ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 81 จะเป็นใคร
“พรืด” เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะออกมา “หากเจ้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขา คาดว่าเขาจะต้องจับเจ้าโยนออกไปเป็นแน่”
เฝิงจิ้งซูตื่นตกใจ ถลึงตาโตถาม “ซื่อจื่อชอบทำร้ายคนหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวร่องอหาย
เฝิงจิ้งซูไม่เข้าใจ มองหน้าด้วยใบหน้างุนงง
เหวินฮูหยินหลุดขำ หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสาวขลาดเขลาของข้ามักจะเชื่ออะไรง่ายๆ ท่านพ่อท่านแม่ข้าได้แต่กลัดกลุ้ม ด้วยนิสัยเช่นนี้ของนางภายหน้าจะได้สามีเช่นไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามกลั้นขำ “คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่ ไม่แน่ว่าต่อไปน้องซูเอ๋อร์จะได้เจอกับคนที่รักทะนุถนอมนางก็ได้ อาซ้ออย่าเป็นห่วงไปเลย”
“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ ท่านแม่ข้าเคยเฟ้นหาบ้านสามีให้นางแล้ว แต่หาอย่างไรก็ไม่เหมาะสม กลุ้มใจจนผมจะขาวหมดศีรษะแล้ว” เหวินฮูหยินกล่าว
เฝิงจิ้งซูถึงรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเพียงแหย่เย้าตนเอง แต่ก็ไม่โกรธ แย้มยิ้มพูดว่า “ท่านแม่เป็นห่วงไปเอง ข้าบอกแล้วว่าข้ายังเด็ก ผ่านไปอีกสองสามปีค่อยหาสามีให้ข้าก็ยังไม่สาย”
“เจ้าอายุสิบหกปีแล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะกลายเป็นสาวแก่ ใครจะมาขอเจ้าอีก” เหวินฮูหยินพูด
เฝิงจิ้งซูไม่แยแส “ไม่มีใครมาขอก็ดี ข้าจะได้เป็นสาวแก่ อยู่ที่บ้านกับท่านพ่อท่านแม่ตลอดไป”
เหวินฮูหยินส่ายหน้าแหนงหน่าย หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “นางไม่เคยอนาทรร้อนใจกับสิ่งใด ท่านพ่อท่านแม่ได้แต่กุมขมับ”
“น้องซูมีคนจิตใจดี ร่าเริงน่ารัก จะต้องมีคู่ครองที่ดี”
“ขอให้สมพรปากน้องสาวเถอะ หากวันใดนางมีกำหนดการแต่งงานแน่ชัด ท่านพ่อท่านแม่จะได้คลายความทุกข์ใจนี้ได้เสียที”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งชิงหลวนยกน้ำชาเข้ามาสามถ้วย เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยชาขึ้น จิบหลายคำแล้ววางลง ยิ้มถาม “อาซ้อ เรื่องที่ข้าบอกท่านเมื่อวาน ท่านกลับไปพูดกับนายท่านเหวินแล้วหรือไม่”
เหวินฮูหยินกำลังดื่มชา ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามเกือบจะสำลักออกมา ใบหน้าแดงฝาดฉับพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาของนาง เกิดความคิดอยากแหย่เย้า ยิ้มพูดว่า “อาซ้อคิดไปถึงไหนแล้ว ข้าเพียงถามว่าท่านได้พูดกับนายท่านเหวินแล้วหรือไม่ ให้เขาออกมาควบคุมดำเนินการทุกอย่าง ส่วนท่านก็กลับไปอาศัยอยู่บ้านแม่หนึ่งเดือน”
