ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 365 ช่วยชีวิตคน
คนที่จะพอมีรถม้าใช้ได้ก็มีแต่เหล่าขุนนางและพ่อค้าเท่านั้น หวงฝู่อวี้รับช่วงต่อกิจการของจวน พอจะรู้จักเหล่าพ่อค้าในเมืองหลวงอยู่บ้าง ไม่มีพ่อค้าที่แซ่เจียง ส่วนเหล่าขุนนางก็ไม่มีคนแซ่เจียงด้วย คนเดียวที่มีแซ่เจียง ก็คือหมอเจียงจากสำนักหมอหลวงเท่านั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวงฝู่อวี้ดันหลินหันเยียนออก สั่งว่า “เจ้ารออยู่บนรถม้านี่” จากนั้นก็รีบออกไปทันที พุ่งตรงไปยังม้าที่พยศอยู่
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะทำอะไร หลินหันเยียนจึงได้ตะโกนร้องว่า “พี่อวี้!”
คนรถก็รีบหยุดรถรีบตะโกนร้องว่า “คุณชายรอง!”
เฮ่ออีตกใจ จากนั้นก็รีบติดตามไปด้านหลังของหวงฝู่อวี้
เมื่อเห็นว่าม้าหลุดการควบคุม คนบนถนนต่างก็หาที่หลบ แต่ว่ามีเจ้าโง่นั่น เห็นอยู่ว่าม้ากำลังวิ่งเข้ามาหาตน แต่กลับลืมที่จะหลบ ดูท่าเกือบจะตายอยู่ใต้กีบเท้าม้าเสียแล้ว
หวงฝู่อวี้และเฮ่ออีต่อยไปที่ม้าพร้อมกัน รถม้าเอียงข้าเอนล้มไปด้านหนึ่ง พ้นจากชาวบ้านบนถนน แต่ในรถกลับมีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังออกมา เงาร่างหนึ่งกระเด็นออกมาจากรถม้า เกือบจะหล่นลงพื้นอยู่แล้ว หากไม่ตายก็คงพิการ
หวงฝู่อวี้ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว กระโดดรับคนนั้นเอาไว้กลางอากาศ จากนั้นก็ค่อยๆ หล่นลงพื้น
อาจเป็นเพราะตกใจ หรือเป็นเพราะคิดว่าตนเองได้เข้าไปเฉียดความตายมาแล้ว หรือเพราะการเอาตัวรอดเป็นสัญชาตญาณหลักของมนุษย์ หญิงสาวโอบกอดคอของหวงฝู่อวี้ไว้แน่น แน่นิ่งอยู่ในอ้อมกอดเขาใบหน้าซีดเผือด
ผู้คนตรงนั้นโล่งใจไปตามๆ กัน ชี้ไปทางม้าและวิพากษ์วิจารณ์
หญิงสาวได้สติกลับมา เมื่อเห็นว่าตนอยู่ในอ้อมอกของชายแปลกหน้า มือทั้งสองของตนยังโอบคอเขาอยู่ ใบหน้าซีดเผือดแดงก่ำขึ้นทันที รีบปล่อยมือลง ตะเกียกตะกายออกจากอ้อมกอดเขา
อาจเป็นเพราะเพิ่งเจอเรื่องน่าตกใจมา ขาทั้งสองอ่อนแรง พอผละห่างจากหวงฝู่อวี้ ก็ล้มลงไปบนพื้นทันที
หวงฝู่อวี้รีบเข้าไปพยุงนางเอาไว้ ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณหนูเจียง เจ้ามิเป็นไรใช่หรือไม่”
เป็นครั้งที่สองที่ถูกชายแปลกหน้าต้องตัว ลำคอของหญิงสาวก็แดงไปหมด พยายามสะกดอารมณ์ ยืนให้มั่นคง
หวงฝู่อวี้ปล่อยมือ
หญิงสาวกล่าวขอบคุณเขาทั้งปากที่สั่น “ขอบ ขอบคุณ คุณ คุณชาย ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
หวงฝู่อวี้โบกมือ “เรื่องง่ายๆ เท่านั้น คุณหนูเจียงอย่าใส่ใจเลย”
หญิงสาวตกใจ “คุณชายทราบได้อย่างไรว่าข้าแซ่เจียง”
หวงฝู่อวี้ชี้นิ้วไปป้ายบนยังรถม้าที่นอนตะแคงอยู่บนถนน
