ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 60 ปลาบปลื้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวมองคนตรงหน้า เป็นชายสูงวัยอายุราวห้าสิบกว่าปี แต่งกายดีกว่าคนเมืองฝั่งเหนือ ยิ้มถามด้วยความสงสัย “ท่านคือ…”
เห็นนางรับคำ ชายสูงวัยพูดทันควัน “แม่นางไม่รู้จักข้าแล้วหรือ ข้าคือพ่อบ้านของใต้เท้าเปาอย่างไร”
ใต้เท้าเปาที่เมิ่งเชี่ยนโยวรู้จักมีเพียงครอบครัวเปาชิงเหอเท่านั้น ได้ฟังก็ตกใจถาม “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“แม่นางคงยังไม่รู้ สี่ปีก่อน ใต้เท้าเปาถูกโยกย้ายมาอยู่เมืองหลวง ให้มาประจำการปกครองฝั่งเมืองของเหนือ นับแต่นั้นก็อยู่ที่นี่มาตลอดขอรับ” ชายสูงวัยตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความยินดี “ท่านหมายความว่าใต้เท้าเปา คุณชายเปาและพี่ฮุ่ยเอ๋อร์ก็อยู่ที่นี่ด้วย”
ชายสูงวัยมองปฏิกิริยาของนาง หัวเราะร่วนตอบว่า “คุณชายตามแม่ทัพฉู่ไปชายแดน นายท่านฮูหยินและฮูหยินน้อยล้วนอยู่ขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก สี่ปีไม่ได้พบหน้า ข้าคิดถึงพวกเขาจะแย่แล้ว ท่านรีบพาพวกเราไปเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวอย่างเบิกบานใจ
ชายสูงวัยพยักหน้า หันหลังกลับอย่างชื่นบาน เดินนำคนทั้งหมดมายังจวนเปา
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีเดินตามหลัง
คนรถจูงรถม้าเดินรั้งท้าย
ชายสูงวัยเดินไปพูดไปว่า “วันนี้บ่าวที่มีหน้าที่ซื้อผักไม่สบาย ข้าจึงต้องออกมาแทน ไม่คิดว่าจะบังเอิญได้เจอแม่นางเข้า”
“บังเอิญยิ่งนัก หลายวันก่อนข้าเข้ามาที่นี่ตั้งหลายวัน กลับไม่เห็นพวกท่านเลย วันนี้เพราะมีเรื่องให้ล่าช้าระหว่างทาง จึงเพิ่งเข้ามาถึง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
พ่อบ้านได้ฟังก็ยิ้มถาม “แม่นางเข้ามาเมืองหลวงเมื่อใด เหตุใดถึงคิดมาเดินเล่นเมืองฝั่งเหนือเช่นนี้”
“ข้าเข้ามาเมืองหลวงได้ระยะหนึ่งแล้ว ที่มาในวันนี้เป็นเพราะหลายวันก่อนหมายตาโรงงานทิ้งร้างแห่งหนึ่งไว้ คิดจะซื้อไว้ทำประโยชน์อีกครั้ง เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดกับพี่รองว่า กลัวคนของทางการพอได้ยินสำเนียงรู้ว่าเป็นคนต่างถิ่น ก็จะเรียกราคาสูง ครานี้ดีแล้ว เมื่อใต้เท้าเปาเป็นผู้ปกครองเมืองฝั่งเหนือ จะต้องให้ราคาถูกลงกับข้า”
พ่อบ้านหัวเราะร่า “แม่นางพูดถูกต้องแล้ว นายท่านจักต้องช่วยท่านแน่นอน”
พูดคุยกันไป ไม่นานก็มาถึงจวนเปา พ่อบ้านสั่งคนเฝ้าประตู “รีบไปรายงานฮูหยินและฮูหยินน้อย บอกว่ามีแขกคนสำคัญมา”
คนเฝ้าประตูได้ฟัง ก็วิ่งแนบเข้าไปทันที
