ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 130 ขิงก็รา ข่าก็แรง
หวงฝู่เย่าเย่ว์หันหลังเดินกลับไปนั่งในเกี้ยว มือทั้งสองข้างวางซ้อนกันบนเข่า ท่าทีสุภาพและสง่างาม
ท่าป๋าหั่นหลินตกอยู่ในภวังค์ หลังจากสบถเสียงเบาออกมา ก็สั่งหัวหน้าขันทีฮูด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโหว่า “ไปตำหนักไทเฮา ยืมมงกุฎหงส์ของท่านที่ท่านเคยสวมมาให้นาง”
หัวหน้าขันทีฮูขานรับ หันหลังแล้วรีบวิ่งไปตำหนักไทเฮาทันที
ท่าป๋าหั่นมู่เหลือบมองหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่นั่งนิ่งอยู่บนเกี้ยวอย่างสง่า เขาสะบัดมืออย่างแรง แม้แต่เกี้ยวก็ไม่ขึ้นนั่ง เดินสาวเท้ามุ่งไปทางแท่นบูชาทันที วันมงคลสมรสเช่นนี้ ตามระเบียบประเพณีแล้วพวกเขาต้องเดินจับมือกันขึ้นแท่นบูชาเพื่อไหว้ฟ้าดินเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ไหว้บรรพบุรุษ และท้ายที่สุดต้องป่าวประกาศแก่คนใต้หล้าให้ทราบกัน เพื่อบันทึกชื่อของฮองเฮาไว้ในหนังสือแห่งตระกูลราชวงศ์ เกี้ยวประดับหงส์อยู่ตามหลังขบวน
ในขณะเดียวกัน ประตูวังเปิดออก เหล่าขุนนางและข้าราชการเดินทยอยเข้ามาที่แท่นบูชาอย่างเป็นระเบียบ
เมิ่งชิง หวงฝู่เฮ่า และหวงฝู่รุ่ยทั้งสามคนก็ถูกขันทีที่สุภาพผิดปกติเชิญเข้าวัง
เมื่อไทเฮาได้ยินรายงานของหัวหน้าขันทีฮู ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่นางก็เผยรอยยิ้มอันนุ่มลึกออกมา นางสั่งคนให้ไปนำมงกุฎหงส์มาให้หัวหน้าขันทีฮู
หัวหน้าขันทีฮูไม่รีรอ เขาถือมงกุฎหงส์ไว้อย่างมั่นคงและวิ่งตามท่าป๋าหั่นหลินที่กำลังจะถึงแท่นบูชาอย่างรวดเร็ว และรายงานเสียงหอบว่า “ฝ่าบาท นำมงกุฎหงส์มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าหั่นหลินหยุดเดิน สั่งเสียงเย็นชา แม้แต่ศีรษะก็ไม่หันกลับไปว่า “ส่งไปให้นาง”
หัวหน้าขันทีฮูยกมงกุฎหงส์จนถึงหน้าเกี้ยวประดับหงส์
สาวใช้ที่ติดตามมาเดินขึ้นหน้า รับไว้ แล้วยื่นลำตัวเข้าไปในเกี้ยว ส่งสัญญาณให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ก้มศีรษะลง แล้วค่อยๆ สวมให้นางอย่างเบามือ และจัดให้แน่นศีรษะ
หลังจากผ่านเรื่องราวเมื่อครู่นี้ไป ก็จวนถึงเวลากราบไหว้แล้ว ท่าป๋าหั่นหลินเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น คนแบกเกี้ยวก็เดินตามด้านหลังอย่างเร่งรีบ
เมื่อถึงตำหนักแท่นบูชา ท่าป๋าหั่นหลินระงับอารมณ์โกรธของตนไว้แล้ว สายตาของเหล่าขุนนางจับจ้องไปที่เขา เขาลงจากเกี้ยวด้วยสีหน้าที่กลับมาเป็นปกติ แล้วหยุดยืนรอหวงฝู่เย่าเย่ว์ลงมา
