ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 69 ไถ่ตัวเหวินเปียว
ไม่รอให้เหวินเปียวมีปฏิกิริยาตอบสนอง ฮั้วเซียงผิงก็หันหลังวิ่งกลับขึ้นรถม้า สั่งคนรถให้รีบไป
เหวินเปียวมึนงงอีกครั้ง รู้สึกว่าสมองใช้การไม่ได้ ทำไมวันนี้ถึงมีแต่คนแปลกๆ
คนเฝ้าประตูเป็นคนซื่อ ถามออกไปโดยไม่คิด “พี่เหวินเปียว ให้ข้าช่วยเอาสมุนไพรเข้าไปข้างในหรือไม่”
เหวินเปียวตื่นจากภวังค์ ส่ายหน้า “ไม่ต้อง ข้าจะหอบเข้าไปเรือนแม่นางเอง”
คนเฝ้าประตูรับคำ กลับไปยืนหน้าประตู
เหวินเปียวหอบสมุนไพรมาถึงเรือนเมิ่งเชี่ยนโยว จดหมายฉบับนั้นยังวางอยู่ด้านบน
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีกลับเข้ามาในห้อง
สองวันก่อนที่สองนายบ่าวฮั้วเซียงหลิงมาแสดงความขอบคุณ เมิ่งฉีกลับไปเขียนจดหมายในห้องตัวเอง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนนี้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมีสีหน้าผิดปกติ จึงเอ่ยปากถาม “น้องสาว เป็นอะไรไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะพูด กลับไม่รู้ว่าควรบอกเขาอย่างไร ได้แต่เม้มปากพูดว่า “ประเดี๋ยวเหวินเปียวเข้ามา พี่รองก็จะทราบเองเจ้าค่ะ”
ชิงหลวนยกน้ำชาเข้ามาอย่างรู้ความ วางไว้ตรงหน้าคนละถ้วย แล้วถอยออกไป
เหวินเปียวหอบสมุนไพรเดินเข้ามา ชิงหลวนรีบรายงาน “แม่นาง เหวินเปียวมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา!” น้ำเสียงไม่สู้ดีของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยออกมา
จูหลีแหวกม่านออกให้เหวินเปียวหอบสมุนไพรเดินเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวตาไว แวบแรกก็เห็นจดหมายที่วางอยู่ด้านบน ขมวดคิ้วถาม “ที่อยู่ข้างบนนั้นคืออะไร”
เหวินเปียวตอบตามตรง “เป็นจดหมายที่คุณหนูฮั้วมอบให้ข้าขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าราบเรียบ ยังไม่รู้เนื้อความในจดหมายของเขา ก็ให้คลายโทสะลง ปล่อยตัวตามสบาย เอนหลังเข้าหาพนักพิง “หากเจ้าสะดวก เปิดอ่านต่อหน้าพวกเราเถอะ”
เหวินเปียวก็ไม่คิดมาก บรรจงวางสมุนไพรลงบนโต๊ะ เปิดจดหมายออกอ่านอย่างว่องไว ยังอ่านไม่ทันจบ หน้าก็เปลี่ยนสี เงยหน้าพิลึกพิลั่นมองเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง คือว่า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำแล้ววางลง พูดกับเหวินเปียวเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “นายน้อยเหวิน เสน่ห์แรงไม่เบานะ”
เหวินเปียวหัวใจสั่นรัว สมองกระตุก “พลั่ก”ตกใจคุกเข่าลงกับพื้น “แม่นาง นี่ๆ ข้าๆ…”
“นายน้อยเหวินดีใจจนพูดไม่ออกเลยหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถามเยาะหยัน
เหวินเปียวตกใจโบกมือเป็นพัลวัน ลนลานอธิบาย “แม่นาง ข้าไม่รู้เลยว่าคุณหนูฮั้วจะมีความคิดเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นต่อให้ตีข้าให้ตาย ข้าก็ไม่มีทางออกไปพบสาวใช้ของนาง”
เมิ่งฉีคล้ายจะเข้าใจแล้วว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโมโหอะไร มองเหวินเปียวแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร ยกถ้วยชาขึ้นนั่งดื่มเงียบๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวย้อมถามกลับ “ตอนนี้นายน้อยเหวินทราบแล้ว มีความคิดอย่างไรเล่า”
เหวินเปียวติดตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาหลายปี เมิ่งเชี่ยนโยวขานชื่อเต็มเขามาตลอด ไม่เคยทำเช่นวันนี้มาก่อน เอาแต่เรียกเขานายน้อยเหวิน เหวินเปียวรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโมโหแล้ว หมายจะฉีกจดหมายในมือทิ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงขึ้นอีก “นายน้อยเหวินคิดจะทำลายหลักฐานหรือ”
เหวินเปียวหยุดชะงัก ฉีกก็ผิด ไม่ฉีกก็ผิด ร้อนรนจนเหงื่อซึมเต็มหน้าผากแล้ว แม้แต่น้ำเสียงก็ผิดเพี้ยน “แม่นาง ต้องการให้ข้าทำอย่างไร”
“นี่เป็นเรื่องดีของเจ้า ข้าไม่กล้าขวางรั้ง เลี่ยงไม่ให้วันใดเจ้าได้เป็นลูกเขยสกุลฮั้ว จะย้อนกลับมาหาเรื่องข้าได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเนิบนาบ
สิ้นเสียงนาง เมิ่งฉีแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่
เหวินเปียวที่กำลังร้อนใจไม่ทันได้ตรึกตรองความหมายของนาง ร้อนรนพูด “แม่นางล้อข้าเล่นทำไม นางมีอายุไล่เลี่ยกับซงเอ่อร์ ข้าเป็นบิดานางได้แล้ว จะมีความคิดน่ารังเกียจเช่นนั้นได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งไม่เชื่อ โน้มตัวเข้าใกล้เหวินเปียว “ตอนนี้กระแสวัวแก่กินหญ้าอ่อนกำลังเป็นที่นิยมไม่ใช่หรือ มีชายชราวัยเจ็ดแปดสิบปีไม่น้อยรับภรรยาน้อยเป็นนิจ เจ้าที่อยู่ในวัยกลางคน จะหย่าแล้วแต่งใหม่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้”
เหวินเปียวได้ฟังวาจานางยิ่งให้ร้อนรน “แม่นาง ท่านอย่าล้อข้าเล่นเลย แม้ข้าจะไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไร แต่ก็มีความรับผิดชอบ ไม่มีทางหย่าร้างแล้วแต่งงานใหม่เด็ดขาด อีกทั้งตอนนี้ข้ามีสถานะเป็นทาสหลวง ไม่มีทางมีสถานะเปิดเผยในเมืองหลวงได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนตัวตรงพูดว่า “สถานะเป็นเรื่องเล็ก นายท่านฮั้วมีเงิน มีอำนาจ การเปลี่ยนสถานะใหม่ให้เจ้าเป็นเรื่องง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ”
เหวินเปียวเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เชื่อ ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาร้อนใจจนน้ำตาคลอเบ้า แล้ว “ต้องทำอย่างไรแม่นางถึงจะเชื่อว่าข้าไม่มีความคิดเช่นนั้น ขอเพียงท่านพูดออกมา เหวินเปียวจะทำตามทุกอย่างขอรับ”
เมิ่งฉีวางถ้วยชาในมือลง พูดไกล่เกลี่ยแทนเขา “เหวินเปียวอยู่กับพวกเรามาหลายปี เจ้ายังไม่เข้าใจว่าเขาเป็นคนอย่างไรหรือ เขาหาได้มีสันดานเช่นนั้นไม่ เจ้าอย่ากลั่นแกล้งเขาอีกเลย”
เหวินเปียวมองเมิ่งฉีด้วยความซาบซึ้งใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ พูดกับเหวินเปียวเสียงเย็น “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจงฟังข้าให้ดี ข้าเกลียดพวกที่เห็นแก่ลาภยศสรรเสริญ ทอดทิ้งภรรยาเป็นที่สุด หากเจ้ากล้าทำเรื่องที่ผิดต่อฮูหยินเจ้า ไม่ว่าเจ้าเปลี่ยนไปเป็นสถานะใดข้าก็จะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป”
เหวินเปียวรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ “แม่นางวางใจ ข้าไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด”
“งั้นก็ดี เรื่องในวันนี้จะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น จดหมายฉบับนี้เจ้าก็ห้ามเอ่ยกับผู้ใด เลี่ยงไม่ให้คนผู้นั้นพลั้งปากพูดออกไป เรื่องรู้ไปถึงหูคนทางบ้านเจ้า อีกทั้งจากนี้ห้ามพบกับคนสกุลฮั้วอีก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เหวินเปียวรับคำ พอเห็นจดหมายในมือ ก็รีบถามขึ้น “เช่นนั้นจดหมายนี้จะทำอย่างไรขอรับ”
“ทำลายทิ้งซะ ส่วนสมุนไพรพวกนั้น หากข้าดูแล้วเห็นว่ามีประโยชน์กับอาการพวกเจ้า ข้าจะให้คนนำไปให้”
เหวินเปียวรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อว่า “ลุกขึ้นเถอะ ไปบอกคนเฝ้าประตู ต่อไปหากคนในสกุลฮั้วมาหาเจ้า ให้เขาปฏิเสธไปทันที”
เหวินเปียวรับคำ ลุกขึ้น เร่งฝีเท้าเดินออกไป เดินมาถึงลานเรือนถึงถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ ไม่เพียงรู้สึกเย็นชื้นไปทั้งแผ่นหลัง ทั้งเกิดอาการเจ็บแสบบาดแผลทั่วทั้งร่าง ตำหนิว่าคุณหนูฮั้วที่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตนเองชุดใหญ่
เมิ่งฉีได้ยินเสียงฝีเท้าเหวินเปียวจากไปไกล ถึงยิ้มพูด “ครั้งนี้เจ้าทำเหวินเปียวตกใจแย่แล้ว คาดว่าต่อไปจะต้องเอาแต่หลีกลี้หนีหน้าคุณหนูฮั้วเป็นแน่”
“เช่นนั้นดีที่สุด สกุลฮั้วมีอำนาจมากในเมืองหลวง เหวินเปียวไปเกี่ยวข้องกับนางไม่ใช่เรื่องดี”
เมิ่งฉีถามอีกว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูฮั้วมีความรู้สึกเช่นนั้นต่อเหวินเปียว”
“คนที่มองออกมองแวบเดียวก็รู้แล้ว ฮั้วเซียงผิงเองมีอายุย่างสิบแปดปีแล้ว ยังแต่งตัวเป็นสาวแรกรุ่น แสดงว่านางยังไม่แต่งงาน และต่อให้เหวินเปียวมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อนาง นางก็ไม่ควรจะมากับสาวใช้ตามลำพัง กระทำการโฉ่งฉ่าง มาหาเหวินเปียวโดยไม่ปิดบัง หากมีผู้คิดอกุศลเห็น แล้วนำไปพูดต่อ ชื่อเสียงของนางไม่ย่อยยับหมดสิ้นหรือ ท่านต้องรู้ว่า ที่นี่คือเมืองหลวง ชื่อเสียงเปรียบได้ดั่งชีวิตของเหล่าคุณหนูชนชั้นสูง ในเมื่อนางไม่แยแส ก็แสดงว่านางมีใจให้เหวินเปียว ไม่สนใจคำครหานินทาของผู้อื่น”
เมิ่งฉีเติบโตในชนบท แม้หลายปีมานี้จะออกไปทำการค้าในหลากหลายพื้นที่ แต่ก็ได้เจอแต่ผู้ชาย ไม่เข้าใจความนึกคิดเหล่านี้ของหญิงสาวเลย พอได้ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูด ก็อ้าปากค้าง นั่งนิ่งพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสสอนเชิงเขา “พี่รอง ท่านมักจะต้องออกเดินทาง ทางที่ดีอย่าไปข้องแวะกับหญิงสาวเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหากไม่ระวังหาเหามาใส่หัว ถึงตอนนั้นพี่สะใภ้รองถือกระบองไล่ตีท่านไปทั่วหมู่บ้าน ระวังจะไม่มีใครช่วยท่าน”
ภรรยาเมิ่งฉีคือบุตรสาวของเถ้าแก่หวัง ซึมซับการเจรจาการค้าจากเถ้าแก่หวังมาแต่เยาว์ กระทั่งอายุได้สิบเอ็ดสิบสองปีก็เริ่มทำการค้าเอง จึงมีนิสัยดุดันเด็ดขาด แม้ในยามปกติจะดูอ่อนโยนเป็นลูกคุณหนู มีความเป็นแม่ศรีเรือน แต่หากทำให้นางโมโห ต่อให้ต้องวิ่งตามไปสามลี้ก็ต้องตีให้สาแก่ใจ พอคิดถึงภาพตามคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งฉีก็ตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่รู้ตัว ลุกลนพูดว่า “ข้ารู้แล้ว ต่อไปที่ไหนมีผู้หญิงข้าจะหลบลี้ให้ไกล ต่อให้เกิดเรื่องกับพวกนางข้าก็จะไม่เข้าไปช่วย”
