียดายว่าเมื่อกี้นี้ทำไมถึงไม่ฉวยโอกาสหลบหนีไปเสีย แต่กลับต้องมาอยู่รับกรรมเช่นนี้
หวงฝู่อวี้ถามขึ้นด้วยความระมัดระวังด้วยความหวังสุดท้ายว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่กินเยอะขนาดนี้ได้ไหม”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ได้”
หวงฝู่อวี้ยินดีปรีดา
เหล่าบรรดาองครักษ์เองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกไปด้วย
ต่อจากนั้นเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนที่ตังขึ้นมาก็ทำให้รอยยิ้มของหวงฝู่อวี้หยุดชะงัก “ข้ายอมให้เจ้าเลือกว่าจะกินบะหมี่มันฝรั่งหรือว่าจะถูกขังให้อดอาหารอยู่ในห้อง”
หวงฝู่อวี้โอดครวญเสียงดัง
พวกองครักษ์ต่างก็พากันถอยออกคนละก้าว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามกลั้นหัวเราะไม่ให้ส่งเสียงออกมา
เมิ่งอี้มองหวงฝู่อี้เซวียนอย่างโง่งม
หวงฝู่อี้เซวียนเขม็งมองหวงฝู่อวี้ ถามขึ้นอย่างใส่ใจว่า “คิดได้หรือยัง เจ้าจะเลือกข้อไหน”
หวงฝู่อวี้กลืนน้ำลายเอื้อก กลั้นใจกัดฟันพูดขึ้นว่า “ข้า ข้ากินบะหมี่มันฝรั่ง”
“ดี” หวงฝู่อี้เซวียนนั่งตัวตรง ยังคงยิ้มกริ่มพร้อมกับกล่าวว่า “พอเจ้ากินเสร็จแล้วข้าจะให้อี้เอ๋ฮร์ไปส่งเจ้ากลับจวน”
นั่นเห็นได้ชัดว่าเขาจะดูเขากินจนหมดด้วยตัวเอง หวงฝู่อวี้ทราบดีว่าหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงตัดใจกินบะหมี่มันฝรั่งคำใหญ่ชามนั้น
เหล่าบรรดาองครักษ์ต่างก็ได้เรียนรู้แล้ว จึงไม่อยู่ในห้องนั้นต่อ ต่างก็ยกชามบะหมี่มันฝรั่งออกไปนั่งยองๆ กินที่นอกเรือนกันคนละชาม
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่สนใจกินบะหมี่มันฝรั่งเช่นกัน นางนั่งอยู่ข้างๆ มองดูหวงฝู่อวี้กินด้วยความสนใจ
หวงฝู่อวี้กินบะหมี่มันฝรั่งไปพลางร่ำไห้ในใจพลาง
กินสามชามในคราวเดียวนั้น หวงฝู่อวี้กินไม่ไหวจริงๆ แล้วเงยหน้าขี้นมาอ้อนวอนว่า “พี่ใหญ่ ข้าจะท้องแตกตายอยู่แล้ว กินไม่ลงจริงๆ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ก็ได้ ข้าจะไปบอกให้คนโยนเจ้าขังไว้ในห้อง”
หวงฝู่อวี้ตื่นตกใจมือไม้สั่น “ไม่ๆๆ ข้ากินหมด กินได้หมดเลย”
พูดจบก็รีบยกชามสุดท้ายเข้ามา ใช้ตะเกียบคีบใส่ปากคำโต
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา จนกระทั่งเขากินบะหมี่มันฝรั่งทั่งสี่ชามจนหมดแล้วถึงได้พยักหน้า สั่งหวงฝู่อี้ว่า “อี้เอ๋อร์ ไปส่งคุณชายรองกลับจวน”
หวงฝู่อี้รับคำสั่ง เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของหวงฝู่อวี้แล้วกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อมว่า “คุณชายรอง เชิญขอรับ”
หวงฝู่อวี้อิ่มจนแม้แต่ขยับยังทำไม่ได้ ไหนเลยจะลุกขึ้นได้ บอกกับหวงฝู่อี้อย่างยากลำบากว่า “เจ้าพยุงข้าขึ้นหน่อยเถอะ”
หวงฝู่อี้กลั้นขำ แล้วเดินเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา
ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังจะออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้องเรียกพวกเขาเอาไว้ “ช้าก่อน!”