พ่อบ้านพาคนทั้งหมดเดินเข้ามา
ฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยกำลังนั่งอาบแสงแดดอุ่น มองดูเด็กเล่นซุกซนอยู่ในลานเรือน ได้ยินคำรายงานจากคนเฝ้าประตู ยังให้คลางแคลงใจ นับตั้งแต่ที่พวกเขาย้ายมาอยู่เมืองหลวง ก็ไม่เคยมีใครมาหา เหตุใดวันนี้ถึงมีแขกสำคัญได้ ทว่าก็ลุกขึ้นเดินออกมาต้อนรับ
พ่อบ้านพาคนทั้งหมดเดินเกือบจะมาถึงเรือนฮูหยินเปาแล้ว พอเห็นพวกเขาแม่สามีลูกสะใภ้เดินออกมา ก็ร้องพูดด้วยความยินดี “ฮูหยิน ฮูหยินน้อย พวกท่านดูเถิดว่าใครมา” ว่าแล้วก็เบี่ยงตัวหลบ เผยให้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่เบื้องหลัง
“น้องโยวเอ๋อร์!” ซุนฮุ่ยร้องเรียกด้วยความดีใจ ทั้งวิ่งเข้าไปกอดนางแน่น “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
ฮูหยินเปาก็ให้ดีใจมาก เร่งฝีเท้าเดินเข้าไป “แม่นางเมิ่ง เจ้าทำพวกเราประหลาดใจยิ่งนัก ต่อให้พวกเราหลับฝันก็ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่เมืองหลวงเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวทักทายฮูหยินเปาอย่างอ่อนโยนสุภาพ แล้วพูดว่า “ข้าเข้ามาเมืองหลวงได้ระยะหนึ่งแล้ว ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพวกท่านก็อยู่ที่นี่ วันนี้มีธุระเข้ามา บังเอิญเจอพ่อบ้าน เขาจำข้าได้ เข้ามาทักข้า ข้าถึงได้รู้ว่าที่แท้พวกท่านอยู่กันที่เมืองฝั่งเหนือ”
ซุนฮุ่ยคล้องแขนนางอย่างสนิทสนม พูดว่า “ในตอนนั้นกงกงมีคำสั่งย้ายด่วน พวกเราไม่ทันได้ส่งข่าวบอกเจ้าก็เข้ามาอยู่เมืองหลวงแล้ว สี่ปีมานี้คิดมาตลอดว่า หากได้กลับไปจะไปหาเจ้า แต่หลังจากมาถึง อีฝานก็ต้องตามแม่ทัพฉู่ไปชายแดน ในบ้านไม่มีคนดูแลท่านพ่อสามีแม่สามี หลายปีมานี้แม้แต่บ้านแม่ข้าก็ไม่ได้กลับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปหาเจ้า ครานี้ดีนัก เจ้ามาเมืองหลวงแล้ว ต่อไปพวกเราจะได้พบหน้ากันบ่อยๆ แล้ว”
ฮูหยินเปาก็ยกยิ้มหน้าบาน “ฮุ่ยเอ๋อร์พูดถูกต้อง ต่อไปพวกเราจะได้เจอกันบ่อยๆ แล้ว”
คนทั้งหมดกำลังหัวเราะยินดี เด็กน้อยผิวขาวละออวิ่งออกจากลานเรือนร้องเรียก “ท่านแม่”
ซุนฮุ่ยกวักมือให้เด็กน้อย
เด็กน้อยวิ่งเข้ามาตรงหน้านางอย่างเชื่อฟัง เบิกดวงตากลมโตมองนางอย่างใคร่รู้
“นี่คือม่อเอ๋อร์” ซุนฮุ่ยแนะนำ แล้วหันไปพูดกับเด็กน้อย “ม่อเอ๋อร์ เรียกท่านอาสิ”
ม่อเอ๋อร์ก็ไม่กลัวคนแปลกหน้า เปล่งเสียงใสกังวาน “ท่านอา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มขานรับ ย่อตัวลง อุ้มเด็กน้อยขึ้น
เด็กน้อยยังคงจับจ้องนางอย่างประหลาดใจอยู่ในอ้อมกอดนาง
