ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 160 แต่งเข้า (2)
ท่าป๋าหั่นหลินถูกไล่ออกไปด้วยความงุนงง มองชิงหลวนและจูหลีที่ขวางอยู่ด้านหน้าเขา จ้องมองมาด้วยสายตาโกรธเคือง วันนี้ตนคงเข้าไปที่จวนอ๋องไม่ได้อีกแล้ว จึงหันหลังเดินไปยังหนานเฉิง ไม่รู้ว่าเพราะจงใจ หรือว่าลืม เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สั่งให้คนจูงม้ามาให้เขา เขาทำได้เพียงก้าวขาที่ไม่เต็มใจ เดินไปยังหนานเฉิงทีละก้าว
ในจวน พระชายาและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตรงเข้าไปในเรือน
หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินตามเข้าไป
หลังนั่งลง พระชายาเอ่ยว่า “เย่ว์เอ๋อร์ บอกย่าและแม่ของเจ้ามาว่าเรื่องของเจ้า เจ้าวางแผนจะทำเช่นไร”
หวงฝู่เย่าเย่ว์เม้มปากไม่พูด
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว น้ำเสียงไม่พอใจ “อะไรกัน พวกเจ้ากินนอนอยู่ด้วยกันมาเสียหลายวัน แต่เจ้ากลับไม่ได้คิดเลยหรือว่าต่อไปจะทำเช่นไร”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หน้าแดง เก็บเท้า เอ่ยออกมาอย่างไม่เต็มใจ “ท่านแม่ ท่านพูดอะไรกัน เขารักษาแผลอยู่ในเรือนข้า มิได้กินนอนอยู่ด้วยกันเช่นนั้น”
“แผลเล็กน้อยเช่นนั้นของเขา หายดีตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว แต่กลับยืดเยื้อจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ไป เจ้าจะปิดบังแม่ที่รู้วิชาแพทย์คนนี้ของเจ้างั้นรึ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา เข้าใกล้พระชายา อ้อนว่า “ท่านย่า ท่านดูท่านแม่สิเจ้าคะ นาง…”
ยังพูดไม่จบ พระชายาตัดบท “แม่เจ้าพูดถูก พวกเจ้ากินอยู่ด้วยกันมาหลายวันแล้ว”
คิดไม่ถึงว่าพระชายาจะกล่าวเช่นนี้ หวงฝู่เย่าเย่ว์อึ้ง
ราวกับมองไม่เห็นสีหน้าของนาง พระชายากล่าวต่อ “บัดนี้ เรื่องของเจ้ารู้กันไปทั่วทั้งเมือง พวกเราปิดบังไม่ไหว ใช้เวลาสองสามวันนี้ คิดให้ดี ว่าเจ้าควรทำเช่นไรต่อไป”
ริมฝีปากของหวงฝู่เย่าเย่ว์ขยับเล็กน้อย แต่กลับไม่กล่าวอะไรออกมา
พระชายาและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้กล่าวอะไรอีก เดินออกจากเรือนไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยืนชะงักที่เดิม ครู่ใหญ่
กว่าท่าป๋าหั่นหลินจะกลับมาถึงหนานเฉิง ขาทั้งสองก็แทบจะไร้ความรู้สึกแล้ว ตอนหัวหน้าขันทีเห็นเขา วิ่งเข้ามาด้วยรอยยิ้ม มองใบหน้าดแงก่ำของเขา ถามอย่างนอบน้อมว่า “ฝ่าบาท ท่านกลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อื้ม!”
