ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 103 ความคิดอันไร้ประโยชน์ที่จนใจ
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 103 ความคิดอันไร้ประโยชน์ที่จนใจ
หลังจากฮั่วเจี่ยได้ยิน ตะคอกเสียงดังออกมาทันทีว่า “เจ้า…” เลือดพุ่งออกมาจากปาก ร่างกายโน้มตัวลงไปข้างหน้า เสียงล้ม ตุ้บ กระแทกลงบนพื้นทันที หลังจากดิ้นรนไม่กี่ที ก็เพ่งมองหลิวอวี้เอ๋อร์ด้วยตาโต กลืนลมหายใจสุดท้ายลงไป
ทุกคนต่างตกใจกับภาพนี้ จนไม่รู้สึกตัวไปชั่วขณะ
กรี้ด… หลิวอวี้เอ๋อร์ร้องออกมาด้วยความตกใจ รีบล้มลุกคลุกคลานไปที่ๆ นายน้อยอู่โหวนั่งอยู่ทันที หลบอยู่หลังเก้าอี้ของเขาด้วยความสั่นกลัว
ทุกคนตื่นตกใจขึ้นมา เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก้าวออกมา ยื่นมือสั่นๆ ออกไปพิสูจน์ลมหายใจที่จมูกของฮั่วเจี่ย ไม่มีลมหายใจแม้แต่น้อย ลุกขึ้นยืน แล้วรายงานด้วยความเคารพว่า “ใต้เท้า ฮั่วเจี่ย เสียชีวิตแล้วขอรับ”
มองดูท่าทางนอนตายตาไม่หลับของฮั่วเจี่ยแล้ว ในใจของเมิ่งชิงก็เกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมา แต่ว่า เสียชีวิตเยี่ยงนี้ ก็ถือว่าหมดสิ้นกันไป ดีกว่าเห็นภาพทุกคนในครอบครัวถูกประหารชีวิต โบกมือ สั่งว่า “ลากไปที่เรือนจำ ให้คนตระกูลฮั่วดู หลังจากนั้นก็โยนไปที่สุสานรวมให้สุนัขกิน”
เจ้าหน้าที่รับคำสั่ง ลากคนออกไป มุมปากของฮั่วเจี่ยยังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด จนเต็มบนพื้นไปหมด
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเยี่ยงนี้ รับไม่ได้ไปชั่วขณะนึง ตะโกนร้องเสียงดังออกมา แล้วสลบไปทันที
นายน้อยอู่โหวรีบก้มตัวอุ้มนางขึ้นมาทันที รีบสั่งอย่างร้อนใจว่า “เร็ว ไปเรียกหมอมา”
พูดจบ ก็รีบอุ้มคนออกจากที่ทำการแล้วกลับโรงเตี๊ยมทันที
คำสารภาพทุกอย่างได้ถูกรวบรวมไว้ทั้งหมดแล้ว หลังจากเมิ่งชิงและท่านอ๋องฉีปรึกษาหารือกันแล้ว หลังจากนั้นหนึ่งวัน ก็ประกาศคำพิพากษา ฮั่วเจี่ยได้เสียชีวิตแล้ว ส่วนคนที่เหลือก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ แต่ตอนที่อยู่เจียงหนานพวกเขาก็ได้ช่วยครอบครัวฮั่วทำเรื่องเลวร้ายไว้ไม่น้อย ฉะนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง ก็ถูกเนรเทศไปที่ชายแดนทุกคน ไม่ได้กลับมาอีกตลอดชีวิต
ในขณะที่เห็นภาพนอนตายตาไม่หลับของฮั่วเจี่ยนั้น เหล่าฮูหยินฮั่วก็รับไม่ไหว สลบไปทันที สลบไปหนึ่งวัน เพิ่งจะตื่นขึ้นมา ก็ได้ยินจุดจบของคนตระกูลฮั่ว หายใจไม่ออก คอพับ แล้วเสียชีวิตในเรือนจำทันที