ซุนฮุ่ยยิ้มพูด “ตั้งแต่พวกเรามาอยู่เมืองหลวง ก็ไม่เคยมีแขกเหรื่อมาหา เขาคงจะประหลาดใจเป็นอย่างมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงหวานกับเด็กน้อย “อาไม่รู้ว่าวันนี้จะได้เจอม่อเอ๋อร์ ไม่ได้เตรียมของขวัญไว้ เอาไว้ครั้งหน้า อาจะนำมาให้เจ้านะ”
“ขอบคุณท่านอา” เด็กน้อยเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งให้เอ็นดูเขา
ฮูหยินเปาบอกเด็กน้อย “ม่อเอ๋อร์ลงมาเถอะ ให้ท่านอาเข้าไปนั่งในเรือน”
เด็กน้อยรับคำ ดิ้นรนลงมาจากอ้อมอกเมิ่งเชี่ยนโยว วิ่งไปข้างฮูหยินเปา
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงแนะนำกับทั้งสองคน “นี่คือพี่รองข้า เมิ่งฉี”
เมิ่งฉีแสดงความเคารพฮูหยินเปา “คารวะฮูหยิน”
ฮูหยินเปาพูดว่า “คุณชายเมิ่งไม่ต้องมากพิธี”
เมิ่งฉีและซุนฮุ่ยแสดงความเคารพกันและกัน
ฮูหยินเปาสั่งสาวใช้ “เจ้าไปตามนายท่านกลับมา บอกว่าแม่นางเมิ่งและพี่รองนางมา ให้เขากลับมารับรองแขก”
สาวใช้รับคำเดินออกไป
ฮูหยินเปาสั่งการพ่อบ้านต่อ “เจ้าพาคุณชายรองไปนั่งที่ห้องรับแขกสักครู่ ไม่นานนายท่านก็กลับมา”
พ่อบ้านรับคำ ผายมือเชิญเมิ่งฉี “คุณชายเมิ่ง เชิญขอรับ”
เมิ่งฉีรู้ว่าพวกนางเพิ่งได้พบกันอีกครั้ง จะต้องมีเรื่องให้ถามไถ่มากมาย พยักหน้า เดินตามพ่อบ้านไปยังห้องรับแขก
ซุนฮุ่ยคล้องแขนเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรักใคร่อีกครั้ง “ไปเถอะ พวกเราเข้าไปคุยในห้อง ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้ามากโขเทียว”
ฮูหยินเปาก็พูดว่า “ใช่ๆๆ รีบเข้าไปในห้อง หาที่นั่งคุยกันให้สบายเถอะ” ว่าแล้ว ก็พาม่อเอ๋อร์เดินมุ่งหน้าไปที่ห้องก่อน
ซุนฮุ่ยและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินคล้อยหลังไป
คนทั้งหมดเข้ามาในห้อง ฮูหยินเปาสั่งสาวใช้ไปชงชาเข้ามา ถึงหันมายิ้มถาม “หลายปีมานี้ แม่นางเมิ่งและครอบครัวสุขสบายดีหรือ”
“ขอบพระคุณในความห่วงใยของฮูหยินเจ้าค่ะ ทุกคนในครอบครัวสุขสบายดี สำหรับข้า ฮูหยินก็เห็นเองแล้ว สบายดีมากเจ้าค่ะ”
ในตอนนั้นหลังจากฮูหยินเปารู้ว่าเด็กที่สกุลเมิ่งเก็บมาเลี้ยงก็คือซื่อจื่ออ๋องฉี ก็ให้ตกอกตกใจ นึกว่าอ๋องฉีจะตกรางวัลพวกเขา ไม่คิดว่าเปาชิงเหอจะบอกนางเรื่องที่ทำให้นางต้องตกใจจนเข่าแทบทรุด ซื่อจื่ออ๋องฉีกลับประกาศต่อหน้าคนมากมายว่าเมิ่งเชี่ยนโยวก็คือว่าที่พระชายาซื่อจื่อในอนาคตของเขา ฮูหยินเปาทั้งตื่นตกใจและตื่นกังวล พูดไม่ออกไปสักพักใหญ่ ตกใจที่ซื่อจื่ออ๋องฉีอายุเพียงเท่านี้ก็รู้จักวางแผนการ กระทำเรื่องทำลายชื่อเสียงเมิ่งเชี่ยนโยว ที่กังวลก็เพราะสองครอบครัวมีสถานะต่างกันราวฟ้ากับเหว