ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 40-1 สละตำแหน่งซื่อจื่อ
กงกงผู้ประกาศรู้จักว่าเป็นพระชายาอ๋องฉี หลังจากที่ทำความเคารพนางอย่างนอบน้อมแล้วก็ตอบกลับไปว่า “ใช่แล้ว”
พระชายาอ๋องฉีกล่าวขึ้นทันควันว่า “กงกง กรุณารอสักครู่ ข้าจะไปขอให้ไทเฮาเก็บพระราชเสาวนีย์คืนเดี๋ยวนี้”
“เอ่อ…” กงกงผู้ประกาศเกิดความลังเล
พระชายาอ๋องฉีกล่าวว่า “เวลานี้ข้ากับเซวียนเอ๋อร์ก็อยู่ในวังหลวงแล้ว ท่านอ๋องก็มิได้อยู่ที่จวน ถึงแม้ท่านจะไปประกาศพระราชเสาวนีย์ถึงที่จวนก็ไม่มีผู้ใดรอรับคำประกาศ อย่างไรท่านรอข้าอยู่ตรงนี้สักครู่ ถ้าหากข้าขอร้องไทเฮาไม่ได้ ท่านค่อยไปประกาศพระราชเสาวนีย์ก็ยังไม่สายเกินไป”
กงกงผู้ประกาศพยักหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอพระชายาที่นี่สักครู่ หวังว่าท่านจะส่งข่าวให้ข้าอย่างเร็วที่สุด”
“ขอบคุณกงกง จวนอ๋องฉีจะจดจำบุณคุณครั้งนี้ของท่าน” พระชายาอ๋องกล่าว
กงกงรีบกล่าวขึ้นว่า “พระชายาทำให้บ่าวอายุสั้นลงแล้ว”
พระชายาอ๋องฉีเดินเข้าไปในเรือนของไทเฮา กูกูผู้ดูแลพอเห็นนางเข้ามาก็รีบออกมารอรับ พร้อมกับกล่าวตำหนิว่า “พระราชเสาวนีย์ได้ประกาศออกไปแล้ว เหตุใดพวกท่านถึงเพิ่งมาถึง”
พระชายาอ๋องฉีกล่าวว่า “ข้ายั้งพวกเขาเอาไว้แล้ว เจ้ารีบไปรายงานไทเฮาว่าข้ากับเซวียนเอ๋อร์มาขอเข้าเฝ้า”
กูกูผู้ดูแลถอนหายใจโล่งอก แล้วก็เดินเข้าไปรายงานในห้อง
พอไทเฮาทรงได้ยินว่าพระชายาอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนมาเข้าเฝ้าที่พระตำหนักในเวลานี้ ก็รู้สึกอึ้งอยู่บ้าง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ากับพวกเขาสองคนแม่ลูกช่างมีจิตใจที่ผูกพันกันเหลือเกิน เพิ่งจะมีพระราชเสาวนีย์การแต่งงานออกไป พวกเขาก็เข้ามาแล้ว รีบให้พวกเขาเข้ามา”
ฮูหยินราชเลขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม่พูดไม่จา สีหน้าดูไม่ดี
กูกูผู้ดูแลตอบรับ แล้วออกมาเรียกพวกเขาทั้งสองคนเข้าไป
พระชายาอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนเข้าไปแล้วก็ทำความเคารพไทเฮาด้วยความนอบน้อม
ไทเฮาโบกพระหัตถ์ บอกเป็นนัยๆ ว่าให้พวกเขานั่งลง แล้วส่งยิ้มให้แก่พระชายาอ๋องฉีพร้อมทั้งกล่าวว่า “เห็นเจ้าหน้าแดงมีเลือดฝาด การเดินเหินกระฉับกระเฉง ร่างกายของเจ้าแข็งแรงขึ้นมากจริงๆ”
พระชายาอ๋องฉีตอบกลับด้วยความเคารพนบนอบ “ขอบพระทัยท่านแม่ที่ทรงระลึกถึงเพคะ ตั้งแต่เซวียนเอ๋อร์กลับมา หม่อมฉันก็หัวใจพองโตขึ้นมาก อาการป่วยก็ดีขึ้นด้วยเพคะ”
เดิมทีลูกสะใภ้คนนี้ร่างกายก็อ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลังจากที่อี้เซวียนหายไป โรคต่างๆ ก็มารุมเร้าให้ป่วยกระเสาะกระแสะอยู่นานหลายปี หลายปีมานี้ไทเฮารู้สึกเสียดายไม่น้อยที่ตอนนั้นกำหนดให้มีงานแต่งจากความเห็นแก่ตัวของตัวเอง บัดนี้เมื่อเห็นนางไม่มีอาการป่วยไข้แล้วก็รู้สึกยินดี กล่าวด้วยความสำราญพระทัยว่า “เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เมื่อถึงงานแต่งงานของเซวียนเอ๋อร์ เจ้าก็สามารถจัดงานแต่งให้พวกเขาเองได้”