เหวินฮูหยินยิ่งหน้าแดงก่ำ มือที่ยกถ้วยชาขึ้น ไม่รู้ว่าจะดื่มหรือไม่ดื่มดี ครู่หนึ่งถึงพูดเสียงเบาว่า “ท่านพี่เข้าไปคุยกับท่านปู่แล้ว ท่านปู่ได้ฟังก็ดีใจมาก รับปากรับคำทันที ส่วนเรื่องที่ให้ข้ากลับไปอาศัยอยู่บ้านแม่…” พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงยิ่งเบาลงกว่าเดิม “ท่านพี่รับคำแล้ว วันนี้พอข้าเข้ารักษาเสร็จก็สามารถกลับบ้านแม่ได้ทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นนางเขินอายจนแดงอาบไปทั้งลำคอ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่พูดหยอกเย้านางอีก “แบบนี้ดีที่สุด ต่อไปเจ้าจะได้มาหาข้าที่นี่ทุกวัน”
เหวินฮูหยินพยักหน้า “ข้าบอกท่านพี่แล้ว ต่อไปไม่ต้องให้เขามาด้วย ข้าจะมากับซูเอ๋อร์ก็เอง”
เฝิงจิ้งซูฟังพวกนางคุยธุระ ก็ไม่พูดแทรก นั่งดื่มชาเงียบๆ อีกด้าน
กระทั่งเหวินฮูหยินกลับสู่สภาพปกติ พักผ่อนพอประมาณแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดว่า “พวกเราเริ่มกันเถอะ”
เหวินฮูหยินพยักหน้า เดินไปข้างเตียงโดยไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง พอเห็นผ้านวมบนเตียงก็ตบหน้าผากตัวเอง “ข้าว่าแล้วว่าต้องลืมอะไร ที่แท้ก็ลืมนำผ้านวมที่เตรียมไว้มาด้วย”
“ไม่ต้องเอาผ้านวมมาดอก หากอาซ้อไม่รังเกียจใช้ของข้าก็ได้แล้ว ผ้านวมของข้าดีกว่าของคนอื่น เป็นผ้านวมที่ท่านแม่ทำให้ข้าก่อนข้าจะมาเมืองหลวง นุ่มอุ่นมากทีเดียว”
เหวินฮูหยินร้องตกใจ “ท่านป้าเตรียมให้เจ้าแม้แต่สิ่งนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะบอกสิ่งของสองรถใหญ่ที่เมิ่งชื่อเตรียมให้นางก่อนจะมาเมืองหลวง สุดท้ายบอกว่า “หากไม่เพราะได้พี่สะใภ้ใหญ่ห้ามไว้ คาดว่าท่านแม่จะต้องเตรียมชุดให้ข้าใส่ไปได้อีกห้าปีนำมาด้วย”
“ท่านป้ารักใคร่เจ้านัก” เหวินฮูหยินพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความภูมิใจ “แน่นอน ลูกทั้งสามคนของท่านแม่ มีข้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว จึงรักเอาใจข้าเป็นที่สุด หากไม่ใช่พวกเขาที่กำหนดการแต่งงานของข้าและอี้เซวียนขึ้น ไม่แน่ว่าพวกเขาก็คงไม่ยอมให้ข้าจากมาไกลเช่นนี้”
“ท่านแม่ข้าก็เช่นกัน” เฝิงจิ้งซูกล่าว “บอกจะไม่ยอมให้ข้าแต่งไปไกล บอกว่าบ้านว่าที่สามีข้าอยู่ยิ่งใกล้ยิ่งดี”
เหวินฮูหยินเลิกผ้านวมบนเตียงออกแล้ว แล้วถอดเสื้อตัวบนออกเหมือนเมื่อวาน พูดว่า “เจ้าไม่เหมือนน้องโยวเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนไม่คิดอะไร ท่านพ่อท่านแม่กลัวเจ้าแต่งไปไกล ถูกใครรังแกจะไม่มีคนช่วย”
เฝิงจิ้งซูแลบลิ้นปลิ้นตา นั่งไม่พูดอะไรอยู่อีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งข้างเตียง เริ่มจากจับชีพจรให้นาง จากนั้นหยิบเข็มเงินออกมา “วันนี้พวกเราจะฝังเข็มก่อน ประเดี๋ยวข้าจะให้สาวใช้ไปต้มยาให้ท่าน”