เกรงว่าการแต่งงานนี้จะไม่สำเร็จได้โดยง่าย เป็นดังคาด อยู่เมืองหลวงมาหลายปี แม้นางจะคอยถามไถ่ แต่ก็ไม่เคยได้ยินข่าวที่เกี่ยวกับการแต่งงานของซื่อจื่อเลย นางกำลังกลัดกลุ้มใจ ตอนนี้ได้เจอเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ย่อมต้องซักถามเรื่องการแต่งงานของนาง ได้ยินคำตอบนาง ก็ยิ้มพูดว่า “เจ้าอย่าเฉไฉเลย เจ้าก็รู้ว่าข้าถามเรื่องอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมรู้แก่ใจดี ด้วยเพราะฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยเป็นห่วงตนเอง ไม่อาจหนีคำถามนี้พ้นได้ จึงยิ้มตอบกลับ “ไม่ขอปิดบังฮูหยินเปาและพี่ฮุ่ยเอ๋อร์ ข้ามาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เพื่อบีบการแต่งงาน”
ฮูหยินเปาตกตะลึง ร้องถามพลัน “บีบการแต่งงาน บีบใครแต่งงาน”
“ก็การแต่งงานของข้ากับอี้เซวียนอย่างไรเล่า ข้าอายุสิบแปดปีแล้ว อี้เซวียนกลับไม่ส่งข่าวมาสักที ท่านพ่อท่านแม่ต่างกลัดกลุ้มใจ ข้าจึงตัดสินใจ เข้ามาบีบจวนอ๋องฉีให้จัดงานแต่งงาน”
ฮูหยินเปาถลึงตาโต มองนางอย่างตะลึงค้างครู่หนึ่ง “เจ้านี่ช่าง…”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตาหยี “ฮูหยินไม่เคยเห็นสตรีที่กล้ามาบีบให้แต่งงานถึงบ้านเช่นข้าใช่ไหมเจ้าคะ”
ซุนฮุ่ยได้ฟังเบิ่งตาโตถาม “หลายวันก่อนมีข่าวลือโหมสะพัดไปทั่วเมืองหลวงเกี่ยวกับซื่อจื่ออ๋องฉีและสตรีชนบทนางหนึ่ง อย่าบอกว่าเป็นเจ้าดอกนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปยักคิ้วหลิ่วตา ไม่ตอบแต่ถามกลับแทน “ท่านว่าอย่างไรเล่า พี่ฮุ่ยเอ๋อร์”
ซุนฮุ่ยก็ให้ตะลึงงันพูดไม่ออก นั่งนิ่งมองนางครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะออกมา “สวรรค์ รู้หรือไม่ว่าเจ้าได้สร้างเรื่องเป็นที่โจษจันไปทั่วแล้ว หลายวันก่อนเดินไปตามท้องถนน มีแต่เสียงวิพากษ์เกี่ยวกับเจ้าไปทั่ว คนสมองทึบอย่างข้า ในตอนนั้นยังให้เลื่อมใสสตรีนางนี้ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเจ้า ไม่เช่นนั้นข้าคงให้คนไปสืบถามว่าเจ้าพักอยู่ที่ไหนแล้ว” สิ้นเสียงก็ถามขึ้น “เจ้ามีที่พักหรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็มาพักกับพวกเราที่จวนเถอะ”
“ข้าซื้อเรือนไว้ทางฝั่งใต้ของเมือง ตอนนี้อาศัยอยู่ที่นั่น ข้าไม่รบกวนพวกท่านดีกว่า” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
สกุลเปาย้ายเข้ามาเมืองหลวงสี่ปี ย่อมรู้ว่าฝั่งใต้ดีกว่าเมืองฝั่งเหนือ ซุนฮุ่ยจึงไม่ดื้อดึงอีก ถามต่อว่า “เช่นนั้นเหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาเมืองฝั่งเหนือได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่ตนเองจะหาสถานที่เปิดโรงงานที่เมืองฝั่งเหนือ
