ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 51-3 ทุบตีคนอย่างโจ่งแจ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงโล่งอกได้บ้าง กล่าวกับพวกพนักงานว่า “พวกเขาดีขึ้นมากแล้ว พวกเจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถอะ”
พนักงานหลายคนเองก็เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว พอได้ยินเช่นนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ โต๊ะ หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนใบสั่งยาอีกครั้ง แล้วส่งให้เหวินซื่อ “อาการบาดเจ็บของพวกเขาหนักหนาสาหัสมาก อาจจะเกิดการติดเชื้อขึ้นได้ เจ้าให้คนเอายาต้านการอักเสบนี้ไปต้มไว้เพื่อเตรียมใช้ อีกสักครู่ก็ป้อนให้พวกเขากินพร้อมกับยาลดไข้เลย”
เหวินซื่อรับใบสั่งยามา สั่งให้พนักงานอีกคนไปทำ
แล้วเวลาก็ล่วงเลยไปประมาณหนึ่งก้านธูปไหม้ พนักงานคนหนึ่งก็พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “เถ้าแก่ขอรับ ดูเหมือนว่าอาการตัวร้อนของพวกเขาจะลดลงแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองกัวเฟยแวบหนึ่ง เห็นเม็ดเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผากของเขาแล้วก็ถอนหายใจได้อย่างโล่งอกจริงๆ เสียที “น่าจะเป็นฤทธิ์ของยาลดไข้ รอดูอีกสักประเดี๋ยว”
แล้วเวลาก็ผ่านไปอีกสักพัก บนหน้าผากของแต่ละคนก็มีเหงื่อเม็ดโตผุดซึมออกมา
ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวก็สบายใจ ลุกขึ้นแล้วสั่งพนักงานว่า “รออีกหนึ่งชั่วยาม ไม่ว่าจะตัวร้อนหรือไม่ก็ตาม พวกเจ้าก็ต้องเอายาลดไข้กับยาต้านการอักเสบป้อนพวกเขาด้วย จำไว้ว่าวันนี้ทั้งวันต้องป้อนยาทุกๆ สองชั่วยาม ห้ามข้ามไปเป็นอันขาด”
พนักงานขานรับคำสั่งอย่างนอบน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจดูอาการของแต่ละคนอีกครั้ง รู้สึกว่าอาการของพวกเขาน่าจะอยู่ตัวแล้ว ก็เดินออกจากห้องรักษาพร้อมกับเหวินซื่อและหวงฝู่อี้เซวียนกลับไปยังชั้นบน
หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามท้องฟ้าก็สว่างมากแล้ว พนักงานก็ไม่ได้ขึ้นมาส่งข่าว ในที่สุดทุกคนก็สบายใจได้
เหวินซื่อมองท้องฟ้าข้างนอกแวบหนึ่ง คิดว่าได้เวลาแล้ว ก็เดินยิ้มกริ่มไปหยุดอยู่ข้างหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ซื่อจื่อ น่าจะได้เวลาที่พวกเขาไปที่ท้องพระโรงแล้ว พวกเราควรจะเริ่มเดินทางได้แล้วใช่หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา แต่หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ ข้าจะส่งเจ้ากลับนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางส่ายหน้า “เรื่องน่าสนุกเช่นนี้จะขาดข้าไปได้อย่างไร รอทำอะไรเสร็จแล้วค่อยกลับก็ไม่สาย”
หวงฝู่อี้เซวียนเป็นกังวลอยู่บ้าง “แต่ว่าเจ้าไม่ได้นอนทั้งคืน ร่างกายจะไหวหรือ”
“ไม่ต้องพูดถึงคืนเดียว ขนาดไม่ได้นอนสามวันสามคืนข้าก็ยังไหว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า นี่ก็สายแล้ว ได้เวลาทำธุระของพวกเราแล้ว ถ้าช้าไปจะไม่มีโอกาสเหมือนวันนี้นะ”
“ใช่ใช่ใช่” เหวินซื่อพูดคล้อยตามหลายคำ “เด็กคนนี้ร่างกายแข็งแรงดีจะตาย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนาง ทำธุระสำคัญดีกว่า”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ พวกเราไปจัดการกับเขาก่อน ไว้จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่อยกลับจวนอ๋องกับข้า พวกเราจะได้พักผ่อนให้สบาย”
พูดจบก็สั่งทหารอารักขาว่า “เตรียมม้า”
ทหารอารักขาออกไปเตรียมม้าไว้ให้
เหวินซื่อเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ได้แปลงโฉมให้ตัวเอง รีบพูดขึ้นว่า “เจ้าเด็กนี่ยังไม่ได้แปลงโฉมให้ข้าเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวชายตามองเขาแวบหนึ่ง
เหวินซื่อรู้สึกถึงลางไม่ได้ เดินถอยไปก้าวหนึ่ง พูดอึกอักว่า “เจ้า เจ้ารับปากข้าแล้ว เจ้ากลับคำไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหน้ามากระซิบกับหวงฝู่อี้เซวียนเบาๆ
หวงฝู่อี้เซวียนฟังจบแล้วก็มองนางอย่างแปลกใจ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มรู้ใจออกมา
เหวินซื่อยิ่งรู้สึกถึงลางไม่ดีมากขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาข้างนอก แล้วสั่งทหารอารักขาประโยคหนึ่ง
ทหารอารักขารับคำสั่งแล้วก็วิ่งลงไปชั้นล่างทันที
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาด้วยมุมปากที่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ไม่นานทหารอารักขาก็เอาอะไรบางอย่างสีดำๆ อยู่ในชามออกมา แล้วส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างนอบน้อม
เหวินซื่อเดินถอยหลังก้าวหนึ่ง ถามขึ้นว่า “นี่คืออะไร เจ้าเอามันมาใช้ทำอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้เขา ยกชามที่อยู่ในมือออกมาให้เขามองชัดๆ “นี่ก็คือเขม่าจากก้นหม้ออย่างไรล่ะ ไม่ใช่ว่าเจ้าจะแปลงโฉมหรือ ตอนนี้เวลากระชั้นชิดมากแล้ว ไปซื้อของแต่งตัวมาไม่ทันแล้ว ใช้มันไปก่อนก็แล้วกันนะ”
เหวินซื่อหลบฉากออกไปอีกด้าน ร้องตาลีตาเหลือกขึ้นว่า “เด็กบ้า เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมกับแกว่งเขม่าจากก้นหม้อที่อยู่ในชามไปมา “ตอนนี้มีแค่สิ่งนี้แล้ว ถ้าเจ้าไม่ยอมใช้ วันนี้ก็อย่าตามไปเลย”
เหวินซื่อมองเขม่าดำมะเมื่อมที่อยู่ก้นหม้อ ลังเลนานหลายอึดใจ ตัดสินใจไม่ได้เสียที
เมิ่งเชี่ยนโยวรำคาญแล้ว “เจ้าจะใช้หรือไม่ใช้ รีบตัดสินใจเร็วเข้า เหลือเวลาไม่มากแล้ว พวกเราไม่มีเวลาให้รอช้าอีก”
เหวินซื่อมองดูเขม่าจากก้นหม้ออีกครั้ง สุดท้ายก็กัดฟันตัดสินใจได้ กล่าวว่า “ก็ได้ ใช้มันเถอะ แต่ว่าคราวหน้าเจ้าอย่าใช้มันอีกนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบหัวเราะอยู่ในใจ ทว่ากลับไม่แสดงสีหน้าออกมา กล่าวขึ้นว่า “ครั้งหน้าค่อยว่ากันใหม่ เจ้ารีบเข้ามาเร็วๆ”
เหวินซื่อเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างหมดอาลัยตายอยาก
เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นยิ้ม ใช้มือจุ่มเขม่าดำที่อยู่ในชามมาป้ายบนใบหน้าของเขา
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มตาหยี ยืนมองดูใบหน้าของเหวินซื่อที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปอยู่ข้างๆ จากคุณชายผู้สง่างามราวกับหยกต้องกลายมาเป็นชายชาวบ้านที่มีใบหน้าดำมอมแมม
ถึงการใช้เขม่าจากก้นหม้อจะต้องการกลั่นแกล้งบ้าง แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลัวว่าเหวินซื่อจะถูกเฮ่อเหลี่ยนจำได้ แล้วทำให้เดือดร้อนอย่างไม่จำเป็นเหมือนที่แล้วมา ดังนั้นตอนที่ละเลงลงไปก็ตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ แม้แต่ลำคอด้านหน้ายังทาลงไปด้วย จนทำให้เขาเหมือนคนที่มีผิวดำมาตั้งแต่กำเนิด
ใช้เวลาสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวจึงทาจนเสร็จ มองผลงานชิ้นเอกของตนแล้วจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เสร็จแล้ว เจ้าลองไปส่องกระจกดูเอง ดูสิว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ชั้นบนเป็นที่ที่เหวินซื่อใช้ทำงานปกติ จะมีกระจกที่ไหนกัน เหวินซื่อเดินทื่อๆ ไปที่อ่างน้ำข้างๆ มองเงาที่สะท้อนในน้ำ มองเห็นภาพที่สะท้อนขึ้นมาเป็นชายที่มีใบหน้าดำมะเมื่อมก็ตกใจ กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมน่าเกลียดเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาล้างมือที่อ่างน้ำ กล่าวว่า “ข้าคิดว่าดีเสียอีก หน้าตาเช่นนี้ของเจ้า คิดว่าถ้าเกิดตรวจสอบขึ้นมาก็คงไม่มีใครจำได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฮ่อเหลี่ยนเลย”