ทั้งสองหันหน้ามองนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาที่โต๊ะคิดเงิน จากนั้นหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนตำหรับยายาวเหยียด หลังจากวางพู่กันแล้วจึงหยิบกระดาษขึ้นส่งให้กับหวงฝู่อี้ “พวกเจ้าไปเอายาที่หอโอสถมาต้มให้คุณชายรองกินด้วย มิเช่นนั้นเขาจะท้องอืดท้องเฟ้อจนไม่สบายตัว”
หวงฝู่อี้รับคำ รับกระดาษมาเก็บไว้อย่างระวัง
หวงฝู่อี้เซวียนกลับสั่งเขาว่า “เจ้าไปส่งคุณชายรองกลับจวนแล้วก็เฝ้าเขาไว้ รอให้ข้ากลับไปก่อนค่อยสั่งคนต้มยา หากใครกล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้า ก็ให้ผู้ดูแลบ้านขายมันออกไป”
นี่เขากำลังใจแข็งดัดนิสัยหวงฝู่อวี้อยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก
“ทราบแล้วขอรับซื่อจื่อ” หวงฝู่อี้ตอบรับด้วยความเคารพ จากนั้นประคองหวงฝู่อวี้พาเดินออกไปอย่างช้าๆ
ทางด้านสารถีประจำจวนหลินก็ตกใจจนสั่นไปทั้งตัว มือที่ต้องใช้บังคับรถม้าก็ควบคุมอย่างยากลำบาก ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อนำรถเข้ามาจอดที่หน้าประตูจวนหลินได้
กัวเฟยก็หยุดรถม้า พอสาวใช้ตะเกียกตะกายออกมาจากรถม้าได้ก็ตะโกนบอกคนที่เฝ้าประอย่างร้อนใจว่า “เร็ว รีบไปตามฮูหยิน คุณหนูเป็นลมไปแล้ว”
คนที่เฝ้าประตูเมื่อได้ยินดังนั้นก็ตกใจเสียยกใหญ่ รีบวิ่งเข้าไปรายงานข้างในเรือนอย่างลนลาน
สักพักเสียงวุ่นๆ ของฝีเท้าก็ดังขึ้น ฮูหยินราชเลขาก็ออกมาจากประตูโดยที่มีสาวใช้หลายคนช่วยประคองอยู่ ถามขึ้นอย่างร้อนรนว่า “เยียนเอ๋อร์เล่า เยียนเอ๋อร์อยู่ไหน”
สาวใช้ร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านว่า “ฮู ฮูหยิน คุณหนูอยู่ในรถม้าคันนี้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินราชเลขารีบเดินเข้าไปหาทันที พอเห็นหลินหันเยียนที่นอนนิ่งไม่ขยับอยู่ในรถม้าก็กรีดร้องขึ้นว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
หลินหันเยียนไม่ตอบ
ฮูหยินราชเลขาหันหน้าไปสอบถามสาวใช้ “นี่มันเกินอะไรขึ้นกันแน่ เยียนเอ๋อร์อยู่ดีๆ นางหมดสติได้อย่างไร”
โดยไม่รอให้สาวใช้ตอบ กัวเฟยก็ตอบขึ้นด้วยกิริยานอบน้อมว่า “ฮูหยินขอรับ ซื่อจื่อขอเราบอกว่าถ้าหากครั้งหน้าคุณหนูหลินไปก่อกวนที่ร้านอีก สิ่งที่ส่งมาอาจจะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณก็ได้”
ฮูหยินราชเลขาตัวสั่นสะท้านขึ้นทันที เกิดความหวาดหวั่นขึ้นในใจ อ้าปากค้างต้องการจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ถามออกมา
กัวเฟยเตือนนางขึ้น “ฮูหยินขอรับ รีบเอาตัวคุณหนูหลินลงเถิด พวกเรายังต้องกลับไปรายงานอีก”
ฮูหยินราชเลขารีบชี้นิ้วสั่งงานสาวใช้ทันที “เร็ว รีบพาคุณหนูเข้ามา!”
สาวใช้เหล่านั้นต่างก็ช่วยกันเคลื่อนย้ายหลินหันเยียนออกมาจากรถม้าอย่างสบสนอลหม่าน พาเข้าประตูไป
ฮูหยินราชเลขาเดินตามหลังมาอย่างเป็นกังวลร้อนใจ พลางสั่งคนเฝ้าประตูว่า “รีบไปเชิญหมอมา!”
