ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 372 ผลกระทบอันร้ายแรง
ในห้องเงียบสงัด
หลิงหลงกับหงเอ๋อร์ทั้งสองคนไม่กล้าพูดอะไรอีก ยืนอยู่ในเรือนเงียบๆ รอเสียงตอบกลับ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในเรือนถึงจะมีเสียงเบื่อหน่ายของหวงฝู่อวี้ดังออกมาว่า “รู้แล้ว เจ้าไปบอกเสด็จแม่ด้วย อีกประเดี๋ยวข้าจะกลับเรือนของตนเอง”
หลิงหลงตอบรับ แล้วหันหลังเดินออกไปจากเรือน
ส่วนหงเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วก็ตามออกมา
แม้ว่าหวงฝู่อวี้จะตอบรับแล้ว แต่ก็ยังมีความไม่อยากไปอยู่ดี เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของทั้งสองคนห่างออกไปแล้ว ก็หลับตา ตอนแรกก็อยากจะกลับไปทั้งๆ ที่ยังงัวเงียอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด สักพักหนึ่งก็หลับไปอีก
หงเอ๋อร์กลับไปบอกให้หลินหันเยียนฟัง หลินหันเยียนก็ดีใจ จัดระเบียบตัวเองให้เรียบร้อย นั่งลงรออยู่ที่เก้าอี้ คิดไว้ว่า เมื่อหวงฝู่อวี้กลับมา ตนจะไม่เอาแต่ใจอีก แล้วก็จะไม่โวยวายไร้สาระอีกแล้ว จะต้องพูดกับเขาดีๆ ให้เขาให้อภัยนางในสิ่งที่นางทำลงไปเมื่อวานให้ได้
แต่รอแล้วรอเล่า รอไปครึ่งชั่วยาม หวงฝู่อวี้ก็ยังไม่กลับมา หลินหันเยียนก็รีบร้อน เร่งให้หงเอ๋อร์ไปเรียกกลับมาอีกรอบ
เมื่อครู่หงเอ๋อร์ได้ยินน้ำเสียงของหวงฝู่อวี้ที่เต็มไปด้วยความโกรธ แล้วใครจะยังกล้าไปอีก ถ้าหากว่าไปยั่วโมโหคุณชายรองอีกล่ะก็ โดนไล่ออกจากเรือนไป นางก็อนาถน่าดู ทำได้เพียงอดทนปลอบใจหลินหันเยียนไปว่า “คุณหนูเจ้าขา พระชายาสั่งให้คุณชายรองห้ามออกนอกเรือนเป็นเวลาหนึ่งวัน ให้อยู่กับท่านทั้งวัน ท่านอย่ารีบร้อนไปเลย รอด้วยใจเย็นๆ เสียจะดีกว่า ไม่แน่ว่าคุณชายรองอาจจะไปคารวะท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีอยู่ก็ได้ อีกประเดี๋ยวเดียวก็คงจะมา”
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม หวงฝู่อวี้ยังไม่กลับมา หลินหันเยียนก็อดทนไม่ไหวในที่สุด ยืนขึ้น แล้วพูดว่า “เหตุใดพี่อวี้ถึงยังไม่กลับมา ข้าจะไปหาเขา”
หงเอ๋อร์ห้ามนางเอาไว้
หลินหันเยียนเดินออกไป ยังไม่ทันออกจากประตูเรือน หวงฝู่อวี้ก็เดินเข้ามา
“พี่อวี้!” หลินหันเยียนวิ่งเข้าไปด้วยความดีใจ
แววตาของหวงฝู่อวี้เปล่งประกาย โอบกอดนางเอาไว้ แล้วพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “กินข้าวเช้าแล้วหรือยัง”
หลินหันเยียนส่ายหน้า มองเขาด้วยท่าทางดีใจกล่าวว่า “ยังเลยเจ้าค่ะ รอให้พี่อวี้กลับมากินด้วยกัน”
ไม่เห็นหลินหันเยียนเป็นสาวน้อยน่ารักเช่นนี้มานานแล้ว หวงฝู่อวี้ถึงกับชะงักไป
หลินหันเยียนโอบคอของเขา
หวงฝู่อวี้ถึงได้สติ สั่งหงเอ๋อร์ “จัดสำรับ”
หงเอ๋อร์ตอบรับ แล้วไปที่ครัว
ไม่นานสำรับก็จัดเสร็จ
หวงฝู่อวี้คีบกับข้าวใส่ลงในชามของหลินหันเยียน
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่อวี้” หลินหันเยียนขอบคุณด้วยน้ำเสียงดีใจ ราวกับว่าเมื่อวานที่ทะเลาะกันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้พูดถึง ก้มหน้าก้มตากินข้าว