ท่าป๋าหั่นหลินตอบอย่างไม่ใส่ใจ ถามกลับว่า “เสด็จแม่สบายดีหรือไม่”
“ตั้งแต่ซื่อจื่อเฟยสั่งให้คนมาส่งข่าว ว่าท่านอยู่ที่จวนอ๋อง พระโอษฐ์ของไทเฮาก็ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว มีความสุขทุกวันพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าขันทีฮูรายงานด้วยรอยยิ้มที่ปิดไม่อยู่
ท่าป๋าหั่นหลินเดินตรงไปยังห้องของไทเฮา
เมื่อเห็นเขาเข้ามา ไทเฮาชะงักเล็กน้อย จากนั้นถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า” ขณะที่พูด สายตายังมองไปด้านหลังของเขา ไม่เห็นร่างของอีกคน เผยสีหน้าผิดหวังออกมา
ฟังน้ำเสียงของนาง ดูทีคงไม่รู้ว่าเขาแทบจะเอาชีวิตมาไม่รอด ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้กล่าวอะไร บอกไปตามตรงว่า “ข้าถูกท่านแม่ยายไล่ออกมาขอรับ”
ไทเฮาอึ้งไป มองเขาด้วยความไม่พอใจ กล่าวโทษว่า “กว่าเจ้าจะเข้าไปในจวนอ๋องได้ เหตุใดไปทำให้แม่ยายเจ้าไม่พอใจเล่า เจ้าไม่อยากได้เมียกลับมาหรืออย่างไร”
ท่าป๋าหั่นหลินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่กล้าบอกความจริงกับนาง จึงเอ่ยว่า “เสด็จแม่ มิใช่อย่างที่ท่านคิด ข้า…”
ไทเฮาตั้งใจฟังอยู่ แต่กลับไม่มีประโยคต่อไป จึงไม่พอใจ “มีสิ่งใดจงรีบว่ามา ไม่ได้พบหน้าหลายวัน เจ้าพูดติดๆ ขัดๆ แล้วหรือ”
ท่าป๋าหั่นหลินจำใจเล่าความจริงให้นาง “วันนี้ท่านย่าและแม่ยายไปที่เรือนเย่ว์เอ๋อร์ เพื่อถามข้าว่า…”
พูดถึงตรงนี้ ถูกไทเฮาตัดบทด้วยความตื่นเต้น “ช้าก่อน!”
แววตาของไทเฮามีประกายออกมา จ้องเขาถามว่า “เจ้าหมายความว่า หลายวันมานี้ เจ้าพักอยู่ที่เรือนของเย่ว์เอ๋อร์เช่นนั้นหรือ”
ท่าป๋าหั่นหลินพยักหน้า “ขอรับ”
ไทเฮาผุดลุกขึ้นทันที ถามด้วยความตื่นเต้นว่า “หรือว่าเย่ว์เอ๋อร์มีข่าวดีแล้ว แม่ยายเจ้าจึงไม่พอใจ จึงได้ไล่เจ้าออกมา”
ท่าป๋าหั่นหลินแทบลำสักน้ำลายตัวเอง เบิกตาโพลงมองไทเฮา เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเสด็จแม่ของตนก็มีความคิดแปลกๆ เช่นนี้ด้วย
เมื่อเห็นเขาไม่พูดจา ไทเฮาคิดว่าเป็นเช่นนั้นจริง ตื่นเต้นขึ้นมาในบัดดล เอ่ยว่า “แล้วยังจะรออะไรอีกเล่า ไปๆๆ ไปเก็บข้าวของ ไปคุยเรื่องสู่ขอที่จวนอ๋อง”
พูดจบ ก็ยกเท้าเดินออกไปด้านนอก
ท่าป๋าหั่นหลินรีบขวางนางไว้ “เสด็จแม่ ท่านคิดมากไปแล้ว พวกเรานอนร่วมเตียงกันจริง แต่ไม่ได้ทำสิ่งใดเกินเลย”
“เจ้าว่าอย่างไรหรือ” ไทเฮาถามเสียงดัง ด้วยความไม่คาดคิด
จากนั้นสายตามองไปที่ร่างเขาหลายครั้ง กดดันขึ้นมา “ลูกแม่ บอกแม่มา ว่าเจ้าบาดเจ็บใช่หรือไม่ หากใช่…”
“เสด็จแม่!” ท่าป๋าหั่นหลินตัดบทนาง เขินจนหูแดง “ท่านคิดไปถึงที่ใดกัน ร่างกายข้าไม่ค่อยสบาย เย่ว์เอ๋อร์จึงได้ดูแลข้าเท่านั้น”
ไม่ใช่ร่างกายมีปัญหา ไทเฮาโล่งใจ ไม่เชื่อคำพูดของเขา “ไม่สบายอย่างไร จึงได้ดูแลกันถึงบนเตียง แม่เจ้าอาบน้ำร้อนมาก่อน เจ้าอย่ามาโกหกแม่”
ท่าป๋าหั่นหลินไม่รู้ว่าควรอธิบายเช่นไร
ไทเฮาเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีจะอธิบาย จึงถามว่า “ในเมื่อไม่ใช่เย่ว์เอ๋อร์มีข่าวดี เช่นนั้น แม่ยายของเจ้าไล่เจ้าออกมาด้วยเหตุใด”
“ท่านแม่ยายถามว่าข้าจะทำเช่นไรต่อ ข้าตอบไม่ได้ นางจึงสั่งให้คนไล่ข้าออกมา”
“สมควรแล้ว!”
