ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 52-2 มอบองครักษ์เงาให้
หวงฝู่อี้เซวียนนอนอยู่อีกด้าน ดูนางนอนหลับ ฟังเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของนาง ในที่สุดความไม่สบายใจก็หายไป ไม่นานก็หลับสนิทตามนางไป
พระชายาฉีออกคำสั่งลงไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็นั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ในจวนจึงไม่มีใครไปรบกสนพวกเขา ทั้งสองคนนอนหลับได้อย่างสบาย พอตื่นขึ้นมาก็ถึงเวลากินมื้อเที่ยงแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนตื่นลืมตาขึ้นก่อน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยังหลับสนิทอยู่ เกรงว่าจะจบกวนทำให้นางตื่นจากฝันหวานจึงไม่กล้าขยับตัว กะพริบตาปริบๆ มองดูนางที่กำลังหลับใหลอยู่
ในความฝันเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่ามีคนจ้องมองตนอยู่ การฝึกฝนอย่างโชกโชนมาหลายปีทำให้นางรู้สึกตัวตื่นขึ้นทันที ลืมตาขึ้นมาก็จอเข้ากับใบหน้าที่เป็นที่เคียดแค้นของผู้คน อึ้งไปสักพัก ทำราวกับว่าไม่รู้ว่าเขาขึ้นมาอยู่บนเตียงของตัวเองได้อย่างไร
เป็นครั้งแรกที่หวงฝู่อี้เซวียนเห็นนางมีท่าทางโง่เขลาเช่นนี้จึงเผลอหัวเราะออกมา แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ตื่นแล้วหรือ? นอนอิ่มหรือยัง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงรู้สึกตัว นึกขึ้นได้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงของหวงฝู่อี้เซวียน แอบแปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองช้าลงเช่นนี้
หวงฝู่อี้เซวียนไม่เห็นนางตอบคำถาม คิดว่านางยังไม่ตื่นดี จึงตบหลังนางเบาๆ กล่าวว่า “ยังนอนไม่อิ่มใช่หรือไม่? นอนอีกสักพักเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “นอนตื่นแล้ว ลุกขึ้นเถอะ ยามบ่ายยังต้องไปดูพวกกัวเฟยว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนเผลอยิ้ม กล่าวว่า “ตอนนี้ก็เป็นยามบ่ายแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองนอกหน้าต่างด้วยความประหลาดใจ เห็นดวงอาทิตย์เยื้องไปทางทิศตะวันตกจริงๆ ก็รีบลุกขึ้นมาทันที ถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ทำไมข้าถึงได้นอนนานเช่นนี้?” ต้องรู้ไว้ว่าแต่ก่อนตอนที่นางฝึกอยู่ ถึงไม่ได้นอนต่อเนื่องกันสามวันสามคืน แต่เมื่อไปนอนทดแทนแค่หนึ่งชั่วยามก็พอแล้ว ไม่เคยต้องนานเป็นเวลานานอย่างเช่นนี้มาก่อน
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ทราบว่าในใจนางคิดอย่างไร ก็ลุกขึ้นเช่นกัน “เมื่อวานเจ้าต่อสู้กับพวกเขา ซ้ำยังไม่ได้นอนทั้งคืน จึงเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุดแน่นอน นอนนานไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าจะอธิบายความเป็นมาของตัวเองให้เขาเข้าใจอย่างไรดี จึงเร่งเขาขึ้นว่า “รีบลุกขึ้นมาหวีผมล้างหน้าเร็วเข้า เสด็จแม่ของเจ้ายังรอเจอเราอยู่ไม่ใช่หรือ?”
หวงฝู่อี้เซวียนลงจากเตียง ส่งเสื้อคลุมด้านนอกให้นาง ตัวเองก็สวมใส่เสื้อคลุมด้านนอกเช่นกัน ตะโกนเรียกคนที่อยู่ข้างนอกว่า “อี้เอ๋อร์!”