ฮูหยินได้ฟังก็ให้ยินดี “เรื่องนี้ไม่ยาก เจ้าพึงใจที่ใด ประเดี๋ยวจงบอกใต้เท้าเปา ให้เขาดำเนินการให้เจ้า เจ้าสามารถเริ่มงานได้ทันที”
“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ ข้าหมายตาโรงงานร้างแห่งหนึ่งไว้ ครั้นพอรู้ว่าอยู่ในครอบครองของทางการ ยังลังเลว่าจะซื้อดีหรือไม่”
ฮูหยินเปาซักถามถึงที่ตั้งโรงงาน อยู่ไม่ห่างจากจวนของตนเอง ก็ยิ่งให้ยินดี พูดว่าหลังจากเปิดโรงงาน ให้เมิ่งเชี่ยนโยวมากินข้าวที่บ้านตนเองได้ทุกวัน
คนทั้งหมดพูดคุยสรวลเสเฮฮา เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “ในตอนนั้นข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ได้รับรู้ข่าวสาร กระทั่งได้รู้ว่าครอบครัวพวกท่านย้ายเข้ามาเมืองหลวง เวลาก็ผ่านมานานแล้ว ทำเอาข้าเสียใจไปหลายวัน ภายหลังข้าถามคุณชายเซี่ยถึงที่อยู่ของพวกท่าน เขาบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้ พูดเพียงว่าเมื่อคุณชายเปาลงหลักปักฐานได้แล้วจะเขียนจดหมายมาบอกเอง ไม่คิดว่าสี่ปีมานี้กลับไม่มีข่าวคราวจากพวกท่านเลย”
ฮูหยินเปายิ้มอธิบาย “ใต้เท้าเปามีผลงานดี เดิมควรจะได้ย้ายออกจากอำเภอชิงเหอนานแล้ว แต่เพื่อช่วยแม่ทัพฉู่ตามหาซื่อจื่ออ๋องฉีถึงอยู่ที่อำเภอชิงเหอต่อ ภายหลังตามหาซื่อจื่อพบ พวกเรานึกว่าต้องรอถึงวาระการแต่งตั้งถึงจะถูกโยกย้าย แต่ไม่รู้ว่าแม่ทัพฉู่ใช้วิธีอะไร เขากลับเมืองหลวงมาไม่ถึงห้าวัน เบื้องบนก็มีคำสั่งโยกย้ายใต้เท้าเปา ให้ใต้เท้าเปาเข้ามารับตำแหน่งในเมืองหลวงภายในสามวัน พวกเราเพียงเก็บข้าวของสำคัญ รีบร้อนเดินทางทันที จึงไม่ทันได้บอกลาญาติสนิทมิตรสหายสักคน”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างกังขา “ใต้เท้าเปาอยู่อำเภอชิงเหอมาหลายปี สร้างผลงานไม่น้อย ทั้งมีคุณความชอบช่วยแม่ทัพฉู่ เหตุใดถึงถูกส่งให้มาปกครองเมืองฝั่งเหนือเล่า”
ฮูหยินเปายิ้มตอบ “ตอนที่อยู่ตำบลชิงซี แม่ทัพฉู่ถามใต้เท้าเปาแล้ว ว่าต้องการงานที่กินเล็กกินน้อยได้หรืองานสบาย ใต้เท้าเปาตอบว่างานสบาย หลังจากแม่ทัพฉู่กลับมาเมืองหลวง พอดีกับที่ขุนนางที่ปกครองเมืองฝั่งเหนือกระทำความผิดถูกกรมขุนนางตรวจพบเข้า แม่ทัพฉู่จึงใช้โอกาสนี้เสนอตัวเขา ใต้เท้าเปาฐานะต่ำต้อย ไม่มีพรรคพวกในราชสำนัก ซ้ำยังเป็นคนของแม่ทัพฉู่ หากทำการกินนอกกินใน จะถูกคนจับจ้องได้ ไม่ช้าจะต้องถูกพวกเขาพบข้อผิดพลาด ที่สำคัญที่สุดก็คือเพราะช่วยแม่ทัพฉู่ตามหาคนล่วงเกินพระชายารองและมหาเสนาบดี ดังนั้นเพื่อหลบลี้ภัยอันตราย