พระชายาอ๋องฉีเม้มปาก แล้วคุกเข่าลงพร้อมกับกล่าวว่า “ที่หม่อมฉันมาในวันนี้ก็ด้วยเรื่องนี้เพคะ ขอให้ท่านแม่ทรงเก็บพระราชเสาวนีย์การแต่งงานของเซวียนเอ๋อร์กลับคืนด้วยเถิดเพคะ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็คุกเข่าลงตาม กล่าวว่า “ขอให้เสด็จย่าเก็บพระราชเสาวนีย์คืนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาตกตะลึง
ฮูหยินราชเลขาเกือบจะลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่อยู่
นานหลายอึดใจไทเฮาจึงตรัสต่อว่า “พวกเจ้าสองคนแม่ลูกลุกขึ้นก่อน มาอธิบายให้ข้าเข้าใจก่อน ว่าเหตุใดถึงต้องให้ข้าเก็บพระราชเสาวนีย์กลับคืน”
พระชายาอ๋องฉีไม่ขยับยังคุกเข่าอยู่ที่เดิม กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้มันยาวมากเพคะ ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะค่อยๆ เล่าให้พระนางฟัง ขอให้พระนางเรียกพระราชเสาวนีย์กลับคืนมาก่อนเพคะ”
“เหลวไหล!” ไทเฮาตำหนินาง “พระราชเสาวนีย์ข้าได้สั่งการลงไปแล้ว ไม่แน่ว่าเวลานี้อาจจะไปถึงจวนอ๋องแล้ว มีหรือบอกให้เก็บคืนก็จะเก็บคืนได้”
พระชายาอ๋องฉียังมีสีหน้าเช่นเดิม กล่าวอย่างเคารพนบนอบว่า “ท่านแม่เพคะ ในตอนที่หม่อมฉันมาได้พบเข้ากับกงกงที่จะไปประกาศพอดี จึงกระทำการโดยพลการขวางเขาเอาไว้แล้ว ขอให้ท่านเก็บพระราชเสาวนีคืนมาเถิดเพคะ สะใภ้จะอธิบายทุกอย่างให้พระนางเข้าใจทั้งหมด”
เมื่อไทเฮาได้ยินดังนั้นก็อึ้ง มองพระชายาอ๋องฉีที่อยู่ต่อหน้า รู้สึกได้ทันทีว่านี่เองคือท่าทางที่แท้จริงของนาง สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพียงเพราะนางถูกบีบคั้นจากสถานการณ์ทำให้ต้องลดความเป็นตัวของตัวเองไป
ฮูหยินราชเลขาเห็นไทเฮาไม่พูดอะไร ก็รู้สึกกระวนกระวายใจและคุกเข่าลงบนพื้นเช่นเดียวกัน “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันบังอาจขอให้ไทเฮาทรงประกาศพระราชเสาวนีย์ลงไปเถิดเพคะ”
พระชายาอ๋องฉีหันหน้าไปมองแล้วกล่าวว่า “เตี๋ยชิง เจ้ากับข้าผูกพันกันมาหลายปี รักกันดุจพี่น้องมาโดยตลอด ข้าไม่ต้องการแตกหักกับเจ้าเพราะการแต่งงานระหว่างเซวียนเอ๋อร์กับเยียนเอ๋อร์ ขอให้เจ้าใคร่ครวญดูก่อนค่อยกระทำการสิ่งใดเถอะ”
พระชายาอ๋องฉีไม่เคยพูดจาบีบคั้นนางเช่นนี้มาก่อน ฮูหยินราชเลขาตกตะลึงสักพัก จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความเดือดดาลว่า “ถ้าหากพวกเจ้าจะยกเลิกการแต่งงานนี้ให้ได้ พวกเราสิที่ต้องเป็นคนแตกหักกับพวกเจ้า”
พระชายาอ๋องฉีไม่ได้สนใจนาง หันกลับขอร้องไทเฮาต่อว่า “ขอให้ท่านแม่เก็บพระราชเสาวนีย์คืนมาก่อนเพคะ”
ไทเฮาทรงเห็นว่าพระชายาอ๋องฉียืนหยัดในท่าทีของตน จึงเกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ เอ่ยปากสั่งคนที่อยู่ด้านนอกว่า “ไปยับยั้งพระราชเสาวนีย์ของข้าไว้ก่อน ให้กงกงผู้ประกาศเฝ้าอยู่ด้านนอก”
“ไทเฮาเพคะ!” ฮูหยินราชเลขาร้องเสียงแหลมสูงอย่างไม่เห็นด้วย