ในขณะที่เขาไม่ได้สนใจ หลินหันเยียนลองหยั่งเชิงดู เพราะเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีอันใด เลยเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ กลืนข้าวลงคอ แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า “พี่อวี้เจ้าคะ เมื่อวานข้า… …”
หวงฝู่อวี้พูดแทรกนาง แล้วคีบสำรับให้นางอีก “เรื่องเมื่อวานก็ปล่อยมันผ่านไปเถิด พวกเราไม่ต้องพูดถึงมันอีกแล้ว กินข้าวกันเถอะ ดูเจ้าสิ ผอมลงไปเยอะเลย กินเยอะๆ สิ”
คำพูดเอาใจใส่เช่นนี้ แต่หลินหันเยียนกลับรู้สึกถึงความไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ในใจจึงตระหนัก สำรับที่หอมหวนก็ไร้ซึ่งกลิ่นหอมอีกต่อไป
ข้าวมื้อนี้กินไปอย่างหน่วงๆ จนเสร็จ แล้วสั่งให้หงเอ๋อร์ให้นำคนมาเก็บให้เรียบร้อย ทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้อง เงียบเชียบไร้ซึ่งเสียงสนทนา
หวงฝู่อวี้ไม่อยากพูด หลินหันเยียนก็กัดปากไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไร
ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่ เงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง หวงฝู่อวี้ก็ออกคำสั่งกับด้านนอกว่า “เฮ่ออี ไปเอาบัญชีมาให้ข้า วันนี้ข้าไม่ออกนอกเรือน จะได้คิดบัญชีในเรือนได้”
เฮ่ออีตอบรับ ไม่นานก็ยกเอาบัญชีเล่มหนาๆ เข้ามา วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของหวงฝู่อวี้ โค้งคำนับแล้วออกไป
หวงฝู่อวี้หยิบเล่มที่อยู่บนสุด แล้วตั้งใจดู
หลินหันเยียนกัดปาดตนเอง แล้วลองพูดหยั่งเชิงดูว่า “พี่อวี้เจ้าคะ พี่สอนข้าดูบัญชีได้หรือไม่ ไว้วันหน้าข้าจะได้ช่วยท่าน”
มือของหวงฝู่อวี้ที่ถือบัญชีอยู่ก็กำแน่นขึ้น นิ้วมือบีบไปที่มุมของเล่มบัญชี พยายามข่มความโกรธที่อยู่ในใจเอาไว้ เงยหน้าขึ้น แล้วฝืนยิ้มออกมาว่า “ไม่ต้องหรอก คิดบัญชีมันต้องใช้พลังสมองเยอะ ตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรทำก็คือดูแลรักษาสุขภาพของตนให้ดี รอคอยวันที่เราแต่งงานกัน”
หวงฝู่อวี้คนก่อนไม่เคยปฏิเสธสิ่งที่ตนขอเลย หลินหันเยียนกัดปากตนเองจนเลือดแทบออก อยากที่จะเอาสมุดบัญชีที่อยู่ในมือของเขาเอามาโยนทิ้ง แล้วถามเขาว่าเบื่อนางแล้วอย่างนั้นหรือ แต่ก็ไม่กล้า นางกลัวว่าถ้าหวงฝู่อวี้ยอมรับล่ะก็ นางไม่รู้ว่าตนเองจะทำเรื่องบ้าบออะไรอีกหรือเปล่า เพื่อเขาแล้ว นางละทิ้งความสำรวม ละทิ้งคุณค่าของตัวเอง ละทิ้งหน้าของตนเอง แล้วทำเรื่องน่าอับอายขายขี้หน้าเช่นนั้นออกมาได้อย่างไม่ละอาย ตอนนี้ยังไม่มีงานแต่ง หวงฝู่อวี้ก็เบื่อนางเสียแล้ว แล้วนาง…
ไม่กล้าที่จะคิดต่อลงไปอีก แล้วก็ไม่กล้ารบกวนเขาอีก หลินหันเยียนถอยออกมา อยากไปนั่งสงบสติที่เก้าอี้ คิดว่าต่อไปนี้ตนเองจะทำเช่นไร เมื่อหันหลัง ท้องก็เกิดอาการปวดขึ้นมาโดยทันที ฝืนเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เดินยังไม่ทันถึงที่เก้าอี้ ก็ปวดจนทนไม่ไหว บนหน้าผากมีเหงื่อไหลออกมาเป็นจำนวนมาก ทนไม่ไหวแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “พี่อวี้เจ้าขา… ข้า… ” เจ็บจนพูดออกมาไม่ไหว