ไทเฮาตำหนิเขา นั่งลงบนเก้าอี้เช่นเดิม “นอนร่วมเตียงกับลูกสาวเขาแล้ว แต่กลับไม่ได้วางแผน ข้าว่า แม่ยายเจ้านับว่ายังออมมือให้ หากเป็นข้า คงสั่งให้คนตีเจ้าจนเหลือแค่หนังแล้ว”
“เสด็จแม่ ข้าเป็นลูกท่านนะขอรับ”
ท่าป๋าหั่นหลินคัดค้านด้วยความไม่พอใจ
ไทเฮากลอกตาใส่เขา “แล้วอย่างไร ทำลายชื่อเสียงลูกสาวเขา สมควรโดนทุบจนตาย”
ท่าป๋าหั่นหลินรู้ดีว่าไทเฮาโกรธ จึงไม่กล้าพูดอะไร
ไทเฮาไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม ถลึงตาใส่เขาหลายที “ยังนิ่งอยู่ไย ยังไม่รีบไปจัดของ แล้วไปสู่ขอที่จวนอ๋องอีก”
“เรื่องนั้น…”
ท่าป๋าหั่นหลินลังเล ท่าทางของหวงฝู่เย่าเย่ว์เขาเห็นอย่างชัดเจน ว่าไม่อยากกลับรัฐอิงกับเขา หากเขาไปสู่ขอเช่นนี้ เกรงว่านางจะไม่ตอบรับ
เห็นเขาขมวดคิ้ว ไทเฮาจึงถามว่า “อย่างไร เย่ว์เอ๋อร์ไม่ยินยอมหรือ”
ท่าป๋าหั่นหลินส่ายหน้า “เสด็จแม่ อีกสองสามวันค่อยว่ากันเถิด”
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน ท่าป๋าหั่นหลินยังไม่มีข่าว ไทเฮาร้อนใจ สั่งให้คนไปเรียกเขาออกมาจากห้องนอน “ลูกแม่ คิดออกแล้วหรือยัง นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วนะ”
สีหน้าของท่าป๋าหั่นหลินจริงจัง โบกมือ สั่งให้บ่าวออกไป เดินไปหาไทเฮา คุกเข่าลง พูดด้วยความหนักแน่นว่า “เสด็จแม่ ข้าคิดดีแล้ว ข้าจะแต่งเข้าจวนอ๋องขอรับ”
ไทเฮาเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ น้ำเสียงสั่นคลอน “ลูก ลูกแม่ เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ”
สีหน้าท่าป๋าหั่นหลินมุ่งมั่น “เสด็จแม่ ท่านไม่ได้ฟังผิด ข้าจะแต่งเข้าจวนอ๋องขอรับ”
“นี่ นี่ นี่…”
ไทเฮาติดอ่าง พูดไม่ออก
“ข้าทำร้ายเย่ว์เอ๋อร์อย่างสาหัส นางตัดสินใจไม่กลับรัฐอิงอีก อีกอย่าง นิสัยของนางร่างเริง นางไม่ยอมถูกขังอยู่ในกำแพงสูงตลอดชีวิต ข้าพูดแล้วว่าหนี้ที่ติดค้างนางไว้ ต้องใช้ชีวิตที่เหลือชดใช้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะแต่งเข้า ใช้ชีวิตสุขสำราญกับนาง”
ริมฝีปากไทเฮาสั่นหลายทีแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
ท่าป๋าหั่นหลินก้มศีรษะลง แล้วเงยหน้าขึ้น “เสด็จแม่ ลูกเติบโตมาในวัง ทำการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง ใช้ชีวิตอย่างระแวง กลัวว่าวันหนึ่งวันใด จะถูกคนทำร้าย จนสูญเสียชีวิต ต่อมา เสด็จพ่อให้ข้าสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ ข้ามีอำนาจ แต่ก็ยังไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามใจปราถนา ถูกคนบงการ กระทั่งลูกของตัวเองยังรักษาไว้ไม่ได้ แม้ตอนนี้จะจัดการอุปสรรคเหล่านั้นแล้ว แต่ใครจะรู้ได้ว่าภายหน้าจะเกิดสิ่งใดขึ้น”