คนตระกูลฮั่วต่างร้องไห้คร่ำครวญ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการเสียชีวิตพร้อมกันของฮั่วเจี่ยและเหล่าฮูหยินฮั่ว หรือเพราะการเริ่มต้นชีวิตที่ยากลำบากของพวกเขาต่อจากนี้
ส่วนจูจือหมิง เมิ่งชิงสั่งให้คุมตัวกลับเมืองหลวง ฟังคำสั่งจากฮ่องเต้ ส่วนคนอื่น ไม่ถูกติดพัน ไล่ออกจากที่ทำการ ไม่สืบสาวราวเรื่องอีก
นี่เป็นจุดจบที่ดีที่สุด หลังจากจูจือหมิงรับรู้แล้ว ก็ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ คำนับไปทางโรงเตี๊ยมหลายครั้ง “ขอบพระคุณในความใจกว้างของท่านอ๋องฉี ชาติหน้าจูจือหมิงจะเป็นวัวเป็นควายตอบแทนท่าน”
พูดจบ ก็ฉวยโอกาสตอนที่ผู้คุมไม่สังเกต เอาศีรษะกระแทกบนกำแพงในเรือนจำทันที กระโหลกศีรษะแตกเนื้อสมองไหลออกมา หมดลมหายใจทันที
หลังจากท่านอ๋องฉีได้ยินรายงาน ก็เงียบไปชั่วครู่ แล้วสั่งว่า “เอาเสื่อฟางหนึ่งผืน พันตัวไว้ แล้วโยนไปด้านนอกเมือง ให้ครอบครัวเขาเก็บศพเถิด”
เจ้าหน้าที่ทำตามคำสั่ง นำศพของจูจือหมิงโยนออกไปนอกเมือง ฮูหยินจูพาลูกชายสองคนกับลูกสาวอีกหนึ่งคน ร้องไห้จนตาบวม คลุมร่างทั้งร่างของเขา แล้ววางลงบนรถม้า แขวนผ้าขาวไว้ตลอดทางแล้วกลับบ้านเกิดของจูจือหมิง
ได้ยินจุดจบของครอบครัวตระกูลฮั่ว ประชาชนที่เจียงหนานต่างปรบมือโห่ร้องดีใจ ต่างพูดถึงความรวดเร็วและเฉียบขาดของขุนนาง จัดการได้อย่างเฉียบขาด คืนความสงบและสันติสุขให้กับพวกเขา
จัดการเรื่องราวเสร็จแล้ว ครอบครัวท่านอ๋องฉีและเมิ่งชิงเตรียมตัวกลับเมืองหลวง
แต่นายน้อยอู่โหวกลับร้อนใจเป็นอย่างมาก หลังจากหลิวอวี้เอ๋อร์สลบไปวันนั้น ก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ตอนแรกเขาคิดว่าจะกลับเมืองหลวงพร้อมกับครอบครัวของท่านอ๋องฉี ระหว่างทางจะได้มีคนดูแล แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะตั้งแต่หลิวอวี้เอ๋อร์สลบไปวันนั้นก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย แม้ว่าเขาอยากจะกลับแต่ก็กลับไม่ได้ ได้แต่มองดูครอบครัวท่านอ๋องฉีทั้งครอบครัวและเมิ่งชิงอยู่ภายใต้การดูแลขององครักษ์สามร้อยนาย เดินตรงไปทางเมืองหลวง ส่วนเขาได้แต่กลับโรงเตี๊ยมอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขาไม่รู้ว่าในขณะที่เขาหันหลังกลับไปที่โรงเตี๊ยม มีคนหนึ่งเดินออกมาจากหัวมุมอันไกล เพ่งมองหลังของเขา ข้างหลังมีคนที่แต่งตัวเป็นผู้ติดตามสามคน ผู้นี้ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นท่าป๋าหั่นหลินที่สัญญากับท่านอ๋องฉีว่าจะเดินทางกลับรัฐอิงทันที