หญิงสาวนึกออกแล้ว หน้าแดงขึ้นอีกครั้ง
สาวใช้สองคนรีบวิ่งมาแต่ไกล หนึ่งในสาวใช้วิ่งเร็ว เมื่อเห็นรถม้าคว่ำอยู่ สีหน้าก็ซีดเผือดขึ้นทันที มองซ้ายมองขวา เห็นหญิงสาว จึงได้รีบพุ่งเข้ามาหา ตรวจดูร่างกายนาง พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “คุณหนู ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ”
“หลิ่วเอ๋อร์ ข้าไม่เป็นไร คุณชายท่านนี้ช่วยข้าเอาไว้” หญิงสาวอธิบายเสียงหวาน
สาวใช้มองไปทางหวงฝู่อวี้ ก้มลงคำนับขอบคุณ “ขอบพระคุณคุณชายที่ช่วยเหลือคุณหนูของพวกเราเอาไว้ ขอบพระคุณคุณชายที่ช่วยคุณหนูของพวกเราเอาไว้เจ้าค่ะ”
กลุ่มคนที่ตามมาด้านหลังเมื่อเห็นเหตุการณ์ก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้กล่าวขอบคุณว่า “ขอบคุณคุณชาย”
หลิ่วเอ๋อร์ทำความเคารพอีกครั้ง “มิทราบว่าคุณชายชื่อแซ่อะไรเจ้าคะ วันหลังนายท่านของพวกเราจะต้องไปขอบคุณท่านถึงที่จวนเป็นแน่”
หวงฝู่อวี้ยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องหรอก คุณหนูเจียงปลอดภัยก็ดีแล้ว ข้ายังมีธุระอีก ขอตัวไปก่อน”
พูดจบ ไม่รอให้สาวใช้พูดอะไร ก็เดินกลับไปยังรถม้าของตน
หลินหันเยียนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ไกลๆ กัดปากตัวเองแน่น
มองดูรถม้าของหวงฝู่อวี้แล่นออกไปไกล หลิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้ว พูดเองเออเองว่า “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าคุณชายผู้นี้คุ้นหน้าเหลือเกินนะ ราวกับว่าเคยเจอกันที่ใดมาก่อน”
รถม้าของหวงฝู่อวี้ไม่มีป้ายชื่อ แต่รถม้าดูหรูหรากว่าของตนมาก ก็รู้ได้ว่าเขาต้องไม่ใช่คุณชายทั่วๆ ไปเป็นแน่ จึงได้เอ็ดหลิ่วเอ๋อร์ไปเบาๆ ว่า “อย่าพูดส่งเดชไป ดูท่าทางสถานะของคุณชายผู้นั้นจะสูงกว่าพวกเรา คนอย่างพวกเราจะไปพบหน้าเขาได้ง่ายๆ ได้อย่างไรกัน”
หลิ่วเอ๋อร์ฟังอย่างว่าง่าย พยุงหญิงสาวขึ้นรถม้าไป
ขณะที่รถกำลังล้มลง คนรถกระโดดออกมาจากรถได้ทันเวลา จึงไม่ได้รับบาดเจ็บ บัดนี้กำลังมองรถม้าที่คว่ำอยู่อย่างอารมณ์เสีย หญิงสาวเดินเข้ามา ตกใจจนหน้าซีด รีบพูดว่า “บ่าวควบม้าไม่ดี ทำให้คุณหนูตกใจ คุณหนูโปรดอภัยด้วยขอรับ”
“ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดม้าจึงได้พยศเช่นนี้ได้” หญิงสาวถาม
คนรถส่ายหน้า “บ่าวก็ไม่ทราบขอรับ”
“รถม้ายังใช้ได้อีกอยู่หรือ”
คนรถมองดูม้าที่นอนแน่นิ่ง หายใจอยู่บนพื้น และส่ายหน้าเป็นครั้งที่สอง “เมื่อครู่คุณชายผู้นั้นลงมือหนักไปเสียหน่อยอาจะเพราะตกใจ ม้าตัวนี้น่ากลัวว่าจะใช้ไม่ได้เสียแล้วขอรับ”
หลิ่วเอ๋อร์ทั้งโกรธทั้งร้อนใจ กล่าวโทษคนรถ “อย่างนั้นจะทำอย่างไร จะให้คุณหนูเดินกลับไปไม่ได้นะ เจ้าหนาเจ้า แค่รถม้ายังควบให้ดีไม่ได้ ไร้ประโยชน์สิ้นดี”