เหวินฮูหยินพยักหน้า “แล้วแต่น้องโยวเอ๋อร์เถอะ”
เมื่อวานได้ฝังเข็มแล้ว วันนี้เหวินฮูหยินจึงไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ ร่างกายผ่อนคลาย เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็คล่องมือขึ้นบ้าง ใช้เวลาน้อยกว่าเมื่อวานก็ฝังลงบนจุดชีพจรทั้งหมดเสร็จเร็วกว่าเมื่อวาน แล้วห่มผ้าให้นางถามขึ้น “เมื่อวานพออาซ้อกลับไป นานแค่ไหนถึงไม่รู้สึกว่ามดลูกร้อนวูบวาบอีก”
“พอกลับไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ความรู้สึกนั้นก็หายไปสิ้น แต่ก็ไม่เย็นวาบจนทนไม่ได้เหมือนก่อนอีก อีกทั้งเมื่อวานพอกลับไป ร่างกายก็ไม่หนาวสะท้านแล้ว”
“แสดงว่าสุขภาพของท่านดีกว่าที่ข้าคิดไว้ ไม่แน่ว่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก็จะกลับคืนสภาพเดิมได้”
เหวินฮูหยินได้ฟังเบิกตาโตด้วยความยินดี “จริงหรือ น้องโยวเอ๋อร์ มีทางรักษาข้าให้หายจริงๆ นะ”
“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า เรามาดูผลการรักษาหลังจากผ่านไปสักครึ่งเดือน ก็จะมีข้อสรุปเอง อาซ้อไม่ต้องใจร้อน อดทนรอก่อนเถอะ”
“ข้าไม่ใจร้อน ขอเพียงมีความหวัง ต้องใช้เวลานานแค่ไหนข้าก็ยินดี”
เฝิงจิ้งซูเดินมาข้างเตียง หยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาซับเหงื่อบนหน้าให้เหวินฮูหยิน
เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงร้องเรียก “ชิงหลวน!”
ชิงหลวนรับคำเดินเข้ามา
“เจ้าไปเฝ้าสาวใช้ต้มยาให้ฮูหยินเหวินแล้วยกเข้ามาด้วยตัวเอง”
ชิงหลวนรับคำ เดินออกไป
ทั้งสามเริ่มพูดคุยสัพเพเหระ
เฝิงจิ้งซูถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่ารู้จักพี่เขยได้อย่างไร
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองไปเจอฉั่งฉิก นำไปขายให้ร้านยาเต๋อเหริน บังเอิญได้พบแม่ทัพฉู่และเหวินซื่อที่ร้านยาเต๋อเหรินเข้าพอดีให้พวกนางฟัง
เหวินฮูหยินเป็นกุลสตรีเรียบร้อยอ่อนหวาน ไม่เคยถามเรื่องในอดีตของเหวินซื่อมาก่อน เฝิงจิ้งซูเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน สองพี่น้องฟังเมิ่งเชี่ยนโยวเล่าอย่างตั้งใจ เปล่งเสียงร้องอุทานออกมาเป็นระยะ โดยเฉพาะตอนฟังเรื่องหมอชราพาคนขึ้นเขาไปลำเลียงสมุนไพร ถูกนางหักเงินเป็นรถม้าสองคัน นั่งงอแงไม่ยอมบนพื้น ต่างหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
ทั้งสามคุยไปหัวเราะไป เวลาครึ่งชั่วยามกว่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งเชี่ยนโยวถอนเข็มทั้งหมดออก นำไปวางเรียงอย่างระวัง ถามขึ้น “วันนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