วันนั้นท่าป๋าหั่นหลินออกจากโรงน้ำชา ตั้งใจจะกลับรัฐอิงจริงๆ ส่งสัญญาณลับให้ลูกน้องอีกสองคนมาหา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป กลับมาพักที่โรงเตี๊ยมอีกครั้ง
ลูกน้องไม่เข้าใจอย่างมาก ทนไม่ไหวจริงๆ จึงกล่าวถามอย่างระมัดระวังว่า “เจ้านาย ยังมีเรื่องสำคัญต้องทำใช่หรือไม่ขอรับ”
“คุณหนูของจวนอู่โหวยังอยู่ในโรงเตี๊ยมใช่หรือไม่”
“น่าจะใช่ขอรับ เห็นว่าป่วย พักอยู่ในโรงเตี๊ยม”
“หาวิธี จับตัวนางมา แล้วเอากลับรัฐอิง”
ลูกน้องตกใจเป็นอย่างมาก “เจ้านาย นี่…”
ยังไม่ต้องพูดว่านำตัวหลิวอวี้เอ๋อร์คนนี้กลับไปแล้วไร้ประโยชน์ แค่พวกเขาสามคนต่อสู้กับคนที่ปกป้องนายน้อยอู่โหวเหล่านั้น ก็ไม่มีโอกาสชนะแล้ว
กลืนน้ำลายลงไป แล้วแสดงความคิดเห็นอย่างระมัดระวังว่า “เจ้านาย หากท่านอยากได้ผู้หญิง หลังจากข้าน้อยกลับไป ข้าน้อยจะนำมาให้ท่านแปดคนสิบคน รับประกันว่าสวยงามกว่านางทุกคน ส่วนเด็กสาวแซ่หลิวคนนั้น ข้าน้อยว่าปล่อยไปเถิด รูปร่างนางไม่ดี สัดส่วนก็ไม่ดี ที่สำคัญคือดูท่าทางแล้วเหมือนยังไม่เข้าสู่วัยสาว แม้ว่าท่านจับตัวกลับไปแล้ว ก็…” พูดถึงนี้ ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าบนใบหน้าก็เข้าใจขึ้นมาทันที กล่าวด้วยท่าทางเข้าใจว่า “เจ้านาย ท่านมีความชอบแปลกๆ ชอบสาวน้อยที่ยังไม่เข้าสู่วัยสาวใช่หรือไม่ขอรับ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ใช่ หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ใช่ ลูกน้องคิดในใจเพิ่มไปอีกหนึ่งประโยค
ท่าป๋าหั่นหลินเพิ่งจะดื่มชาเข้าไปหนึ่งคำ ทันทีที่ได้ยินน้ำชาในปากก็พุ่ง พร้วดด ออกมาทันที โดนเต็มตัวลูกน้อง กล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า “เจ้าพูดอะไร พูดอีกรอบ”
ลูกน้องคิดไปเองว่าเข้าใจถูกแล้ว ใช้มือลูบน้ำชาบนใบหน้า ยืนตรง แล้วกล่าวตอบเสียงดังว่า “ข้าน้อยเข้าใจ จะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ”
แก้วชาในมือของท่าป๋าหั่นหลินยังไม่ทันได้วางลง ก็ลุกขึ้นยืนแล้วถีบไปทันทีหนึ่งที ทำให้ลูกน้องสะดุดหนึ่งที “เจ้านี่มัน ดูจากที่ใดว่าข้ามีความชอบแปลกๆ นี้”
“เจ้า เจ้านาย จับ จับตัวนางมา มิ มิใช่…”
ลูกน้องยังไม่ทันกล่าวประโยคติดอ่างจบ ก็ถูกถีบอีกหนึ่งที เจ็บจนเขาแทบร้องออกมา
ลูกน้องอีกสองคนเห็นเยี่ยงนี้ ก็ก้าวถอยหลังพร้อมกันหลายก้าว ตัวเองจะได้ไม่โดนลูกหลง
“ข้าจับตัวนางมาเพราะจะถามเรื่องหวงฝู่เย่าเย่ว์ รู้เขารู้เรา ต่อไปจะได้หาวิธีที่ดีสู่ขอนางได้ เจ้ามันคนไร้สมอง ในนี้มาแต่ขี้เลื่อยใช่หรือไม่”