คนรถไม่กล้าพูด ก้มหน้าลง
“เอาล่ะ หลิ่วเอ๋อร์ เรื่องนี้เขาก็ไม่ได้ตั้งใจ เจ้าก็อย่าพูดอะไรอีกเลย เอาเงินให้เขาสองตำลึง ให้เขาไปเช่ารถม้ามาคันหนึ่ง พวกเราไปรอที่ร้านชาด้านหน้าเถิด” หญิงสาวตัดบทนาง
หลิ่วเอ๋อร์หยิบเงินออกมาจากแขนเสื้อด้วยอารมณ์โกรธ วางบนมือคนรถ พูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีว่า “เร็วหน่อย อย่าให้คุณหนูต้องรอนาน”
คนรถตอบรับ รับเงินมา จากนั้นก็รีบไปทันที
หลิ่วเอ๋อร์สั่งบ่าวไพร่คนหนึ่งว่า “เจ้ารอรถม้าอยู่ที่นี่ รอคนจากจวนมาเอารถม้ากลับไป”
บ่าวไพร่รับปาก ยืนอยู่ข้างรถม้าอย่างว่าง่าย
หลิ่วเอ๋อร์มองคุณหนูเดินไปทางร้านน้ำชา เดินไปไม่กี่ก้าว ในหัวก็มีภาพหนึ่งผุดขึ้นมา จึงพูดว่า “คุณหนูข้ารู้แล้วว่าคุณชายผู้นั้นคือใคร คุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉีเจ้าค่ะ”
หญิงสาวชะงัก สองตาเบิกโต ถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “คุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี หวงฝู่อวี้? ”
หลิ่วเอ๋อร์พยักหน้า “ไม่ผิดแน่ เป็นเขาแน่ๆ ปีก่อนฮูหยินพาท่านไปเยี่ยมที่จวนอ๋อง ข้าพบเขาโดยบังเอิญ ตอนนั้นข้ายังสังเกตหน้าตาเขาอย่างละเอียด ไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ”
สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าลง พูดกับหลิ่วเอ๋อร์เสียงเบาว่า “เรื่องนี้กลับจวนไปบอกท่านปู่ก็พอ ส่วนท่านพ่อนั้น อย่าพูดไปเด็ดขาด”
ปีที่แล้วฮูหยินพานางไปเยี่ยมที่จวนอ๋องฉี นางก็เข้าใจความคิดของท่านแม่แล้ว
แต่บัดนี้ไม่เหมือนเดิม หวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนเป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้ว และคงจะแต่งงานกันอีกในไม่ช้า ตอนนี้จะให้ท่านแม่รู้เรื่องที่หวงฝู่อวี้ช่วยเหลือตนจนเกิดมีความคิดที่ไม่ควรมีขึ้นมาไม่ได้
หลิ่วเอ๋อร์เข้าใจดี จึงตอบรับ “คุณหนูวางใจเถิดเจ้าค่ะ บ่าวกลับไปแล้วจะไม่ปริปากพูดแม้แต่น้อย”
รถม้ามาถึงจวนหลินแล้ว ประตูจวนหลินเปิดกว้าง นายประตูยกตั่งตัวเล็กมานั่งอาบแดดจนผล็อยหลับไป เมื่อได้ยินเสียงกีบม้า จึงได้เปิดตาขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นรถม้าของหวงฝู่อวี้นั้น ก็เบิกตาโต รีบลุกขึ้นทันที
จากนั้นหลินหันเยียนก็เดินลงมาจากหลังรถม้า เห็นนายประตูมองมาอย่างดีใจ รีบเดินเข้ามาหา “คุณหนู ท่านกลับมาแล้วหรือ”
“ท่านพ่อ ท่านแม่อยู่ในจวนหรือไม่” หลินหันเยียนถาม
แววตาของนายประตูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอบด้วยความเคารพว่า “นายท่านและฮูหยินอยู่ในจวนทั้งหมดขอรับ มีเพียงคุณชายที่ออกไปทำงาน”