สาวใช้ติดตามเปิดม่านเกี้ยวประดับหงส์ออก หวงฝู่เย่าเย่ว์ที่ถูกปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมหัวนั่งอยู่อย่างสง่างาม ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลย
เสียงนิ่งเรียบเสียงหนึ่งดังเล็ดลอดออกมาจากผ้าคลุมศีรษะ “หมิงเย่ว์ เจ้าไปทูลฝ่าบาท ตอนที่ขึ้นเกี้ยวเมื่อครู่ข้าไม่ระวังทำข้อเท้าพลิก ขั้นบันไดหลายขั้นนี้ เกรงว่าข้าจะเดินเองไม่ได้”
หมิงเย่ว์เม้มปาก เดินมาถึงหน้าท่าป่าหั่นหลิน ทูลคำพูดของหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยเสียงเบา
อารมณ์โกรธของเขาที่กว่าจะระงับลงไปได้กลับเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เขาเดินจ้ำอ้าวไปถึงหน้าเกี้ยว ก้มศีรษะลง กัดฟันกรอดแล้วพูดเสียงเบาว่า “อย่ามาเสแสร้งแกล้งทำต่อหน้าข้า รีบไสหัวลงมาเดี๋ยวนี้”
หวงฝู่เย่าเย่ว์นั่งนิ่งไม่ขยับ นางยิ้มเพียงเบาๆ “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันข้อเท้าแพลงจริงๆ ไม่มีแรงเดินเลยเพคะ หากท่านมีแรง ก็อุ้มหม่อมฉันขึ้นไปเถอะ แต่หากไม่มีแรง หม่อมฉันมองดูท่านขึ้นไปคนเดียวดีหรือไม่เพคะ”
ท่าป่าหั่นหลินกำหมัดแน่น อยากจะต่อยเข้าไปที่ศีรษะนางให้มันสมองไหลออกมาให้สาแก่ใจเสียเหลือเกิน คนที่ขอให้จัดพิธีสมรสคือนาง ตอนนี้มาถึงแท่นบูชาแล้ว มีเหล่าข้าราชการ ขุนนาง และทูตต่างรัฐมากมาย รวมถึงเมิ่งชิงและน้องชายของเขาอีกสองคนกำลังมองดูอยู่ นางกลับทำตัวเช่นนี้ นางคงอยากทำให้ตนเองอับอายต่อหน้าคนใต้หล้าสินะ
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยืดอกนั่งตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผยกว่าเดิม แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะลงจากเกี้ยวเลย
ท่าป๋าหั่นหลินมองนางด้วยสายตาลุกโชนเป็นไฟ อยากจะแผดเผาร่างกายนางให้เป็นหลุมเสียเหลือเกิน
ทั้งสองต่างไม่มีใครยอมใคร
เหล่าขุนนางและทูตต่างรัฐไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สายตาต่างจับจ้องมองมาทางนี้ เสียงซุบซิบก็ดังเซ็งแซ่
ท่าป่าหั่นหลินได้ยินเสียงวิพากวิจารณ์เต็มสองหู เขามองดูหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่ไม่มีทีท่าว่าจะขยับ จึงกัดฟันกรอด โค้งลำตัวแล้วยื่นตัวเข้าไปในเกี้ยว อุ้มหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกมาจากเกี้ยวประดับหงส์
เสียงวิพากวิจารณ์ดังขึ้นต่อเนื่องเป็นระลอกจากรอบด้าน เหล่าขุนนางและทูตต่างรัฐเบิกตาโตพร้อมกัน ดูท่าฮ่องเต้จะรักฮองเฮามากเกินไปแล้ว แม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างการเดินขึ้นแท่นบูชายังต้องอุ้มนางขึ้นไปด้วยตนเอง ไม่เคยได้ยินเลยจริงๆ