การปกครองเมืองฝั่งเหนือจึงดีที่สุด แม้เมืองฝั่งเหนือจะแร้นแค้นกว่าฝั่งตะวันออกและฝั่งใต้ไปบ้าง แต่บ้านเมืองเรียบง่าย ผู้คนก็ดีปกครองไม่ยาก ไม่มีเรื่องมั่วสุมยุ่งเหยิง และไม่ต้องใช้เล่ห์เพทุบายหลอกล่อใคร แต่ละวันผ่านไปอย่างเบาสบาย พวกเราเองก็มีชีวิตที่สุขสำราญมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า พูดว่า “เป็นอย่างนี้เอง ข้ายังนึกว่าหลังจากแม่ทัพฉู่จากไปใต้เท้าเปาก็ถูกคนกีดกันจนต้องมาอยู่เมืองฝั่งเหนือ”
ฮูหยินเปายิ้มพูด “แม่ทัพฉู่คิดแทนพวกเราอย่างถี่ถ้วน ไม่เพียงจัดแจงตำแหน่งให้ใต้เท้าเปา ยังให้ฝานเอ๋อร์ตามเขาไปชายแดน หลายวันก่อนฝานเอ๋อร์ส่งจดหมายมาบอกว่า ชายแดนสงบดีแล้ว ไม่แน่ว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะได้กลับเมืองหลวง”
“เช่นนั้นก็ดีมากจริงๆ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยความปลาบปลื้มใจ “อีกไม่นานพวกท่านก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว”
ฮูหยินเปายิ้มพยักหน้า “นั่นสิ สี่ปีแล้ว ในที่สุดฝานเอ๋อร์ก็จะกลับมาเสียที ลูกคนนี้ตั้งแต่เกิดไม่เคยห่างกายข้า ปีแรกที่เขาจากไป ข้าไม่เคยข่มตาหลับได้เลยสักคืน กลัวเขาจะเป็นอะไรกลางสนามรบ หลายปีต่อมา จากจดหมายที่เขาส่งมา บอกว่าเขาปรับตัวกับชีวิตในกองทัพได้แล้ว ทั้งทำคุณความชอบหลายครั้ง จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพ ข้าดีใจเป็นอย่างมาก ถึงหลับได้สนิทขึ้น หวังว่าครั้งนี้แม่ทัพฉู่จะทำพวกเขาเข็ดขยาด ไม่กล้ามาหาเรื่องก่อกวน ฝานเอ๋อร์ก็จะได้ไม่ต้องจากพวกเราไปอีก”
พูดจบก็มองไปที่ซุนฮุ่ย “หลายปีมานี้ก็ลำบากฮุ่ยเอ๋อร์แล้ว”
“ท่านแม่!” ซุนฮุ่ยเปล่งน้ำเสียงกระเง้ากระงอด แสดงท่าทีเยี่ยงลูกสาวในไส้ “มีท่านและท่านพ่อสามีรักเอ็นดูข้า ฮุ่ยเอ๋อร์ไม่ลำบากสักนิด อีกอย่าง อีฝานก็กำลังจะกลับมาแล้ว พวกเราครอบครัวไม่นานก็จะได้อยู่พร้อมหน้ากันแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินเปาแย้มยิ้มพยักหน้า “นั่นสินะ ไม่นานก็จะได้อยู่พร้อมหน้ากันแล้ว”
ซุนฮุ่ยกลัวจะสะกิดต่อมเศร้าของฮูหยินเปา รีบเปลี่ยนเรื่องพูด หันไปถามเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องโยวเอ๋อร์ ไม่นานมานี้เมืองหลวงมีร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งชื่อดังเพิ่มขึ้นอีกร้าน เป็นของเจ้าใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเป็นคนเปิดเอง ครั้งนี้ก็เพื่อเปิดโรงงานทำเส้นแป้งมันฝรั่งถึงได้มาหาสถานที่ดีๆ ทางเมืองฝั่งเหนือ”