“พี่อวี้ ไปกันเถิดเจ้าค่ะ ไปทักทายท่านพ่อและท่านแม่กับข้า” น้ำเสียงของหลินหันเยียนเต็มไปด้วยความยินดี
หวงฝู่อวี้พยักหน้า เดินเข้าไปด้านใน
หงเอ๋อร์พยุงหลินหันเยียนเดินตามหลัง
นายประตูขมวดคิ้ว ดูท่าทางคุณหนูจะผอมลงกว่าตอนที่จากบ้านไปเสียอีก ลมพัดแรงคงจะปลิวไปตามลม หรือว่าตอนอยู่ในจวนอ๋องถูกรังแกหรือ จากนั้นก็คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ตนต้องมาใส่ใจ หน้าที่ของตนก็คือเฝ้าประตู และก็…
นายประตูตกใจจนเหงื่อตก คุณชายเคยพูดว่า หากในจวนเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะต้องรายงานเขาทันที หากเกิดอะไรขึ้นมาจะตัดหัวเขาให้ดู
จึงได้รีบวิ่งเข้าไปในจวน ไม่ได้การแล้ว เขาจะต้องรีบไปรายงานพ่อบ้าน ให้พ่อบ้านส่งคนไปรายงานคุณชายให้กลับมา
เมื่อพ่อบ้านจวนหลินได้รับรายงานแล้ว สีหน้าซีดขาว ถีบนายประตูด้วยความโกรธ “เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่รีบมารายงาน แล้วคุณหนูเล่า”
นายประตูถูกถีบจนเจ็บ แต่ไม่กล้าโอดครวญ “คุณหนูน่าจะไปหาฮูหยินที่เรือนแล้วขอรับ”
“หากวันนี้เกิดเรื่องขึ้น ข้าจะถลกหนังเจ้าออกมา” พ่อบ้านตะคอกใส่เขาด้วยความโกรธ จากนั้นก็ลกแขนเสื้อและเดินไปยังเรือนฮูหยินด้วยความร้อนใจ
นายท่านถูกกักบริเวณ ไม่เพียงเขาและคุณชายและฮูหยินของทั้งสองเท่านั้นที่รู้ นอกนั้นจะบอกแค่ว่านายท่านป่วยหนัก แล้วคุณหนูกลับมาไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้ หากฮูหยินบอกเรื่องนายท่านล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
เมื่อร้อนใจ จึงเร่งฝีเท้าขึ้น วิ่งไปครู่หนึ่งจึงคิดได้ว่า เรื่องนี้ควรไปรายงานฮูหยินของคุณชายใหญ่ จึงได้หยุดฝีเท้า เรียกบ่าวไพร่แถวนั้นมาคนหนึ่ง “เจ้าไปรายงานฮูหยินของคุณชายใหญ่ บอกว่าคุณหนูกลับมาแล้ว ไปเรือนฮูหยินแล้ว”
เมื่อเห็นเขาตื่นตระหนก คิดว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว จึงพยักหน้า หันหลัง วิ่งตรงไปยังเรือนของหลินจ้ง
เมื่อภรรยาของหลินจ้งได้รับรายงาน สีหน้าซีดเผือด รีบเดินออกจากห้องด้วยความร้อนใจ พลางสั่งสาวใช้ว่า “เร็ว ส่งคนไปบอกคุณชายว่าให้เขารีบกลับมา”
สาวใช้รีบรับปาก หันหลังเดินไปอีกทาง
พรรยาของหลินจ้งสาวเท้าเร็วขึ้น จากนั้นก็ยกชายกระโปรงขึ้นมา เริ่มออกวิ่ง
ขณะที่กำลังจะเข้าไปในเรือนของฮูหยิน แต่พ่อบ้านกลับวิ่งตามมาด้วยความเหนื่อยหอบ ขวางหลินหันเยียนไว้ ทำความเคารพทั้งสองพร้อมหายใจหอบ “คุณชายรอง คุณหนู พวกท่านมาแล้วหรือ”
“พ่อบ้าน มีเรื่องอะไรหรือท่านจึงตื่นตระหนกเพียงนี้” หลินหันเยียนรู้สึกแปลกใจ จึงถามกลับ
พ่อบ้านชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มและอธิบายว่า “คุณหนู ข้าได้ยินว่าท่านกลับมาแล้ว จึงดีใจนัก เลยรีบวิ่งมาดูขอรับ”