เมิ่งชิง หวงฝู่เฮ่า และหวงฝู่รุ่ยกลับขมวดคิ้ว พวกเขารู้สึกว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์ผิดปกติไป แม้ปกตินางจะเอาแต่ใจ แต่นางก็ไม่เคยขาดตกบกพร่องเรื่องมารยาทและระเบียบประเพณีต่างๆ ที่ควรรู้เลย แล้วเหตุใดจึงก่อเรื่องแบบนี้ในเวลานี้เล่า
เมื่อหวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึกตัวว่าท่าป๋าหั่นหลินอุ้มนางขึ้นมา ในใจนางก็รู้สึกดีใจและผิดหวังในเวลาเดียวกัน ดีใจที่นางสามารถเอาคืนได้แล้ว แต่ผิดหวังที่แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ท่าป๋าหั่นหลินยังทนไม่ได้เลย ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาตบแต่งนางเพราะแฝงเจตนาร้ายจริงๆ
เมื่อขึ้นไปถึงแท่นบูชา หลังจากเสร็จพิธีกราบไหว้สรรพสิ่ง และป่าวประกาศต่อหน้าผู้คนเสร็จแล้ว ท่าป๋าหั่นหลินก็อุ้มนางลงมา นั่งลงบนเกี้ยวพระที่นั่งของฮ่องเต้และฮองเฮา ออกจากแท่นบูชามุ่งไปทางตำหนักหลวนเฟิ่ง ภายใต้สายตาของทุกคนที่จ้องมอง
เกี้ยวพระที่นั่งเพิ่งจะหลุดจากสายตาของทุกคน ท่าป่าหั่นหลินก็ตะโกนดังลั่น “หยุดเกี้ยว!”
เกี้ยวพระที่นั่งหยุดลง ท่าป๋าหั่นหลินลงจากเกี้ยวทันที ราวกับไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว เขาเดินสาวเท้าจากไป ไม่แม้แต่จะเหลียวมองกลับมา
หวงฝู่เย่าเย่ว์มองแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไป นางเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกเหมือนจะมีอะไรไหลออกมาจากดวงตา นางจึงรีบเงยหน้าขึ้น สงบสติอารมณ์ของตน แล้วสั่งด้วยเสียงเรียบปกติว่า “ไปตำหนักหลวนเฟิ่ง!”
เกี้ยวพระที่นั่งเดินหน้าต่อไป แต่เป็นทิศตรงข้ามกับท่าป๋าหั่นหลิน ระยะห่างของทั้งสองยิ่งห่างกันไกลออกไป ดั่งหัวใจอันเย็นยะเยือกของทั้งสอง
เหล่าขุนนางและทูตต่างรัฐทยอยออกจากวังหลวง เมิ่งชิง หวงฝู่เฮ่า และหวงฝู่รุ่ยทั้งสามคนก็ออกมาและกลับโรงเตี๊ยมพักม้าไป
เมื่อถึงวังหลวนเฟิ่ง หมิงเย่ว์และหมิงสยาก็ค่อยๆ ประคองหวงฝู่เย่าเย่ว์ลงมาและเดินเข้าไปในวัง
ในวังเต็มไปด้วยกลิ่นอายรื่นเริง โคมไฟใหญ่สีแดง หน้าต่างที่ถูกตกแต่งด้วยกระดาษตัดตัวอักษรมงคลสีแดงใหญ่ ม่านเตียงสีแดง ผ้าห่มสีแดง ไม่มีส่วนไหนที่ไม่แสดงให้เห็นว่าวันนี้เป็นวันดีเลย แต่สาวใช้ติดตามไม่รู้สึกยินดีด้วยแม้แต่เล็กน้อย ก่อนที่จะมา ซื่อจื่อเฟยก็สั่งไว้แล้วว่าให้พวกนางดูแลท่านหญิงน้อยให้ดี ตอนนั้นพวกนางไม่เข้าใจ แต่วันนี้เข้าใจแล้ว ฮ่องเต้รัฐอู่ไม่ได้มาสู่ขอท่านหญิงน้อยด้วยความจริงใจ วันต่อจากนี้ที่ต้องอยู่ในวังแห่งนี้ของท่านหญิงน้อยคงไม่สุขสบายนัก ซื่อจื่อเฟยคงคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว จึงกำชับพวกนางให้ดูแลนางให้ดี