ไทเฮาโบกพระหัตถ์ ตรัสปลอบใจว่า “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป รอให้ข้าฟังที่พวกนางเล่าก่อน แล้วค่อยให้คนไปประกาศก็ไม่สายเกินไป”
ฮูหยินราชเลขาไม่ได้พูดอะไรอีก
กูกูผู้ดูแลตอบรับ แล้วออกไปถ่ายทอดความประสงค์ข้างนอกด้วยความดีใจ
พระชายาอ๋องฉีก็โล่งอก
ไทเฮาตรัสว่า “เจ้าร่างกายอ่อนแอ ไม่ต้องคุกเข่าบนพื้นแล้ว ลุกขึ้นมาก่อน มีอะไรจะพูดก็ค่อยๆ พูด”
แล้วก็หันไปตรัสกับฮูหยินราชเลขาด้วยว่า “เจ้าเองก็ลุกขึ้นก่อนเถิด”
หลังจากที่ทั้งสองคนขอบพระทัยแล้วก็ลุกขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนยังคุกเข่าอยู่ไม่ยอมขยับ
ไทเฮาปรายตามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็สั่งคนที่อยู่ด้านนอกว่า “มีใครอยู่บ้าง ประทานเก้าอี้ให้พระชายาด้วย”
มีนางกำนัลตอบรับแล้วเข้ามา พร้อมกับยกตั่งที่มีเบาะนั่งนุ่มๆ มาวางไว้ข้างหลังของพระชายาอ๋องฉี แล้วก็ถอยออกไป
หลังจากที่พระชายาอ๋องขอบพระทัยแล้วก็นั่งลงบนตั่งนุ่ม
ไทเฮาตรัสว่า “พูดมาเถอะ ตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดพวกเจ้าถึงให้ข้าเก็บพระราชเสาวนีย์กลับคืน”
หวงฝู่อี้เซวียนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เม้มริมฝีปากแล้วกล่าวขึ้นว่า “หลานมีนางในดวงใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต้องการจะแต่งงานกับนาง”
“บุตรสาวของชาวบ้านที่เลี้ยงดูเจ้ามาใช่ไหม” ไทเฮาถาม
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
“เรื่องนี้ไม่มีอะไรยุ่งยาก หากเจ้าปล่อยวางนางมิได้แล้วล่ะก็ ย่าสามารถมอบเกียรติให้แก่นางได้ แต่งตั้งนางให้เป็นชายารอง” ไทเฮากล่าว
หวงฝู่อี้เซวียนสั่นศีรษะ กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “หลานรับปากนางแล้ว ว่าชั่วชีวิตนี้จะแต่งกับนางเพียงผู้เดียว จะไม่แต่งงานกับหญิงอื่นอีกเป็นอันขาด”
ไทเฮาทรงกริ้วฉับพลัน “เหลวไหล เจ้ามีฐานะเป็นถึงซื่อจื่อ ต่อไปต้องสืบทอดจวนอ๋อง จำเป็นต้องมีลูกมีหลานสืบสกุลเพื่อราชสำนัก มีหรือที่จะแต่งงานกับสตรีเพียงผู้เดียว ยิ่งไปกว่านั้น นางผู้นั้นยังมีฐานะต่ำต้อย จะเป็นพระชายาซื่อจื่อของเจ้าได้อย่างไร”
จากนั้นก็หันมาตำหนิพระชายาอ๋องฉี “พวกเจ้าสั่งสอนเซวียนเอ๋อร์กันเช่นนี้หรือ”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านแม่พ่ะย่ะค่ะ เป็นความปรารถนาของหลานเอง ขอเสด็จย่าอย่าได้โทษท่านแม่เลย” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว
ไทเฮายังทรงกริ้วอยู่ ตรัสว่า “เสียแรงที่ข้าคิดว่าเจ้ามีเหตุผล มีความรู้ความสามารถ รักและเอ็นดูเจ้ามากนัก แต่เจ้ากลับมาตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ ทิ้งการแต่งงานดีๆ ไม่ยอมเอา แต่ดึงดันจะไปแต่งงานกับสตรีบ้านป่า นี่ไม่ใช่แค่ตบหน้าราชสำนัก แต่ยังกลายเป็นเรื่องขบขันขอราษฎรอีก”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้โต้แย้ง แล้วโขกศีรษะลงกับพื้นให้ไทเฮาอย่างแรง “หลานทำลายความรักความเมตตาของเสด็จย่า ขอให้ท่านอย่าทรงกริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นเขาสารภาพความผิดเพียงเล็กน้อยแต่ไม่ยอมรับในความผิดที่ร้ายแรงกว่า ไทเฮายิ่งเดือดดาลมากขึ้น จนถึงขั้นลืมคำกล่าวขาน กล่าวด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “เลิกกล่าวหลบเลี่ยงต่อข้าได้แล้ว การแต่งงานของเจ้ากับคุณหนูหลิน แม้เจ้าจะยินยอมก็ต้องยินยอม ถึงไม่ยินยอมก็ต้องยินยอม ข้าจะให้คนไปประกาศเดี๋ยวนี้ ดูสิว่าเจ้าจะกล้าขัดคำสั่งได้หรือไม่”
“ท่านแม่เพคะ” พระชายาอ๋องฉีคุกเข่าลงอีกครั้ง “หม่อมฉันขอบังอาจขอร้องแทนเซวียนเอ๋อร์เพคะ ขอให้พระนางทำให้พวกเขาสมหวังเถิดเพคะ”
เห็นนางขอร้องด้วยอีกแรง ไทเฮาก็ยิ่งกริ้วจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ชี้หน้าพวกเขาด้วยมืออันสั่นเทา ความฉุนเฉียวที่เจืออยู่ในน้ำเสียงนั้นแม้แต่กูกูผู้ดูแลยังตกใจจนหดตัวให้ลีบลง “เซวียนเอ๋อร์อายุยังน้อย คิดสิ่งใดยังไม่รอบคอบ เจ้าไม่เพียงแต่ไม่สั่งสอนให้เขากลับใจ แต่ยังช่วยเขาขอร้องด้วยซ้ำ หรือว่าหลายปีมานี้เจ้าป่วยจนสมองเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร”
คำพูดนี้ค่อนข้างสาหัสมาก กูกูผู้ดูแลเช็ดเหงื่อแทนพระชายาอ๋องฉี
ทว่าฮูหยินราชเลขากลับลอบรู้สึกยินดีอยู่ในใจ
พระชายาอ๋องฉีตั้งตัวตรง กล่าวด้วยความกล้าหาญว่า “หลังจากที่เซวียนเอ๋อร์เกิดมา เราสองคนแม่ลูกก็ต้องแยกจากกันไปกว่าสิบปี หม่อมฉันไม่เคยได้ทำในสิ่งที่แม่ควรทำ ถึงแม้ต่อมาเซวียนเอ๋อร์จะกลับมาได้ แต่เขาก็เติบโตขึ้นมาก จึงไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันต่อหม่อมฉันมากนัก หม่อมฉันต้องการทดแทนสิ่งที่ขาดหายไป โดยมอบสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดให้กับเขา รวมถึงการแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์ แต่วันนี้เขากลับพูดกับหม่อมฉันและท่านอ๋องว่า หากไม่สามารถแต่งงานกับแม่นางเมิ่งได้ เขาจะไม่ยอมแต่งงานตลอดชีวิต หม่อมฉันจึงคิดได้ว่าตัวเองนั้นคิดผิดไป หากบังคับให้เขาต้องแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์ แล้วให้แม่นางเมิ่งไปอยู่ไกลๆ ถึงแม่หม่อมฉันจะไม่ทราบว่าเซวียนเอ๋อร์จะทำเรื่องบ้าคลั่งอะไรก็ตาม แต่หม่อมฉันกลับรู้ดีว่าต่อไปเขาจะไม่ยอมเข้าใกล้หม่อมฉันอีก ท่านแม่เพคะ หม่อมฉันได้รับความทุกข์ทรมานจากการที่ต้องแยกจากลูกไปแล้วกว่าสิบปี จึงยอมไม่ได้ที่ต้องทนทุกข์เช่นนั้นอีกครั้ง ขอให้ท่านให้พวกเขาสมหวังเถิดเพคะ เก็บพระราชเสาวนีย์กลับคืนมา”
พอได้ฟังคำของพระชายาอ๋องฉีแล้วไทเฮาก็รู้สึกสะเทือนใจ สิบกว่าปีก่อนอ๋องฉีส่งพระชายาอ๋องฉีที่ใกล้จะให้กำเนิดลูกออกไปเพื่อที่จะเข้าวังมาช่วยตนเองที่ถูกจับตัวไว้อยู่ นึกไม่ถึงว่าต่อมาต้องเจอเข้ากับชายชุดดำมือสังหาร จนทำให้อี้เซวียนหายไป จนเป็นเหตุให้พวกเขาต้องแยกจากกันไปกว่าสิบปี ดังนั้นกล่าวได้ว่าที่พวกเขาเป็นเช่นนี้ก็เพราะตัวเองทำให้เขาลำบากไปด้วย