คนที่เฝ้าประตูรับคำสั่งแล้วก็รีบวิ่งไปหอโอสถทันที
ฮูหยินราชเลขายังไม่ได้ก้าวเข้าประตูไป เสียงอันสั่นเทิ้มจากสารถีก็ดังขึ้นด้านหลังของนาง “ฮู ฮูหยินขอรับ เฉี่ยวเยว่ยังอยู่บนรถม้าคันนี้ขอรับ”
ฮูหยินราชเลขาไม่ได้หยุดเท้า กล่าวขึ้นด้วยความรำคาญว่า “ให้นางกลิ้งลงมาเอง ขนาดแค่ดูแลคุณหนูยังทำไม่ได้ ดูสิว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร”
“ฮู ฮูหยินขอรับ เฉี่ยวเยว่ตายแล้ว!” เสียงของคนเฝ้าประตูดังขึ้นอย่างเห็นได้ชัดว่าเจือแววหวาดผวา
ฮูหยินราชเลขาชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเข้าประตูไป พอได้ยินก็ซวนเซสูญเสียการทรงตัวจนเกือบจะล้มตึงที่หน้าประตู โชคยังดีที่สาวใช้หูตาว่องไวเข้ามาประคองนางไว้ได้ทัน
หันกลับไปถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “เฉี่ยวเยว่ตายแล้ว”
สารถีพยักหน้าตอบรับอย่างลนลาน
ฮูหยินราชเลขาหมุนกายเดินกลับมา เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ รถม้า สาวใช้ขึ้นไปเปิดม่านรถม้าออก พอเห็นสภาพอันน่าอเนจอนาถของเฉี่ยวเยว่ก็กรีดร้องเสียงแหลม
ฮูหยินราชเลขาตกใจจากเสียงกรีดร้องของสาวใช้ จึงดุด่าขึ้นด้วยความโมโห “เจ้าเด็กบ้า ไม่เคยเห็นคนตายหรืออย่างไร มีอะไรถึงต้องตกใจ…” ทว่าพอเห็นเศษเลือดชิ้นเนื้ออันน่าสะอิดสะเอียนของเฉี่ยวเยว่ก็ผงะตกใจจนล้มกองอยู่ที่พื้น
“ฮูหยิน!” สาวใช้จะเข้ามาประคองนางขึ้น แต่ยังไม่ได้ประคองขึ้นมาก็ล้มกองไปด้วยกันกับนาง จากนั้นก็รีบลุกขึ้น คิดจะพยุงฮูหยินราชเลขาขึ้นมา แต่สองมือสองข้าของสาวใช้ทั้งคู่ก็อ่อนไร้เรี่ยวแรง พอจะลุกขึ้นได้ก็ล้มกลับไปกองที่พื้นเช่นเดิม
สาวใช้อยากจะร้องไห้ ทว่าฮูหยินราชเลขากลับจ้องร่างอันไร้วิญญาณของเฉี่ยวเยว่ไม่ยอมกะพริบตา ถามสารถีอย่างยากลำบากว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
กัวเฟยช่วยตอบด้วยหวามหวังดีว่า “สาวใช้จวนของท่านมีความรู้สึกอันเป็นการไม่สมควรต่อซื่อจื่อ ซื่อจื่อโกรธยิ่งนัก จึงสั่งให้คนลงโทษนางจนตายขอรับ”
เดิมที่เฉี่ยวเยว่เป็นคนที่ฮูหยินราชเลขาเตรียมมอบให้หวงฝู่อี้เซวียน คิดไว้ว่าหลังจากที่หลินหันเยียนแต่งงานแล้วหากนางไม่สามารถมัดใจหวงฝู่อี้เซวียนไว้ได้ ก็จะให้เฉี่ยวเยว่ขึ้นเป็นอนุภรรยา เพื่อช่วยเหลือนาง ไม่คิดว่าพอหวงฝู่อี้เซวียนทราบเข้าจะใช้ให้คนลงโทษเฉี่ยวจนตายเช่นนี้ ฮูหยินราชเลขาคิดแล้วก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นในใจ
กัวเฟยไม่ได้สนใจพวกนางอีก เขาขึ้นรถม้ากลับไปพร้อมกับองครักษ์อีกสองนาย
สาวใช้ต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงประคองให้ฮูหยินราชเลขาลุกขึ้นมาได้
ทั้งสองลุกขึ้นยืน ฮูหยินราชเลขาบังคับร่างกายของตนให้มั่นคง สั่งสาวใช้ว่า “เจ้าไปตามทหารประจำจวนเข้ามา ให้เอาศพของเฉี่ยวเยว่เข้าไปข้างใน”
สาวใช้รับคำแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในเรือน ร้องเรียกทหารประจำจวนสองนายเข้ามา
แม้ว่าทหารประจำจวนจะรู้สึกหวาดผวาอยู่บ้าง ทว่านิ่งสงบมากกว่าฮูหยินราชเลขากับสาวใช้กว่ามาก ยกศพของเฉี่ยวเยว่ลงมาจากรถม้า แล้วก็พาเข้าไปข้าในเรือนตามคำสั่งของฮูหยินราชเลขา
ตลอดทางผู้ที่เห็นศพของเฉี่ยวเยว่ทั้งสาวใช้ หญิงชรา ตลอดจนกุลีต่างก็ตกใจไม่น้อย ต่างก็คาดเดากันไปต่างๆ นานาว่านางไปทำความผิดอะไรกันแน่ ถึงได้ถูกทุบตีจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ได้
ท้ายที่สุดฮูหยินราชเลขาที่ผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาไม่น้อย สักพักก็สงบใจลงได้ ตีหน้าขรึม เม้มปากแล้วเดินตามอยู่ด้านหลัง จนกระทั่งทหารประจำจวนวางศพของเฉี่ยวเยว่ไว้ที่พื้นที่ว่างของจวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงสั่งทหารประจำจวนด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้ารีบไปบอกข่าวนายท่านกับคุณชายใหญ่ บอกวไปว่าที่บ้านเกิดเรื่องใหญ่ ให้พวกเขารีบกลับให้เร็วที่สุด”
—————————-