หวงฝู่อี้ขานรับจากหน้าประตูแล้วก็รีบวิ่งเข้ามา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังสวมเสื้อคลุมด้านนอกอยู่ ดวงตาก็เป็นประกาย แล้วก้มหน้าลงถามด้วยความเคารพว่า “ซื่อจื่อ มีสิ่งใดจะสั่งหรือขอรับ”
“สั่งให้คนไปเตรียมสำรับอาหารมา ข้ากับโยวเอ๋อร์กินเสร็จแล้วจะไปพบเสด็จแม่”
หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับคำสั่ง แล้วก็ถอยออกไปด้วยสายตามั่นคงไม่ว่อกแว่ก เดินไปที่ห้องครัว ให้แม่ครัวตักอาหารที่อุ่นอยู่ในหม้อตลอดมา จากนั้นก็ไปที่เรือนของพระชายาฉี รายงานว่าทั้งสองคนได้ตื่นแล้ว กินข้าวเสร็จก็จะมาพบพระชายา
แม่ครัวเตรียมกับข้าวไว้อย่างพิถีพิถัน ทั้งสองคนกินอิ่มแล้วก็ให้หวงฝู่อี้มาเก็บสำรับ แล้วก็เดินจับมือกันมาถึงเรือนพระชายาฉี
หลิงหลงยืนอยู่ที่หน้าประตู พอเห็นทั้งสองคนมาก็คุกเข่าคารวะหวงฝู่อี้เซวียน จากนั้นก็กล่าวว่า “เหนียงเหนียงบอกถ้าซื่อจื่อกับแม่นางเมิ่งมาถึงแล้วก็ให้เข้าไปได้เลยเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้อง
พระชายาฉีร่างกายแข็งแรงขึ้นบ้างแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่างรอให้ทั้งสองคนเข้าไป พอได้ยินเสียงของหลิงหลงก็ยิ้มพร้อมกับกวักมือเรียกเมิ่งเชี่ยนโยวที่เพิ่งจะเดินเข้ามา “แม่นางเมิ่งมานี่ มานั่งตรงนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวขอบคุณอย่างมีมารยาท แล้วก็ไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ อย่างสง่าผ่าเผย
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่? อี้เอ๋อร์เข้ามารายงานทำให้ข้าตกใจแทบแย่” พระชายาฉีถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากไม่พูดอะไร
“พูดไม่ได้หรือ?” พระชายาฉีหยั่งเชิงลองถามขึ้นด้วยใบหน้าที่เจือรอยยิ้มเช่นเดิม
“มิใช่พูดไม่ได้เจ้าค่ะ แต่กลัวว่าหลังจากที่พระชายาได้ฟังแล้วจะกระเทือนต่ออารมณ์เบิกบานของท่าน แล้วส่งผลร้ายต่ออาการป่วยของท่านแทน” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
พระชายาฉีโบกมือ “เจ้าพูดมาได้เลย ข้าจะไม่โกรธเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองหน้าหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดของเมื่อวานออกมา พอได้ยินว่าเฮ่อเหลี่ยนบงการให้ผู้ดูแลที่คุมขังวางยาในอาหารเพื่อคิดที่จะทำลายเมิ่งเชี่ยนโยวนั้น อยู่ๆ ก็โมโหเดือดพล่านขึ้นทันที แล้วเอามือตบโต๊ะดังปัง พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “คนที่เทียบไม่ได้กับหมูกับสุนัขเช่นนี้ กล้าบงการให้คนทำเช่นนี้กับเจ้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?”