เมื่อเข้ามาถึงในตำหนัก แม้จะถูกคั่นด้วยผ้าคลุมศีรษะ แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็รู้สึกได้ถึงสีแดงเถือกที่แดงไปทั่วห้อง นางแสยะยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันตนเอง แล้วนั่งลงบนเตียงหงส์ ดึงผ้าคลุมหัวลงมา แล้วสั่งหมิงเย่ว์ว่า “ถอดมงกุฎหงส์บนหัวข้าลงมา”
“ฮองเฮา ไม่เหมาะนะเพคะ ฝ่าบาทยังไม่กลับห้องเลย ท่านทำอย่างนี้…”
หมิงเย่ว์ร้องตกใจ
“เจ้าคิดว่าวันนี้เขาจะมาอีกหรือ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ถามกลับอย่างไร้อารมณ์
หมิงเย่ว์ชะงัก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “แต่ แต่ว่า ถ้า ถ้าหาก…”
หวงฝู่เย่าเย่ว์โบกมือ “ไม่มีแต่ว่า ช่วยข้าถอดออกเถอะ สวมมานานขนาดนี้ ข้าเหนื่อยจะตายแล้ว”
หมิงเย่ว์มองไปหาคนที่เหลือ เมื่อเห็นพวกนางพยักหน้า นางจึงเม้มปากแล้วถอดมงกุฎหงส์ออกมา
หวงฝู่เย่าเย่ว์บริหารคออยู่ครู่หนึ่ง แล้วสั่งสาวใช้ว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ห้ามบอกท่านน้าชิงและน้องชายของข้าเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น พวกเจ้าก็กลับไปพร้อมพวกเขาเถอะ ไม่ต้องรับใช้ข้าที่นี่แล้ว”
ทุกคนสบตากัน หมิงสยาเอ่ยปาก “ท่าน…”
เมื่อพูดไปคำหนึ่ง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่เหมาะสม จึงรีบพูดแก้ว่า “ฮองเฮาเพคะ เหตุใดวันนี้ฝ่าบาททำกับท่านเช่นนี้ ท่านยัง…”
“ข้าและฝ่าบาทสมรสกันแล้ว เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้ หากครอบครัวรู้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ พวกเจ้าอยากให้พวกเขาเรียกคนมาหาเรื่อง หรือว่าอยากให้พวกเขาแสร้งไม่รับรู้เรื่องนี้ล่ะ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากให้พวกเขาทำ เช่นนั้นแล้ว เหตุใดต้องสร้างความกังวลใจให้พวกเขาเล่า”
ทุกคนพูดไม่ออก พวกนางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงขานตอบอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อนางกำนัลและขันทีในวังหลวนเฟิ่งเห็นว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์เปิดผ้าคลุมหัวและถอดมงกุฎหงส์ของตนออก ก็จับกลุ่มซุบซิบนินทากัน
ตั้งแต่ที่ตกลงเรื่องงานแต่งงาน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้เชิญคนมาสอนภาษาของรัฐอิง ไม่เพียงแค่นาง รวมถึงสาวใช้ติดตามก็เป็นเหมือนกัน เมื่อเสียงนินทาของเหล่านางกำนัลดังเข้าหู เดิมทีหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ทำเป็นไม่สนใจ แต่เมื่อยิ่งฟังพวกนางก็ยิ่งเลยเถิด แม้แต่เรื่องภูมิหลังและการศึกษาของตนก็นำมานินทากัน หน้าน้อยๆ ของนางเคร่งขรึมลงและสั่งหมิงเย่ว์ว่า “เรียกขันทีผู้ดูแลวังนี้เข้ามา”