หวงฝู่อวี้ได้ยินก็รู้ถึงความผิดปกติ เงยหน้าขึ้น เห็นท่าทางของนางก็ตกใจเป็นอย่างมาก ลุกขึ้นมาโดยทันที แล้วเดินไปที่ข้างกายนาง แล้วถามนางด้วยความร้อนรนว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป”
“ข้า… ปวด… ท้อง!” มือจับที่ท้อง แล้วพูดจนจบ หลินหันเยียนปวดจนทนไม่ไหว นอนกองลงไปกับพื้น
หวงฝู่อวี้โอบกอดนางเอาไว้ แล้วอุ้มนางไปไว้ที่เตียง แล้วออกคำสั่ง “เฮ่ออี เอาตราประจำตำแหน่งของข้าไปเชิญหมอหลวงเจียงมา”
เฮ่ออีตอบรับ เดินเข้ามา หวงฝู่อวี้เอาตราประจำตำแหน่งส่งให้เขา เฮ่ออีรับไป แล้วเดินออกไปจากจวนอ๋องอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อวี้หยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมา แล้วเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าของหลินหันเยียนอย่างเบามือ ปลอบใจว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าอดทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวหมอหลวงเจียงก็มาแล้ว”
หลินหันเยียนพยักหน้า ตอนนี้เจ็บจนพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว
เฮ่ออีออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว เป็นธรรมดาที่จะเป็นจุดสนใจของคนในจวน พ่อบ้านจึงมารายงานกับเมิ่งเชี่ยนโยว
วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ไปไหน ยากนักที่จะได้อยู่บ้าน เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวได้รับรายงานแล้วนั้น มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน เห็นเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่พูดอะไร ก็รู้ว่าเขาไม่อยากให้นางเข้าไปยุ่งเรื่องของทั้งสองคน จึงพูดว่า “ข้ารู้แล้วล่ะ ออกไปได้”
พ่อบ้านตอบรับ แล้วออกไป เมื่อออกมาก็ถอนหายใจเฮือกยาว เมื่อก่อนนี้ซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยเมื่อรู้ว่าเกิดเรื่องกับคุณชายรองก็จะรีบไปทันที แต่ตอนนี้… …
พ่อบ้านส่ายหน้า แล้วไปทำหน้าที่ของตน
เฮ่ออีไปเชิญหมอหลวงเจียง ผ่านไปครึ่งชั่วยามถึงจะกลับมา หลินหันเยียนปวดจนแทบจะสลบ
เมื่อเห็นนางจะสลบไป หมอหลวงเจียงก็ไม่รอช้า วางกระเป๋ายาลง แล้วรีบจับไปที่ชีพจรของหลินหันเยียน
หวงฝู่อวี้รีบจนเหงื่อไหลท่วม มองไปที่หมอหลวงเจียงอย่างร้อนรน
หมอหลวงเจียงขมวดคิ้ว ท่าทางก็ขึงขังขึ้นมาทันที
ใจของหวงฝู่อวี้ก็หน่วงขึ้น แล้วเรียกด้วยความร้อนรนว่า “เยียนเอ๋อร์.. …”
หมอหลวงเจียงยื่นมือออกมาห้ามเขาเอาไว้ หมายความว่าไม่ให้เขาพูด
หวงฝู่อวี้ก็เลยทำได้แค่เก็บคำพูดของตนลงไป ทางหนึ่งก็คอยเช็ดเหงื่อให้หลินหันเยียนไป แล้วลุ้นผลทางหมอหลวงเจียงไปด้วย
เมื่อจับเสร็จข้างหนึ่ง หมอหลวงเจียงก็ทำมือให้นางยื่นอีกมือนึงออกมา แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างช้าๆ หมอหลวงเจียงปล่อยมือ แล้วมองไปที่หวงฝู่อวี้ ท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เยียนเอ๋อร์เป็นอะไรกันแน่” หวงฝู่อวี้ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
