ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 40 ออกเดินทาง
“ท่านพ่อ!” เสียงร้องแหลมที่ตกใจกลัวดังออกมาจากปากของหลินหันเยียน และเหมือนว่าจะนึกอะไรออกทันใด จึงรีบวิ่งเข้าไปเอาชายเสื้อของตัวเองเช็ดใบหน้าเล็กๆ ของหวงฝู่เฮ่าอย่างรวดเร็ว
เดิมที เหล่าทหารก็กลัวอยู่แล้ว เสียงร้องแหลมและการเคลื่อนไหวที่ตามมาของนางก็ยิ่งทำให้พวกเขาเตลิด ทั้งสี่คนก็ถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่ได้นัดหมาย ส่วนสามคนที่เหลือก็มองทหารที่ถูกพ่นใส่อย่างหวาดกลัว ขณะเดียวกัน ปากก็สั่นจนพูดอะไรไม่ออก
สีหน้าของทหารที่ถูกพ่นใส่ขาวซีดจนไม่เหลือเลือดแม้แต่น้อย ปรายตามองดูแขนของตัวเอง แล้วมองท่าทางของหลินหันเยียน ก็ได้สติขึ้นมา จึงรีบถอดเสื้อนอกของตัวเองออกอย่างลนลาน และโยนทิ้งลงที่พื้น
ครั้งนี้ ทหารทุกคนล้วนตกใจ และไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาข้างหน้าสักคน
ผู้นำทหารก็ตื่นตระหนกไม่น้อย จึงรีบโบกมือ สั่งทุกคน “ไปๆๆๆ รีบไปเร็ว!”
ทหารสิบกว่าคนก็แย่งกันวิ่งออกไปด้านนอก ความเร็วนั้นราวกับว่า ถ้าช้าอีกก้าวเดียวจะถูกแพร่เชื้อใส่อย่างไรอย่างนั้น
ในร้านยาก็เงียบสงัดลง เสียงบ่นของหลินหันเยียนก็ดังเข้าหูของเถ้าแก่และพวกลูกน้องที่ยังไม่ได้สติคืนมาอย่างกระจ่างชัด “ท่านพ่อ ข้าบอกท่านไปแล้วมิใช่หรือเจ้าคะว่า แม้ว่าท่านอยากจะอาเจียน ถ้ามีคนอยู่มากก็ต้องอดทนเจ้าค่ะ ทำไมท่านถึงไม่จำสักทีนะ”
พูดจบ ก็เผยหน้ายิ้มแก้เขินให้แก่เถ้าแก่ “เถ้าแก่ ขอโทษจริงๆ เจ้าค่ะ ตอนเย็นพ่อของข้ากินมากไปหน่อย เมื่อครู่ก็เป็นเพราะว่าต้องอดทนไม่ไอ ถึงได้กระทำอะไรที่เสียมารยาทเช่นนั้น ท่านอย่าได้ถือสานะเจ้าคะ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หัวใจของเถ้าแก่กับพวกลูกน้องที่หล่นไปถึงตาตุ่มก็กลับมาที่เดิม เถ้าแก่โบกมือ “ไม่เป็นไร คนแก่อายุมากแล้ว ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเวลาที่ควบคุมไม่ได้ ท่านก็อย่าได้ไปตำหนิเขา รีบพยุงเขากลับไปพักผ่อนเถิดขอรับ”
“ขอบคุณเถ้าแก่เจ้าค่ะ การได้เจอท่านครั้งนี้ช่างเป็นบุญวาสนาของท่านพ่อข้าจริงๆ” หลินหันเยียนพูดอย่างเอาใจ แล้วพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับไป
เถ้าแก่กลับถอนหายใจเบาๆ และโบกมือสั่งลูกน้องภายในห้อง “ลงกลอนประตูให้ดี แล้วรีบไปพักผ่อนเถิด”
เมื่อกลับไปเข้าในห้อง หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ป้องปากหัวเราะจนล้มไปนอนกับเตียง หวงฝู่เฮ่าก็หัวเราะจนต้องกดท้องเอาไว้ ส่วนหลินหันเยียนนั้น แม้จะไม่แสดงท่าทางประเจิดประเจ้อเหมือนกับพวกนาง ก็ก้มหน้า ไหล่สั่นเทิ้มอย่างแรง
เมิ่งเชี่ยนโยวรินน้ำส่งให้แก่หวงฝู่อี้เซวียนอย่างยิ้มแย้ม