เหวินฮูหยินวางมือแนบท้อง พูดอย่างประหลาดใจ “คล้ายว่าจะร้อนกว่าเมื่อวาน อุ่นสบายท้องยิ่งนัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีใจเป็นอย่างมาก “ดูท่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ นับจากนี้ไป อาซ้อจะต้องปฏิบัติตามที่ข้าบอกให้ขึ้นใจ ห้ามกินอะไรโดยไม่ระวังเด็ดขาด”
เหวินฮูหยินที่คิดมาตลอดว่าเพราะตัวเองกินของที่ไม่ควรกิน ทำให้คลอดลูกตายออกมา ก็เสียใจจนพูดไม่ออกแล้ว ต่อให้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กำชับนางก็ไม่กล้ากินสะเปะสะปะอีก ได้ฟังก็พยักหน้า “น้องโยวเอ๋อร์วางใจเถอะ ข้าจะไม่กินสะเปะสะปะอีกแล้ว”
ชิงหลวนยกยาที่ต้มเสร็จแล้วเข้ามา เหวินฮูหยินแต่งตัวเรียบร้อย ลุกขึ้นนั่งดื่มยาจนหมด แล้วเอ่ยปากบอกลา
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเป็นเพราะหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ด้วย พวกนางถึงรีบร้อนจากไป จึงไม่ดึงรั้ง สั่งชิงหลวนนำยาอีกหนึ่งเทียบเข้ามา มอบให้นาง แล้วเดินออกมาส่งสองพี่น้องถึงหน้าประตูจวน มองดูพวกนางนั่งรถม้าออกไปไกลแล้ว ถึงเดินกลับเข้ามาห้องตัวเอง
หวงฝู่อี้เซวียนได้เข้ามารอในห้องแล้ว เห็นนางเข้ามาพูดด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ “ต่อไปให้พวกนางเข้ามาช่วงเช้า ข้ารอที่นั่นเบื่อจะแย่”
“ปกติพวกนางจะเข้ามาช่วงเช้า เพียงแต่ว่าวันนี้ข้ามีธุระถึงให้คนไปบอกพวกนางให้เข้ามาตอนบ่าย”
หวงฝู่อี้เซวียนได้ฟังก็คลี่ยิ้มสรวล “ตอนนี้ข้าไม่ต้องไปกั๋วจื่อเจี้ยนแล้ว ต่อไปหากไม่มีธุระอันใด ข้าจะเข้ามาที่นี่บ่อยๆ”
“ตามใจเจ้า แต่ว่า ข้าคงไม่ได้อยู่บ้านตลอด โรงงานเพิ่งจะเปิด ที่ดินร้างก็เริ่มลงมือทำงาน ส่วนร้านก๋วยเตี๋ยวข้าก็ไม่ได้เข้าไปนานแล้ว จะทิ้งให้พี่รองและพี่เมิ่งอี้ทำทั้งหมดนี้ แล้วข้านั่งเป็นหลงจู๊ชี้นิ้วไม่ได้”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว “เหวินเปียวมิได้คอยดูแลที่ดินร้างหรือ ให้เขาไปจัดการก็ได้ เขาติดตามเจ้ามาหลายปี เรื่องเล็กแค่นี้หากทำไม่ได้ ก็เสียแรงเจ้าที่ช่วยเขาล่วงเกินเหวินฮูหยินและนายท่านฮั้วแล้ว”
“เหวินเปียวย่อมดูแลได้เป็นอย่างดี แต่ช่วงเริ่มต้นจะต้องไปดูบ่อยๆ เมื่อจัดการเรื่องทั้งหมดเข้าที่เข้าทางแล้ว ข้าถึงจะเข้าไปเมื่อจำเป็น ตอนนี้ทางโรงงานก็เปิดแค่โรงงานทำแป้งมันฝรั่ง โรงงานกุนเชียงและโรงงานเนื้อรมควันรวมถึงโรงงานน้ำมันพริกล้วนยังไม่ได้เปิดทำการ เหล่านี้ล้วนต้องให้ข้าไปดูด้วยตัวเอง ยังมีร้านผ้าไหมของซุนเหลียงไฉ ร้านผ้าไหมของข้า ทั้งหมดล้วนต้องเข้าไปจัดการ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้ว่าเรื่องพวกนี้ล้วนต้องให้เมิ่งเชี่ยนโยวไปจัดการด้วยตัวเอง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “หมายความว่าคงอีกสักพักใหญ่ที่เจ้าจะไม่มีเวลาให้ข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาเริ่มไม่พอใจ รีบพูดปลอบเขา “มีสิ เจ้าไปด้วยกันกับข้าได้”