เห็นหลินหันเยียนที่นอนปวดท้องเหงื่อไหลอยู่บนเตียง หมอหลวงเจียงก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ คุณชายรองให้คนไปหามา ต้มเสร็จก็ให้คุณหนูหลินดื่มโดยทันที”
“ได้ ท่านรีบเขียนเร็วเข้า!” เมื่อพูดจบ ก็สั่งหงเอ๋อร์ “เตรียมพู่กันกับน้ำหมึก”
หงเอ๋อร์เห็นบนโต๊ะของหวงฝู่อวี้มีพร้อมทั้งพู่กันและน้ำหมึก ก็จัดเตรียมให้ดี ท่านหมอหลวงเจียงก็ลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะ แล้วเขียนใบสั่งยาให้
“เฮ่ออี เจ้ารีบไปหามาโดยเร็ว!” หวงฝู่อวี้ออกคำสั่ง
เฮ่ออีเข้ามารับใบสั่งยาไป แล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
พอจัดหายามาได้ ต้มเสร็จ หวงฝู่อวี้ก็ป้อนหลินหันเยียนด้วยตนเอง แล้วรอครึ่งชั่วยาม เมื่อยาออกฤทธิ์ ความเจ็บปวดของหลินหันเยียนก็ค่อยๆ หายไป ร่างกายสบายขึ้นทันตาเห็น และเปียกโชกราวกับแช่น้ำมาอย่างไรอย่างนั้น
หวงฝู่อวี้เป็นห่วงมาก ได้แต่โทษตนเอง ไม่เข้าใจว่าเมื่อคืนตนเองไปโดนตัวไหนมา ถึงได้ไม่กลับมาพักผ่อนที่เรือน เยียนเอ๋อร์ต้องร้อนรนมากแน่ๆ เลยส่งผลให้ร่างกายเป็นเช่นนี้
ยื่นมือออกไปเช็ดเหงื่อหยดสุดท้ายบนหน้าผากของนางแล้วถามว่า “ยังปวดอีกหรือไม่”
หลินหันเยียนรู้สึกว่าตนเองเหมือนได้ไปเยือนยมโลกมาแล้วรอบหนึ่ง แล้วรอดกลับมาได้อย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกกลัวต่างๆ นาๆ ต่างก็ประเดประดังเข้ามา น้ำตาไหลริน ได้แต่พยักหน้า
หวงฝู่อวี้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อย่าร้องไห้เลย เป็นเพราะพี่ไม่ดีเอง วันหลังพี่จะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว เจ้าเพิ่งกินยาเข้าไป อย่าร้องไห้เลยนะ”
หลินหันเยียนอยากร้องไห้ฟูมฟายออกมา แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ามีหมอหลวงเจียงอยู่ด้วย เลยข่มความรู้สึกตัวเองไว้ แต่ก็ยังร้องสะอื้นออกมาอยู่
หวงฝู่อวี้แตะที่ตัวของนางเบาๆ แล้วพูดปลอบประโลมนางเบาๆ ไม่นาน หลินหันเยียนก็หยุดร้องไห้
หมอหลวงเจียงที่ยืนมองอยู่อีกฟากก็ได้แต่ส่ายหน้าเล็กน้อย คุณหนูตระกูลหลินคนนี้แต่ก่อนก็เป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองหลวง แต่ตอนนี้กลับทำตัวเองจนมีสภาพเช่นนี้ไปเสียได้ ถ้าหากว่ารู้ว่าตนเองไม่สามารถ… คิดได้เช่นนี้ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว เฮ้อ
เสียงนี้ ทำให้หลินหันเยียนที่เพิ่งจะสงบลงและหวงฝู่อวี้ที่เพิ่งจะโล่งอก ทั้งสองคนมองไปที่เขา
หลินหันเยียนพูดว่า “ขอบพระคุณหมอหลวงเจียงเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าข้าเป็นโรคใด เหตุใดถึงปวดได้ขนาดนี้เจ้าคะ”
หมอหลวงเจียงมองไปที่ทั้งสองคน ขยับปากอยากจะพูด แต่ก็ไม่รู้จะพูดเช่นไร
“ไม่เป็นไร มีเรื่องใดท่านหมอหลวงพูดตามตรงได้เลยขอรับ” หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้คิดไรมาก เลยพูดออกมาตามนั้น
มองไปที่ทั้งสองคน ท่าทางของหมอหลวงเจียงก็นิ่งขึ้น
ในใจของหลินหันเยียนมีลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างไรก็บอกไม่ถูก แล้วถามด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ว่า “หมอหลวงเจียงเจ้าคะ ข้าคงไม่ได้เป็นโรคที่รักษาไม่หายหรอกนะเจ้าคะ”
หมอหลวงเจียงโบกมือ “คุณหนูหลินคิดมากไปแล้ว โรคของเจ้านี้ไม่ได้มีผลทำลายร่างกาย”
หลินหันเยียนก็โล่งอก แล้วถามต่ออีกว่า “แล้วข้าเป็นอะไรกันแน่เจ้าคะ”
หมอหลวงเจียงไม่ได้ตอบ แต่บอกว่า “คุณหนูหลินเหงื่ออกเต็มตัวไปหมด อย่างไรเสียก็ไปล้างเนื้อล้างตัวเสียก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จะได้ไม่เป็นหวัด”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ หลินหันเยียนก็รู้สึกได้ว่าตัวเหนียวเช่นนี้รู้สึกไม่ดีมากๆ มองหวงฝู่อวี้ สายตาแสดงถึงความอยากอาบน้ำอย่างชัดเจน
หมอหลวงเจียงยังไม่ทันไป หวงฝู่อวี้มีความกลุ้มใจเล็กน้อย
หมอหลวงเจียงก็แบกกระเป๋ายาขึ้นแล้วพูดว่า “คุณชายรองสั่งให้คนนำข้าไปที่ห้องรับแขกเถิด รอท่านทำธุระเสร็จค่อยมาก็ได้”
คำพูดนี้ของหมอหลวงเจียงนั้นหมายความชัดเจนว่าให้หวงฝู่อวี้จัดการเรื่องหลินหันเยียนให้เรียบร้อย แล้วให้ไปที่ห้องรับแขกเสียหน่อย ตนมีเรื่องจะคุยกับเขานั่นเอง
แต่น่าเสียดาย ใจที่เป็นห่วงแต่หลินหันเยียน ทำให้หวงฝู่อวี้ไม่เข้าใจในความหมายของเขา เลยสั่งคนให้นำหมอหลวงเจียงไปที่ห้องรับแขก แล้วสั่งให้คนไปต้มน้ำร้อน แล้วอุ้มนางไปที่ห้องอาบน้ำด้วยตนเอง เห็นว่านางปวดท้องมาทั้งวันแล้ว ไม่มีแรง เลยจัดการอาบน้ำให้นาง สระผมให้นาง ใส่เสื้อผ้าให้นาง แล้วอุ้มกลับมาที่ห้องของตน แล้วให้นางนอนอยู่ที่เตียง ห่มผ้าให้นางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าพักผ่อนเถิด ข้าจะไปพบหมอหลวงเจียง ประเดี๋ยวเดียวก็กลับ”
หลินหันเยียนดึงมือของเขาเอาไว้ สายตาอ้อนวอนไม่อยากให้ไป “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านให้หมอหลวงเจียงมาที่นี่เถอะ ข้าไม่อยากห่างจากท่านแม้เพียงเสี้ยวเวลาเดียว”
หวงฝู่อวี้จูบลงไปที่หน้าผากของนางด้วยความอ่อนโยน แล้วพยักหน้า “ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก”
ดังนั้น ตอนที่ท่านหมอหลวงเจียงมาทีนี่อีกครั้ง ในใจก็ด่าหวงฝู่อวี้ว่าไม่มีสมองไปแล้วเป็นร้อยรอบ คนก็พูดเสียชัดเจนขนาดนั้นแล้ว เขาไม่มีสมองงั้นหรือ เหตุใดถึงฟังไม่รู้เรื่อง
ก่นด่าในใจมาตลอดทางจนถึงห้องของหวงฝู่อวี้ ครั้งนี้ไม่เกรงใจอีกต่อไป และก็ไม่อ้อมค้อม พูดตรงๆ เลยว่า “ไม่ทราบว่าคุณหนูหลินเคยใช้ยาคุมกำเนิดหรือไม่”
ประโยคเดียวเท่านั้น ทำหลินหันเยียนและหวงฝู่อวี้ชะงักไป
สักพัก หลินหันเยียนก็หน้าซีด แล้วจับมือของหวงฝู่อวี้ไว้แน่น
สีหน้าของหวงฝู่อวี้ก็ละอายขึ้นมา ครั้งที่แล้วที่หลินหันเยียนตั้งครรภ์ แท้จริงแล้วนางซื้อยาคุมมาจากข้างนอกในราคาสูง จุดประสงค์เพื่อที่จะบังคับให้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนคิดหาวิธีให้ไทเฮาถอนราชโองการกลับไป เงยหน้าขึ้น มองไปที่หมอหลวงเจียง แล้วพยักหน้าอย่างไม่ปิดบัง “เคยใช้เจ้าค่ะ!”
“การใช้ยาคุมเกินขนาดของคุณหนูหลินในครั้งที่แล้ว ทำให้มดลูกได้รับความเสียหาย เกรงว่าต่อไปนี้จะไม่สามารถมีลูกได้อีก!”