“พู่” เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะ “พี่รอง ไม่ร้ายแรงขนาดนั้น ยามต้องช่วยเหลือก็ยังต้องช่วยเจ้าค่ะ”
เมิ่งฉีโบกมือ “ไม่ได้ๆ ผู้หญิงในเมืองหลวงเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ข้าหลบให้ไกลดีกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำอีกครั้ง ลุกขึ้นเปิดกล่องสมุนไพรบนโต๊ะออก มองดูสมุนไพรด้านใน ส่งเสียงร้องจิ๊ๆ “คุณหนูฮั้วไม่เสียดายเงินเลยสักนิด สมุนไพรหายากพวกนี้อย่างน้อยก็ต้องมีราคาหลายพันตำลึง ดูท่าความรู้สึกที่มีให้เหวินเปียวจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว”
เมิ่งฉีไม่กล้าโต้ตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวเลือกสมุนไพรที่เหมาะกับการบำรุงร่างกายออกมา สั่งชิงหลวนนำไปให้เหวินเปียว กำชับพวกเขาให้นำเข้าครัวไปต้มกิน แล้วสั่งจูหลีนำสมุนไพรที่เหลือไปเก็บให้ดี
สองพี่น้องถึงมีเวลาหารือเรื่องที่จะทำต่อจากนี้
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเมิ่งฉี นางต้องการเปลี่ยนร้านผ้าแพรที่มีในตอนนี้เป็นสาขาร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียง พรุ่งนี้จะเข้าไปปรึกษากับหลงจู๊ร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียง
เมิ่งฉีรู้ว่าร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียงเป็นของครอบครัวซุนเหลียงไฉ และรู้ว่าซุนเหลียงไฉฝากฝังร้านผ้าแพรนี้ไว้กับนางแล้ว จึงไม่คัดค้าน
บ่ายวันนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขามีธุระ จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หารู้ไม่ว่า หวงฝู่อี้เซวียนในตอนนี้แทบจะฆ่าคนได้อยู่แล้ว
ที่แท้หลังจากได้ยินที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเมื่อวาน พอหวงฝู่อี้เซวียนกลับถึงจวน ก็ให้คนสนิทไปสืบความ จนได้ความว่าพระชายารองนำเงินของจวนให้เฮ่อเหลี่ยนไปปล่อยกู้ นี่เป็นความผิดมหันต์เกี่ยวพันถึงชะตาชีวิตของคนหลายร้อยชีวิตภายในจวน หวงฝู่อี้เซวียนทั้งโมโหและให้กังขา พระชายารองเอาความกล้าจากไหนมาทำเรื่องเช่นนี้
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งขบคิดใคร่ครวญภายในห้องอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจเก็บงำเรื่องนี้ไว้ ไม่บอกอ๋องฉีและพระชายาเอก รอดูว่าวันที่พระชายารองมอบสิทธิ์อำนาจคืนจะรวบรวมเงินส่วนกลางได้ครบหรือไม่ หากว่าครบถ้วน เขาจะยอมปล่อยนางไป หากว่าไม่ครบ ค่อยบอกเรื่องนี้แก่อ๋องฉี
วันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีออกมาสำรวจโรงงานเมืองฝั่งเหนือ เห็นหลังคาซ่อมเสร็จสมบูรณ์ เหล่าคนงานกำลังเก็บทำความสะอาดเศษใบไม้ในลานเรือน หลังจากสั่งงานบ่าว ทั้งสองก็ตรงไปร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียง
ซุนเหลียงไฉเคยพาเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาหลายครั้ง ทั้งบอกหลงจู๊ว่า ช่วงระยะเวลานี้ตนเองจะมาไม่ได้ การค้าทั้งหมดภายในร้านให้เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนจัดการ หากหลงจู๊เจอปัญหาอะไร ให้มาขอให้นางช่วยแก้ไขให้
ทั้งสองมาถึงร้านผ้าแพร หลงจู๊ปฏิบัติกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างพินอบพิเทาราวกับเป็นนายท่านเจ้าของร้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเรื่องที่ตัวเองคิด ทั้งบอกหลงจู๊ว่า ร้านของตนเองจะติดป้ายชื่อร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียง ทำเป็นร้านสาขาของพวกเขา ราคาขายผ้าแพรก็เหมือนกับพวกเขา แต่การนำเข้าสินค้ากลับมีสองแบบ แบบแรกคือรับสินค้าที่มีราคาสูงกว่าสองเท่าของราคาทุนจากที่นี่ ไปขายที่ร้าน อีกแบบก็คือรับสินค้าในราคาทุนจากที่นี่ แล้วหารือกันว่าจะแบ่งกำไรกี่ส่วน
ร้านของเมิ่งเชี่ยนโยวตั้งอยู่ในย่านที่ดีที่สุดของเมืองหลวง ซุนเหลียงไฉกำชับหลงจู๊มาหลายปีแล้ว ให้หาร้านในละแวกนั้นเปิดร้านสาขา แต่ก็ไม่เคยประสบจังหวะเหมาะ ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ หลงจู๊ย่อมปีติยินดี พูดทันทีว่าวิธีที่สองเหมาะสมกว่า สำหรับการแบ่งสัดส่วนกำไรนั้น ให้เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนจดหมายไปปรึกษากับซุนเหลียงไฉเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า บอกหลงจู๊ว่า ตนเองได้สั่งคนจัดเก็บผ้าแพรในร้านแล้ว ให้พวกเขาเตรียมสินค้าให้เรียบร้อย อีกสามเดือนก็จะเป็นวันปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่จะได้กอบโกยกำไรก้อนโต
หลงจู๊ทำการค้ามาหลายปี ย่อมเข้าใจตรรกะนี้ รีบพูดว่าในโกดังยังมีสินค้าคงคลังอยู่มาก หากร้านพวกเขามีพื้นที่ว่าง ให้ลำเลียงไปขายก่อน ส่วนเขาจะรีบสั่งสินค้าชุดใหม่ทันที
พอจัดการเรื่องเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีก็มาที่ร้านตัวเอง บอกข่าวนี้กับพวกเขา ทั้งสั่งพวกเขาให้จัดการผ้าแพรในร้านให้เสร็จโดยไว
ร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียงเป็นสถานที่ที่เหล่าเหนียงเหนียง กุ้ยเหรินในวังยังต้องส่งคนออกจากวังมาสั่งทำเป็นพิเศษ ทั้งเมื่อเอ่ยถึงไม่มีฮูหยินคุณหนูในเมืองคนไหนที่จะไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ บัดนี้ร้านของตนเองจะได้เป็นร้านสาขาของพวกเขา อย่าว่าแต่หลงจู๊ แม้แต่พนักงานก็พลันรู้สึกถึงสถานะที่เพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ ต่างยืนยันว่าจะรีบจัดแจงสินค้าในร้านให้เรียบร้อย เพิ่มพื้นที่ว่างออกมา
หลังจากสั่งการเรียบร้อย ทั้งสองก็นั่งรถม้ากลับจวน
หลงจู๊และพนักงานมองรถม้าค่อยๆ ไกลออกไป เกิดความกังขา สองพี่น้องนี้เป็นใครมาจากไหน ไม่เพียงมียอดฝีมือข้างกาย ยังได้เป็นคู่ค้ากับร้านดังอย่างร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียงได้
ขบวนรถม้าเดินทางไปสามวันแล้ว คาดว่าจะต้องเพิ่งถึงบ้าน หากพักผ่อนหนึ่งคืน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาสามวันถึงจะกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวที่คิดว่าหลายวันนี้มีเวลาว่าง จึงให้ชิงหลวนไปร้านยาเต๋อเหริน บอกเหวินซื่อว่าตนเองเตรียมสิ่งของทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว ให้ฮูหยินเหวินเข้ามารับการรักษาได้ทุกเมื่อ