ท่าป๋าหั่นหลินโมโหมาก กดหัวของลูกน้องและด่าว่าอย่างรุนแรง
ลูกน้องเข้าใจแล้ว ก็ยิ่งไม่กล้าหลบ ปล่อยให้ท่าป๋าหั่นหลินกดหัวตัวเองแรงๆ จนหนังหัวของเขาแทบจะทะลุ เป็นรูใหญ่ๆ ออกมา
กดจนเจ็บนิ้ว ท่าป๋าหั่นหลินก็ยังไม่หายโมโหถีบเขาอีกสองที จึงจะกลับมานั่งบนเก้าอี้ วางแก้วชาลงแรงๆ แล้วตะคอกด่าว่า “เจ้าพวกไร้สมอง ทำให้ข้าโมโหจริงๆ ”
ทั้งสามคนตกใจจนไม่กล้าหายใจ
ในห้องเงียบกริบ เหลือเพียงเสียงลมหายใจที่ดังของท่าป๋าหั่นหลิน
ผ่านไปสักพักใหญ่ ท่าป๋าหั่นหลินจึงจะควบคุมความโมโหได้ โบกมือ “ภายในสามวัน หากคิดวิธีจับตัวคนมาไม่ได้ พวกเจ้าทุกคน ก็เอาหัวกระแทกกำแพงตายๆ ไปเสีย ข้าจะไม่เห็นไม่อึดอัดใจอีก”
ลูกน้องทั้งสามรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียงกัน หันหลังแล้วรีบวิ่งออกไปทันที คนสุดท้ายที่เดินออกไปก็ไม่ลืมที่จะค่อยๆ ปิดประตูเบาๆ
ท่าป๋าหั่นหลินดื่มน้ำหลายแก้วด้วยความโมโห จนความโมโหในใจจึงจะค่อยๆ หายไป
ลูกน้องทั้งสาม ออกจากห้อง เหมือนมีผีไล่ตามมาข้างหลัง รีบวิ่งลงมาชั้นล่าง แล้วพุ่งออกมาจากโรงเตี๊ยมทันที จึงจะหยุดลงพร้อมกัน แล้วสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไป ติดตามเจ้านายมานานหลายปี พวกเขายังไม่เคยเห็นเจ้านายโมโหเยี่ยงนี้มาก่อน มันน่าตกใจกลัวจริงๆ น่ากลัวจนหัวใจของพวกเขาแทบจะทะลุออกมา
นายน้อยอู่โหวยังไม่รู้ว่าหลิวอวี้เอ๋อร์ถูกคนเพ่งเล็ง ตะคอกกับหมอที่มารักษาว่า “เจ้าพวกหมอไร้ฝีมือ สลบไปหลายวันแล้ว คนก็ยังไม่เห็นฟื้นขึ้นมา มีพวกเจ้าไว้เพื่ออะไร”
เถ้าแก่และหมอทุกคนต่างรู้ฐานะของเขา จึงกลัวตัวสั่นงันงก วางมือลง ก้มหัวแล้วปล่อยให้เขาด่าว่า
หากอยู่ที่เมืองหลวง นายน้อยอู่โหวจะต้องสั่งคนให้ลากไปตีแล้ว แต่ว่าตอนนี้ เรื่องของครอบครัวตระกูลฮั่วเพิ่งจะผ่านไป ยังไม่นาน เขาไม่กล้ามีเรื่องให้คนอื่นรับรู้ ทำได้เพียงควบคุมความโมโหไว้ สั่งด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าคิดวิธีใด วันนี้ต้องให้คนฟื้นขึ้นมาให้ได้ ไม่เยี่ยงนั้น ต่อไปพวกเจ้าก็ไม่ต้องรักษาโรคอีก ไปเป็นขอทานเถิด”
ได้อย่างไร หมอทุกคนตกใจจนเหงื่อบนหน้าผากไหลลงมาเรื่อยๆ รีบรวมตัวกัน ปรึกษาหารือกัน จนได้ผลสรุปออกมาว่า โรคของหลิวอวี้เอ๋อร์นั้นเกิดจากการตกใจ หากอยากให้นางฟื้นขึ้นมา จะต้องทำให้นางตกใจ อาจจะฟื้นขึ้นมาได้
พวกเขาก็ไม่มีวิธีอื่นจริงๆ จึงคิดวิธีแบบนี้ขึ้นมา กล่าวกับท่านอ๋องน้อยด้วยน้ำเสียงติดอ่างและกล้าๆ กลัวๆ
นายน้อยอู่โหวเพ่งมองพวกเขา วางมาดของอู่โหว แล้วกล่าวถามด้วยความน่าเกรงขามว่า “วิธีที่ได้ผล?”