คงต้องทำเช่นนี้แล้ว หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าอย่างแหนงหน่าย
ช่วงเวลาต่อจากนั้น เป็นจริงดั่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด ตอนเช้ารักษาอาการให้เหวินฮูหยินที่บ้าน ตอนบ่ายไปจัดการเรื่องที่ร้านผ้าไหมและแปลงดิน
ซุนเหลียงไฉตอบกลับจดหมายหลงจู๊ร้านผ้าไหมหวิ๋นเซียงมาแล้ว บอกว่าเรื่องขยายสาขาร้าน ให้ว่าตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวต้องการทั้งหมด เขาจะรับผิดชอบเพียงกักตุนสินค้าให้เพียงพอเท่านั้น
ตอนที่ซุนเหลียงไฉเข้ามาเมืองหลวงก็ฝากฝังร้านผ้าไหมแก่เมิ่งเชี่ยนโยวไว้แล้ว ครั้งนี้ได้ทำการเน้นย้ำอีกครั้ง หลงจู๊ย่อมไม่กล้าล่าช้า ให้พนักงานมาเชิญเมิ่งเชี่ยนโยว บอกเรื่องที่ซุนเหลียงไฉฝากความมาแก่นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบกลับมาร้านตัวเอง สั่งหลงจู๊ถอดป้ายเดิมลงมา แล้วนำป้ายสาขาร้านผ้าไหมอวิ๋นเซียงที่เพิ่งสั่งทำขึ้นไปแขวนแทน ทั้งเลือกหาวันดีเพื่อเปิดร้าน
ใกล้จะปีใหม่เข้าไปทุกที คุณหนูฮูหยินแต่ละสกุลเริ่มสั่งผ้ามาตัดชุดปีใหม่กันแล้ว พอร้านสาขาเปิดดำเนินการ ก็ยิ่งดึงดูผู้คนเข้ามาไม่น้อย ขายดิบขายดียิ่งกว่าร้านสาขาใหญ่เสียอีก
หลงจู๊และพนักงานแม้จะยุ่งกันมาก แต่ทุกคนต่างก็มีความสุข เพราะเมิ่งเชี่ยนโยวให้สัญญากับพวกเขา หากทำกำไรได้มาก ตอนปีใหม่จะให้อั่งเปาทุกคนอย่างต่ำห้าตำลึงเงิน
พนักงานได้ค่าแรงเดือนละสองตำลึง เงินห้าตำลึงเกือบจะเท่ากับค่าแรงสามเดือนของพวกเขา พนักงานย่อมดีใจหน้าชื่นตาบาน ต่างทำงานถวายชีวิต แม้จะวิ่งวุ่นจนเท้าแทบไม่ติดพื้น แต่ก็ยังต้อนรับลูกค้าทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจสอบดูอีกหลายวัน เห็นว่าการค้าเข้ารูปเข้ารอยดี จึงมอบงานทั้งหมดให้หลงจู๊ บอกว่าตนเองจะเข้ามาตรวจสอบบัญชีวันเว้นวัน
ในร้านจะมีเงินเข้าวันละอย่างน้อยหลายพันตำลึง อย่างมากก็ถึงหมื่นตำลึง เมิ่งเชี่ยนโยวมอบหมายให้เขาอย่างไว้วางใจ หลงจู๊รู้สึกได้รับความเชื่อมั่นอย่างสูงจากนาง ตบหน้าอกรับประกันว่าจะทำให้กิจการของร้านเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งจะทำบัญชีอย่างละเอียดชัดเจน
สำหรับเรื่องแปลงดินนั้น พวกเหวินเปียวรับผิดชอบได้อย่างสบาย เมิ่งเชี่ยนโยวจึงวางใจมอบให้เขาทำ
คนงานในโรงงานมันฝรั่งก็เริ่มลงมือทำงานแล้ว เมิ่งฉีไม่ยุ่งเหมือนก่อน แต่ละวันเพียงเข้าไปเดินดูในโรงงาน สบายตัวขึ้นมาก
พอคิดว่าพวกคนบ้านต่างมีความเป็นอยู่แร้นแค้น รอเงินค่าแรงไปซื้อข้าวสารกรอกหม้อ เมิ่งฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวปรึกษากันให้จ่ายค่าแรงทุกห้าวัน โดยเรื่องนี้จะมอบให้กัวเฟยที่อาการบาดเจ็บหายเกือบเป็นปกติแล้ว