ชิงหลวนรับคำ หันหลังเตรียมจะไปร้านยาเต๋อเหริน คนเฝ้าประตูก็เข้ามารายงาน “นายหญิง ด้านนอกมีคนบอกว่าเป็นนายท่านฮั้วมาขอพบขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักอึ้ง แล้วยิ้มขึ้นพลัน “ดูท่าสกุลฮั้วจะตัดสินใจยกบุตรสาวให้แต่งกับเหวินเปียวแน่แท้แล้ว บุตรสาวเขียนจดหมายไม่สำเร็จ บิดาจึงต้องเข้ามาด้วยตนเอง” สั่งการชิงหลวนทันที “เจ้ายังไม่ต้องไปร้านยาเต๋อเหริน ไปตามคุณชายรองออกมา” จากนั้นหันไปสั่งจูหลี “ไปบอกเหวินเปียวว่านายท่านฮั้วมาหา ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีอะไร จะต้องแสร้งทำเหมือนคนเจ็บเจียนตายให้ได้”
ทั้งสองรับคำ รีบเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สั่งการ คนเฝ้าประตูไม่กล้าออกไป คอยยืนรับคำสั่งในลานเรือน
กระทั่งเมิ่งฉีเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวถึงสั่งเขา “เชิญนายท่านฮั้วไปที่ห้องรับแขก”
คนเฝ้าประตูรีบกลับไปหน้าประตู เชิญนายท่านฮั้วเข้ามาด้วยความอ่อนน้อม
หลังจากคนเฝ้าประตูออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็บอกเรื่องที่นายท่านฮั้วมาขอพบกับเขา พูดเสียงเย็นว่า “ข้าได้เปิดโลกทรรศน์แล้ว สกุลใหญ่โตกระทำการไม่เหมือนใครจริงๆ แม้แต่เรื่องคู่ครองของบุตรสาว บิดาก็มาเจรจาด้วยตนเองได้”
เมิ่งฉีเห็นนางคล้ายว่าจะเริ่มมีโทสะแล้ว พูดตักเตือน “จุดประสงค์การมาของนายท่านฮั้วยังไม่แน่ชัด บางทีอาจจะมาเยี่ยมเหวินเปียวอย่างบริสุทธิ์ใจ เจ้าอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ พวกเรารู้ให้กระจ่างก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวสูดลมหายใจเข้าลึก สะกดกลั้นโทสะลงไป ลุกขึ้นเดินออกมารอนายท่านฮั้วหน้าห้องรับแขก
นายท่านฮั้วตามคนเฝ้าประตูมาถึงห้องรับแขก เห็นชายหญิงอ่อนเยาว์คู่หนึ่งยืนหน้าประตู คิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นสองพี่น้องเมิ่งนายของเหวินเปียว จึงประสานมือเปล่งเสียงพูดว่า “คุณชายเมิ่ง แม่นางเมิ่ง ตัวข้ามารบกวนโดยพลการแล้ว”
เมิ่งฉีรีบโน้มตัวตอบรับ “นายท่านฮั้วทำพวกเราอายุสั้นแล้ว ผู้น้อยไม่อาจรับการคำนับนี้ได้”
นายท่านฮั้วหัวเราะร่วน
เมิ่งเชี่ยนโยวประเมินเขา บุรุษในวัยห้าสิบปีเศษ รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าอ่อนโยนมีเมตตา ภูมิฐานสุภาพ ไม่มีมาดของพ่อค้าเลยแม้แต่น้อย ลอบชมเชยในใจ พ่อค้าที่มาถึงขั้นนี้ได้ ถือว่าหาได้ยากยิ่งนัก การที่สกุลฮั้วทำการค้าได้ประสบความสำเร็จเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย
นายท่านฮั้วก็มองประเมินพวกเขาอย่างเงียบๆ
เมิ่งฉีผายมือเชื้อเชิญ “นายท่านฮั้ว เชิญด้านใน”
นายท่านฮั้วก็ไม่เกรงใจ ยกเท้าเดินเข้าไป บ่าวที่ยกของขวัญด้านหลังก็ตามเข้าไปด้วย หลังจากวางของขวัญลงบนโต๊ะ ก็ถอยออกไป
ทั้งสามนั่งดีแล้ว เมิ่งฉีสั่งสาวใช้ยกชาเข้ามา
นายท่านฮั้วเป็นคนตรงไปตรงมา พอสาวใช้ถอยออกไป ก็เอ่ยปากพูดทันที “ที่ข้ามาวันนี้ เพราะต้องการไถ่ตัวเหวินเปียวจากแม่นาง ไม่ว่าเงื่อนไขคืออะไรก็ตกลง”