ทุกคนต่างไม่กล้ารับประกัน แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นจริงๆ หลังจากมองหน้าสบตากันแล้ว ก็พยักหน้าหงึกๆ หมอคนหนึ่งที่กล้าเล็กน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “ยาที่ควรใช้พวกข้าก็ใช้หมดแล้ว คุณหนูหลิวก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา พวกข้าไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ แม้รู้ว่าไม่มีวิธีใดแล้วแต่ก็ยังมีความหวัง”
พูดจบ รู้สึกว่าตัวเองพูดไม่ถูก ตกใจจน ตึกตัก คุกเข่าลงบนพื้น ใช้มือตบปากตัวเอง “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยสมควรตาย”
“พอแล้ว พอแล้ว…” นายน้อยอู่โหวขัดขวางเขาอย่างหงุดหงิด “พูด ทำอย่างไรจึงจะทำให้นางตกใจ”
หมอทุกคนที่ยืนอยู่ต่างมองหน้ากัน ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ย
“พูดเถอะ ไม่เอาโทษพวกเจ้า” มองท่าทางพวกเขาแล้ว นายน้อยอู่โหวขมวดคิ้ว ตะคอกใส่พวกเขา
หมอคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นกลัวว่า “ข้า พวกข้าปรึกษาออกมาได้วิธีหนึ่ง ขอร้องนายน้อยอู่โหวฟังแล้วอย่าได้กล่าวโทษพวกข้า”
“พูด!”
หมอกลืนน้ำลายลงไป ทุ่มตัว แล้วกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “พวกข้าอยากให้นายน้อยอู่โหวสั่งให้คนตะโกนว่า จวนอู่โหวได้รับผลกระทบจากฮั่วเจี่ย ทุกคนในจวนถูกเนรเทศไปชายแดน…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกเสียงโมโหของนายน้อยอู่โหวขัดขวางไว้ “เจ้าพูดอะไรไร้สาระ ข้ายังอยู่ดี คนในจวนก็ยังอยู่ดี นี่พวกเจ้ากำลังสาปแช่งจวนอู่โหวของพวกข้า”
ในห้องมีเสียงคุกเข่าลงบนพื้นเสียง ตึกตัก ดังขึ้นติดต่อกัน เสียงร้องขอความเมตตาก็ดังขึ้นมาพร้อมกันว่า “นายน้อยอู่โหวไว้ชีวิตพวกข้าเถิด นายน้อยอู่โหวไว้ชีวิตพวกข้าเถิด”
อดทนอดกลั้นไม่ให้ถีบพวกเขาคนละหนึ่งที นายน้อยอู่โหวกล่าวด้วยความโมโหว่า “พวกเจ้ามันรนหาที่ตายจริงๆ ช่างกล้าหาญจริงๆ จึงกล้าปล่อยข่าวลือเยี่ยงนี้ หากยังรักษาอวี้เอ๋อร์ไม่ได้ ข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้า”