พ่อบ้านเห็นนางมาตั้งแต่เล็ก ไม่เจอกันหลายเดือน จะคิดถึงนางก็ไม่แปลก หลินหันเยียนไม่ได้คิดมาก จึงยิ้มและพูดว่า “ครานี้ข้ากลับมา เพื่อจะมาตกลงกับท่านพ่อท่านแม่ ว่าจากนี้ข้าจะมาอาศัยอยู่ในจวนสักพัก อีกหน่อยพ่อบ้านคงจะได้เจอข้าทุกวันแล้ว”
พ่อบ้านชะงักไปอีกรอบ มองหวงฝู่อวี้ จากนั้นก็มองหลินหันเยียน เผยรอยยิ้มที่ดูน่าเกลียดกว่าการร้องไห้เสียอีก พูดไม่ตรงกับใจว่า “อย่างนั้นก็ดีขอรับ อย่างนั้นก็ดี”
“เจ้าไปเตรียมตัวก่อนเถิด วันนี้พี่อวี้จะอยู่กินข้าวเย็นด้วย”
พ่อบ้านรับปาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี มองทั้งสองคนเดินไปด้านใน ขณะที่กำลังลนลานเสียจนเหงื่อผุดออกมาบนหน้าผาก ภรรยาของหลินจ้งก็ได้ตะโกนเรียกมาจากด้านหลัง “น้องเล็ก ช้าก่อน”
หลินหันเยียนหันกลับไป เห็นว่าพี่สะใภ้ของตนกำลังวิ่งตามมาด้วยความเหนื่อยหอบ จึงขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจ
เมื่อเห็นหลินหันเยียนมองมาทางตน นางจึงได้ปล่อยชายกระโปรงลง ค่อยเดินช้าลง เดินมาตรงหน้าของทั้งสอง ถอนสายบัวเคารพหวงฝู่อวี้ “คารวะคุณชายรอง”
หวงฝู่อวี้พยุงนาง “คนกันเองแท้ๆ พี่สะใภ้อย่าเกรงใจเลย”
ฮูหยินลุกขึ้น ยิ้มให้ทั้งสองและพูดว่า “สองสามวันนี้ท่านพ่อและท่านแม่เป็นไข้หวัด ไม่สะดวกรับแขกจริงๆ น้องเล็กและคุณชายไปห้องรับแขกกับข้าเถิด”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ป่วยหรือ” หลินหันเยียนตกใจ
“เพียงแค่ไข้หวัดธรรมดาเท่านั้น กินยาก็ดีขึ้นมากแล้ว”
“อย่างนั้นข้าต้องรีบเข้าไปดูพวกเขา” หลินหันเยียนพูดพลางหันหลังเดินเข้าไปด้านใน
ภรรยาของหลินจ้งรั้งนางไว้ “น้องเล็ก ท่านพ่อและท่านแม่เพิ่งจะดื่มยาเข้าไป ตอนนี้พวกเจ้าไม่ควรเข้าไปรบกวนพวกท่าน เจ้าและคุณชายรองตามข้าไปห้องรับรองแขกเถิด รอพวกท่านตื่นแล้วค่อยพบกันก็ไม่สาย”
“นี่…” หลินหันเยียนมองหวงฝู่อวี้
“ในเมื่อท่านพ่อตา แม่ยายเพิ่งพักผ่อน อย่างนั้นพวกเรารอหน่อยดีกว่า เรื่องของเราก็ไม่ต้องรีบร้อนอะไร” หวงฝู่อวี้กล่าว
ฮูหยินโล่งใจ ผายมือให้ทั้งสอง “คุณชายรอง น้องเล็ก เชิญทางนี้”
หลินหันเยียนรู้สึกแปลกๆ หันไปมองเรือนของฮูหยินหลิน จากนั้นก็เดินตามพี่สะใภ้ของตนไปอย่างไม่เต็มใจ
สั่งให้คนยกชามาให้ นางยิ้มและพูดว่า “วันนี้คุณชายรองและน้องเล็กมา มีธุระอะไรหรือ”
สีหน้าของหลินหันเยียนเขินอายเล็กน้อย “พี่สะใภ้ วันนี้ข้าและพี่อวี้กลับจวนมาด้วยกัน ก็เพื่อจะมาคุยเรื่องออกเรือนเจ้าค่ะ”
Comments for chapter "ตอนที่ 365 ช่วยชีวิตคน"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
Saipannarak
แหะๆได้กับคุณหนูเจียงซะละมั้ง