ในที่สุดไทเฮากพูดขึ้น “แต่ แต่ว่านี่เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่เสด็จพ่อส่งต่อให้เจ้า เจ้าจะทิ้งไปโดยง่ายได้อย่างไร”
ท่าป๋าหั่นหลินส่ายหน้า “เสด็จแม่ผิดแล้ว ความยิ่งใหญ่ของเสด็จพ่อ ได้สูญสิ้นไปแล้ว นับแต่ท่านได้สบยต่อรัฐอู่ บัดนี้เพียงแต่ฮ่องเต้รัฐอู่เมตตา เป็นแบบอย่างให้ราษฎรเห็น แต่หากวันใดเขาอยากได้คืน พวกเราทำได้เพียงมอบให้เขาอย่างเชื่อฟัง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเรายังมีสิ่งใดให้อาลัยอยู่ ทิ้งทุกสิ่ง แล้วใช้ชีวิตอย่างสำราญใจ ไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการมาตลอดหรือ”
ไทเฮาตอบด้วยเสียงสั่น “เรื่อง…เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก เจ้า…เจ้าให้แม่คิดให้ดีก่อน”
“เสด็จแม่ไม่ต้องคิดแล้วขอรับ ลูกอยู่ที่ใด ท่านก็อยู่ที่นั่น รอให้ข้าและเย่ว์เอ๋อร์แต่งงานกันแล้ว ข้าจะรับท่านไปอยู่ที่จวนอ๋องด้วยกัน”
“ไม่ๆๆ เจ้าให้ข้าคิดให้ดีก่อน คิดให้ดี”
ไทเฮารับไม่ได้ในทีแรก จึงได้พูดเช่นนั้น
ท่าป๋าหั่นหลินเม้มปาก ไม่พูดอะไรต่อ
ผ่านไปหลายวัน ไทเฮายังคงไม่เห็นด้วย
ทุกคนในจวนอ๋องทนไม่ไหว โดยเฉพาะเมิ่งเชี่ยนโยว คิดถึงคำของวันนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดว่าสิ่งที่ตนได้บอกไปนั้นชัดเจนมากพอแล้ว ตามหลักแล้ว ต่อให้ไปซื้อของกำนัลมาทั่วทั้งเมือง เวลาเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หลายวันมาแล้ว ยังไม่มีข่าวคราว เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
ไฟโกรธในใจหวงฝู่เย่าเย่ว์ปะทุขึ้นมา เขาเองมาขอร้องถึงที่ แบกหน้ามา รั้นจะอยู่ในจวนต่อก็เป็นเขา บัดนี้เขาเห็นตนเปลี่ยนใจ กลับเล่นแง่เช่นนี้ หลายวันมาแล้ว ยังไม่มาสู่ขอนาง เขาหมายความเช่นไรกัน
ทุกคนในจนอ๋องโกรธจนไฟลุก ท่าป๋าหั่นหลินเองก็ร้อนใจนัก หลังจากวันนั้นไทเฮาก็เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ออกมา และไม่อนุญาตให้เขาเข้าไปหา เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน อารมณ์เย่ว์เอ๋อร์ร้อนเช่นนั้น จะไม่ให้นางเสียสติได้อย่างไร
ในที่สุด หลังจากผ่านไปอีกสองวัน ไทเฮาสั่งให้คนมาตามตัวเขาเข้าไป
เห็นได้ชัดว่าหลายวันมานี้นางไม่ได้พักผ่อนเป็นอย่างดี ร่างกายดูอิดโรย สีหน้าดูไม่ดี เมื่อพูด น้ำเสียงแหบแห้ง “ลูกแม่ แม่พิจารณาดีแล้ว ในเมื่อเจ้าดึงดันคิดเช่นนี้ แม่ไม่อยากทำให้เจ้าลำบากใจ แต่แม่มีหนึ่งสิ่งอยากขอร้อง ต่อไปลูกของเจ้าต้องใช้แซ่ท่าป๋าของเรา เช่นนี้ต่อให้แม่ต้องตายจากไป แม่ก็ยังมีหน้าไปพบกับเสด็จพ่อของเจ้า”