“น้องโยวเอ๋อร์ช่างมีความสามารถนัก ไปอยู่ที่ไหนก็โดดเด่น ร้านก๋วยเตี๋ยวของเจ้า เป็นที่โจษจันในเมืองหลวงไม่น้อย ไม่ยินว่าเหล่าเศรษฐีมีเงินต่างตั้งใจเพื่อมากินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งสักชาม”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวพวกเขาจะเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งงานของหวงฝู่อี้เซวียนและหลินหานเยียน รีบพูดขึ้นว่า “เพราะเป็นร้านแห่งแรก ผู้คนต่างรู้สึกแปลกใหม่ อยากลองลิ้มชิมรส พอเวลาผ่านไป ก็คงจะไม่เลื่องลือเช่นนี้แล้ว”
ซุนฮุ่ยส่ายหน้า “อีฝานเคยพูดกับข้าว่า เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นคนทำการค้า ขอเพียงเป็นการค้าในมือเจ้า ไม่มีทางไม่โด่งดังรุ่งเรือง ข้าคิดว่า ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ร้านก๋วยเตี๋ยวของเจ้าก็ยังจะขายดิบขายดีเช่นนี้”
“เช่นนั้นก็ขอให้สมพรปากพี่ฮุ่ยเอ๋อร์เถอะเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
ฮูหยินเปาก็พยักหน้าเห็นพ้อง พูดว่านางทำการค้าเก่ง
ทั้งสามคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ม่อเอ๋อร์ก็ไม่ร้องงอแง เอาแต่ถลึงดวงตาโตสุกสกาวจับจ้องนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งให้ถูกใจ กำลังจะแหย่เย้าเขา พ่อบ้านก็เข้ามารายงาน “ฮูหยิน นายท่านกลับมาแล้วขอรับ พอได้ยินว่าแม่นางเมิ่งและคุณชายเมิ่งจะเปิดโรงงานที่เมืองฝั่งเหนือก็ให้ปีติยินดี บอกให้แม่นางเมิ่งไปพบเขาเพื่อหารือเรื่องนี้ก่อน”
“รู้แล้ว กลับไปรายงานนายท่านว่าแม่นางเมิ่งจะเข้าไปเดี๋ยวนี้” ฮูหยินเปาตอบกลับ
พ่อบ้านรับคำ เดินออกไป
ฮูหยินเปาพูดว่า “ใต้เท้าเปาปกครองเมืองฝั่งเหนือมาหลายปี ปวดหัวกับความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นของผู้คนที่นี่เป็นที่สุด แทบจะทุกครัวเรือนที่ต้องนำลูกหลานออกขาย ใต้เท้าเปาคิดหาหนทางแก้มากมาย แต่ก็ไม่สำเร็จสักอย่าง ตอนนี้ได้ยินว่าเจ้าจะมาเปิดโรงงานที่นี่ ถึงได้ดีใจยกใหญ่ รีบร้อนเรียกเจ้าไปพบโดยด่วนเช่นนี้”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้น พูดกับซุนฮุ่ย “ฮุ่ยเอ่อร์ เจ้าพาแม่นางเมิ่งไปห้องรับแขกแล้วกลับมา พวกเรามาเตรียมอาหารเที่ยงไว้ให้แม่นางเมิ่งกัน”
ซุนฮุ่ยรับคำ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่บอกปฏิเสธ ลุกขึ้นยืน หลังจากกล่าวของคุณฮูหยินเปา ก็เดินตามซุนฮุ่ยมายังห้องรับแขก
ยังไม่ทันเข้าไปในห้อง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะสำราญใจของเปาชิงเหอดังลอยออกมา “หากพวกเจ้าต้องการคนงานจำนวนมากเช่นนั้นจริง เท่ากับช่วยข้าได้มากโขเทียว”