หมิงเย่ว์เดินออกไปนอกตำหนัก กวาดตามองเหล่านางกำนัลและขันทีรอบหนึ่ง แล้วพูดเสียงดังว่า “ใครคือหัวหน้าผู้ดูแลวังหลวนเฟิ่งนี้”
ขันทีผู้ดูแลตำหนักหลวนเฟิ่งแซ่ปั๋ว เป็นลูกบุญธรรมของหัวหน้าขันทีฮู อายุราวยี่สิบปี ใบหน้าเฉลียวฉลาด รู้ภาษารัฐอู่เช่นกัน เมื่อเขาได้ยินหมิงเย่ว์ถาม ก็เดินขึ้นหน้า ขานรับว่า “ข้าเอง ไม่ทราบว่าฮองเฮามีคำสั่งอะไรหรือ”
“เหนียงเหนียงสั่งให้เจ้าเข้าไป”
ขันทีปั๋วเดินเข้ามา คารวะอย่างสุภาพ “เหนียงเหนียง ท่านมีคำสั่งอะไรหรือขอรับ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ถามทันทีว่า “ตามกฎระเบียบของในวังแล้ว การนินทานายท่านลับหลังมีโทษอย่างไรหรือ”
ขันทีปั๋วสะดุ้งตกใจ “นี่…”
“ทำไมหรือ กฎระเบียบในวังเจ้าไม่รู้หรือไง อย่างนั้นคนอย่างเจ้ามาเป็นผู้ดูแลได้อย่างไร” หวงฝู่เย่าเย่ว์ถามต่ออย่างน่าเกรงขาม
ขันทีปั๋วเหงื่อตก เขาล้ม พลุบ คุกเข่าลงบนพื้น “เหนียงเหนียงโปรดอภัยพ่ะย่ะค่ะ เหนียงเหนียงโปรดอภัยพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์เน้นเสียงหนักขึ้น ถามต่อว่า “การนินทานายท่านลับหลัง มีโทษอย่างไรกันแน่”
ขันทีปั๋วหน้าผากเหงื่อซึมมากขึ้นกว่าเดิม คนวังนินทานายท่านลับหลัง มีโทษไม่เบา แต่เขาผู้เป็นขันทีผู้ดูแลวังหลวนเฟิ่งกลับไม่ได้ตำหนิพวกเขา ปล่อยให้พวกเขานินทากันจนเลยเถิด โทษนั้นไม่เบาแน่นอน แต่ก็ไม่กล้าไม่ตอบ เขารีบตอบว่า “ทูลเหนียงเหนียงพ่ะย่ะค่ะ ตามกฎในวัง การนินทาลับหลัง โทษโบยประหารชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า “ดีมาก วันนี้เป็นวันสมรสของข้าและฝ่าบาท คงไม่เหมาะที่จะเห็นเลือด โทษตายนี้ข้ายกให้ได้ แต่โทษเป็นนั้นเลี่ยงไม่ได้ ข้าจะลงโทษพวกเจ้าคุกเข่านอกวัง ไม่ครบห้าชั่วยามห้ามลุกขึ้น”
ห้าชั่วยาม? ลำตัวขันทีปั๋วเซไปมา เขาอยู่ในวังนี้โดยมีหัวหน้าขันทีฮูหนุนหลัง จึงแทบจะไม่เคยถูกทำโทษใดๆ แต่บัดนี้ต้องคุกเข่าห้าชั่วยาม คงทำเอาเขาแทบสิ้นชีวิต
“ทำไมหรือ เหมือนว่าขันทีปั๋วจะมีปัญหา?” เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขานตอบ หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้าตกใจของเขา นางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ขันทีปั๋วสะดุ้ง เมื่อตั้งสติได้ว่าแค่ลงโทษคุกเข่าห้าชั่วยาม ไม่ได้จะประหารชีวิตเขา ก็ถือว่าฮองเฮาเมตตากรุณามากแล้ว เขารีบตอบว่า “ขอบคุณฮองเฮาที่ไม่โทษประหาร ข้าน้อยจะนำคนไปคุกเข่าด้านนอกเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”