พระชายาฉีถือกำเนิดมาจากครอบครัวนักรบผู้กล้า ร่างกายจึงมีจิตวิญญาณที่กล้าหาญ พอโมโหเกรี้ยวกราดเช่นนี้ กลับทำให้พวกสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกต่างก็ตัวสั่นกันขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยรอยยิ้มละไมว่า “หม่อมฉันรู้อยู่แล้วว่าพระชายาต้องโกรธ จึงไม่อยากบอกท่าน ดูท่านสิ โกรธจริงๆ ด้วย”
พระชายาฉียังไม่หายจากการโมโห กล่าวว่า “หลายปีมานี้ได้เป็นแค่พระชายารอง คนที่จวนเสนาบดีค่อนข้างไม่พอใจ ทั้งที่มืดและที่แจ้งก็แอบทำอะไรกับข้าไว้มากมาย ข้าไม่มีกะจิตกะใจจะไปสู้กับพวกเขา แต่กลับกลายเป็นว่าไปกระตุ้นความผยองของพวกเขาแทน บัดนี้ถึงขั้นกล้าวางแผนทำอะไรเจ้า พวกเขาคิดจริงๆ ว่าจวนแม่ทัพกินของพวกเรากินหญ้าหรืออย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกล่าวขึ้นว่า “พระชายาคิดผิดแล้วเจ้าค่ะ เรื่องนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับจวนเสนาบดี ท่านเสนาบดีเป็นขุนนางมาหลายปี ทำการรอบคอบ คงไม่ลงมือทำอะไรอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ นี่น่าจะเป็นการตัดสินใจของเฮ่อเหลี่ยนคนไร้สมองผู้นั้นคนเดียว”
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริง คราวนี้ต้องห้ามปล่อยเจ้าคนบัดชบนี้ไปง่ายๆ” พระชายาฉีที่ยังโมโหอยู่กล่าวขึ้นมา “ถ้าพวกเจ้าลงมือไม่สะดวก ข้าจะส่งคนไปทำก็ได้ ถึงหลังจากนี้ถ้าท่านอ๋องทราบก็จะโทษพวกเจ้าไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ขอบพระทัยพระชายาเจ้าค่ะ ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ หม่อมฉันกับอี้เซวียนได้จัดการเขาเรียบร้อยแล้ว”
พระชายาฉีเห็นรอยยิ้มที่ปิดไม่มิดบนใบหน้าของนางเมื่อตอนพูดว่าได้จัดการเฮ่อเหลี่ยนเรียบร้อยแล้ว ก็รู้สึกแปลกใจ จึงระงับโทสะแล้วถามว่า “พวกเจ้าจัดการเขาอย่างไรหรือ?”
คราวนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ปิดบัง แล้วเล่าเรื่องที่จัดการเฮ่อเหลี่ยนในตอนเช้าให้นางฟังด้วยความสนุก
หลังจากที่พระชายาฉีฟังแล้วก็ทนไม่ไหว หัวเราะและพูดขึ้นว่า “ดีดีดี ควรจะจัดการเขาเช่นนี้ ให้เขาเลิกคิดที่จะทำอะไรพวกเจ้าอีก” พูดจบแล้วก็พูดขึ้นอีกว่า “พวกเจ้าทำได้เลยเต็มที่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นข้าจะรับผิดชอบให้พวกเจ้าเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวประหลาดใจ คิดว่าแท้ที่จริงแล้วพระชายาฉีนั้นเป็นคนที่ปกป้องลูกของตัวเองอย่างยิ่ง พวกเขาจัดการกับเฮ่อเหลี่ยนอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ถ้าเป็นคนอื่นทั่วไปก็คงจะตำหนิพวกเขาอย่างแรงแล้ว แต่พระชายาฉีกลับดี ยังยุยงให้พวกเขาลงมือทำได้อย่างเต็มที่ ไม่กลัวเลยว่าพวกเขาจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นมา
พระชายาฉีกล่าวขึ้นอีกว่า “ตอนนี้คนที่ติดตามเจ้าก็บาดเจ็บกันหมด เจ้าก็ไม่มีคนดูแลที่ใช้ได้อยู่ในมือแล้ว จะออกไปทำอะไรข้างนอกก็ไม่สะดวก วันนี้ข้าจะส่งคนให้เจ้าสองคน ต่อไปพวกนางจะติดตามเจ้าไม่ห่างไปไหน ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นก็จะสละชีวิตเพื่อปกป้องเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไปไหนมาไหนโดยลำพังจนชินแล้ว จะต้องการให้คนติดตามตลอดเวลาได้อย่างไร กำลังจะปฏิเสธ พระชายาฉีก็ปรบมือสองครั้ง จากนั้นก็มีสตรีสองคนเดินออกมาจากด้านหลังประตู
สตรีสองคนนี้เดินเหินไร้เสียง มองดูก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่ง
ทั้งสองคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของพระชายาฉี แล้วคุกเข่าลงพร้อมกัน “นายท่าน!”
พระชายาฉีพยักหน้า พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ก็คือองครักษ์เงาที่ท่านพ่อของข้าฝึกฝนไว้ให้ข้าในตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ต่อไปก็ให้พวกนางคอยติดตามปกป้องเจ้าอยู่ใกล้ๆ”
—————————-