เหวินซื่อก้มมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง แต่ถูกนางเอามือจุ่มลงไปล้างมือมำให้น้ำเป็นคลื่นมองไม่เห็น จึงปล่อยเลยตามเลย กล่าวอย่างอดใจรอไม่ไหวว่า “พวกเราไปกันเถอะ สายมากแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ล้างมือเสร็จก็เดินลงไปข้างล่างพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียน
นอกเหนือจากพนักงานที่ดูพวกกัวเฟยอยู่ คนที่เหลือก็กำลังเช็ดโต๊ะเก้าอี้ในห้องโถงใหญ่อยู่ เตรียมจะเปิดร้าน พอเห็นว่ามีกลุ่มคนเดินลงมาจากชั้นบน ทุกคนก็ยืนทักทายอยู่อย่างนอบน้อม จนกระทั่งชายตัวดำเมี่ยมเดินตามหลังพวกเขามา ต่างก็หันมามองหน้ากัน เกิดความสงสัย ไม่รู้ว่าชายคนนี้ขึ้นไปชั้นบนตั้งแต่ตอนไหน
ชายตัวดำเมี่ยมจึงพูดขึ้นว่า “ดูแลผู้ป่วยทุกท่านที่อยู่เรือนด้านหลังให้ดี ข้าไปประเดี๋ยวก็จะกลับมา”
พอได้ยินว่าเป็นเสียงของเถ้าแก่พวกพนักงานก็ตกใจ เบิกตากว้างมองดูเหวินซื่อ ไม่รู้ว่าเขามีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร
พอเห็นท่าทีของพวกเหวินซื่อก็รู้ว่าพวกเขานั้นจำตัวเองไม่ได้ ในใจแอบรู้สึกลำพองใจอยู่บ้าง เริ่มรู้สึกชอบที่เมิ่งเชี่ยนโยวแปลงโฉมให้แล้ว
ทุกคนเดินออกจากประตู ทหารอารักขาได้เตรียมม้าไว้เรียบร้อยแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็ขึ้นม้าตัวเดียวกัน ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็ขี่ม้ากันคนละตัว
หวงฝู่อี้เซวียนพาทุกคนมายังทางที่เฮ่อเหลี่ยนต้องผ่านทุกวันเวลาออกจากบ้าน แล้วลงจากม้า ยืนรออยู่ข้างทาง คนที่เหลือก็ลงจากม้าเช่นเดียวกัน แล้วยืนอยู่ข้างหลังเขา
เหวินซื่อเห็นสองคนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหลบเลี่ยง ยืนอยู่อย่างโจ่งแจ้ง จึงพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “พวกเจ้ายืนอยู่เช่นนั้นไม่ดีกระมัง รอตีคนไม่ถึงสิบห้านาทีเรื่องก็กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว”
“ที่ต้องการก็คือกระทำอย่างโจ่งแจ้ง ข้าจะทำให้เขาพูดไม่ได้” หวงฝู่อี้เซวียนพูดจบก็สั่งพวหทหารอารักขาว่า “หนึ่งอย่าตีใบหน้า สองอย่างให้ร่างกายมีบาดแผล ส่วนจะทำอย่างไรนั้นพวกเจ้าก็ทราบอยู่แล้ว ห้ามทำร้ายจนคนตาย”
ทหารอารักขารับคำสั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะหึๆ
เหวินซื่ออ้าปากค้างพูดไม่ออก
เมื่อวานนี้หลังจากที่เฮ่อเหลี่ยนสั่งผู้ดูแลที่คุมขังเสร็จแล้วก็กลับจวนไป พอนึกถึงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะมีจุดจบอย่างไรก็ดีใจยิ่งนัก แล้วดื่มไปหลายจอก ไม่คิดว่าจะนอนหลับยาวจนถึงยามเช้า พอลืมตาขึ้นเห็นท้องฟ้าสว่างแล้ว ยังรู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อย เสียดายที่คืนวานไม่ได้ไปดูจุดจบอันน่าเวทนาของแต่ละคนให้เห็นกับตาตัวเอง
หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาอย่างรีบร้อน พอกินมื้อเช้าเสร็จ ก็ขึ้นเกี้ยวที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ไปลงชื่อเข้าท้องพระโรงด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ
จนใกล้จะถึงที่ทำงานแล้วจู่ ๆ เกี้ยวก็หยุดลง
เฮ่อเหลี่ยนที่นั่งอยู่บนเกี้ยวก็ถามอย่างสบายอกสบายใจว่า “เหตุใดถึงหยุดหรือ ”
“คะ คุณชายใหญ่ มะ มีคนมาขวางเกี้ยวขอรับ” คนแบกเกี้ยวตอบกระอึกกระอัก
เฮ่อเหลี่ยนเปิดผ้าม่านของเกี้ยวออก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนักว่า “ใครกันที่ไม่รู้จักลืมหูลืมตา กล้ามาขวางเกี้ยวข้า…” ยังพูดไม่จบ ในตอนที่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนขวางอยู่หน้าเกี้ยวนั้น ก็ถามขึ้นอย่างตกอกตกใจว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มบางๆ ตอบกล้วยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ข้ามารอคุณชายใหญ่เฮ่อที่นี่อย่างไรเล่า เมื่อวานนี้เจ้ามอบของขวัญใหญ่ที่ดีที่สุดให้กับข้า ถ้าวันนี้ข้าไม่เอากลับคืนให้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะนะ”
—————————-