หวงฝู่อี้เซวียนรับมาดื่มอึกหนึ่ง กลั้วปากและบ้วนออกมา แล้วถาม “เจ้าให้ข้ากินอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มจนคิ้วโก่งบาน แต่ก็ไม่ได้บอกเขา
เวลาผ่านไปติดต่อกันสามวันแล้ว ก็ยังไม่ได้เจอพวกหวงฝู่อี้เซวียน องค์ชายใหญ่ก็โมโหจนโบยตีพวกทหารที่ไม่ตั้งใจค้นหาหลายคนจนตาย เนื่องจากความกดดันของข้าราชการและการต่อต้านของประชาชน เช้าวันที่สี่จึงได้มีคำสั่งให้เปิดประตูเมืองในที่สุด ทว่า ก็ยังคงสั่งให้ตรวจสอบคนที่ออกเมืองอย่างเข้มงวด แม้แต่คนที่น่าสงสัยเพียงคนเดียวก็ไม่อาจปล่อยไปได้
ได้ยินข่าวนี้ หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตัดสินใจเด็ดขาด และออกจากเมืองโดยทันที
เมื่อทุกคนปรึกษากันเรียบร้อย หลินหันเยียนก็มาหาเถ้าแก่ และพูดอ้อนวอน “เถ้าแก่เจ้าคะ ท่านพ่อของข้าพักอยู่ในร้านหมอมาสามวันแล้ว รู้สึกว่าอาการป่วยทุเลาลงไม่น้อย และบ่นว่าอยากจะกลับบ้านให้ได้ แต่ข้ากลัวว่า ร่างกายนั่นของเขาจะทนถึงบ้านไม่ไหว บ้านที่มีแต่ลูกสาวอย่างข้า จะไปซื้อม้าคนเดียวตามลำพังก็ไม่เหมาะสม ดังนั้นท่านสามารถขายรถม้าของร้านยาให้แก่พวกเราคันหนึ่งได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านวางใจ ข้าจะเพิ่มเงินท่านมากขึ้นอีกเจ้าค่ะ”
พักมาสามวันแล้ว เสียงไอไม่เพียงแต่ไม่หยุด กลับยิ่งมีแนวโน้มที่จะหนักขึ้นกว่าเดิม เถ้าแก่กำลังคิดหาวิธีให้พวกเขาออกไปจนปวดหัวพอดีเชียว พอได้ยินคำพูดของหลินหันเยียน ก็ควบคุมใจที่ตื่นเต้นของตัวเอง และพยักหน้าโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร “แม่นางพูดอะไรอย่างนั่นเล่าขอรับ ในเมื่อคนชราคิดอยากจะกลับบ้าน พวกเราก็ควรต้องช่วยเขาดังที่ต้องการอยู่แล้ว ส่วนเรื่องรถม้าน่ะ ภายในร้านยามีสองคัน ท่านไปเลือกคันหนึ่งมาก่อน แล้วพวกเราค่อยตกลงเรื่องราคากัน”
“ขอบคุณเถ้าแก่อย่างยิ่งเจ้าค่ะ ท่านวางใจ วิชาของหมอสูงกล้าอย่างยิ่ง รอให้ข้ากลับไปถึงบ้านแล้ว ก็จะช่วยท่านประกาศชื่นชมออกไปทั่วทุกแห่งอย่างสุดกำลังแน่นอนเจ้าค่ะ”
คำพูดของหลินหันเยียนทำให้เถ้าแก่ใจฟูฟ่องอย่างมาก หลังจากสั่งลูกน้องให้พานางไปเลือกรถม้าหนึ่งคันแล้ว ก็เรียกในราคาที่เหมาะสม พร้อมกับให้ยาบำรุงดีๆ อีกหลายชนิดตามคำร้องขอของหลินหันเยียน
ครั้นได้รถม้าแล้ว หลินหันเยียนก็เดินไปที่หลังเรือน ไม่นาน ทั้งหกคนก็ออกจากหลังเรือนมาขึ้นรถม้า จากนั้น…ก็ลำบากแล้ว เพราะว่าในบรรดาพวกเขาไม่มีใครที่ขี่ม้าเป็นแม้แต่คนเดียว
ขณะที่ยืนอยู่ข้างรถม้า หลินหันเยียนก็ร้อนใจจนเกือบน้ำตาไหล เดินเข้ามารับบังเ**ยนจากมือของลูกน้อง แล้วลองพยายามควบคุมรถม้า แต่ม้าก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
หลินหันเยียนรู้สึกอยากจะร้องไห้ น้ำตาก็เริ่มไหลเอ่อที่ขอบตา
เห็นครอบครัวที่มีแต่คนที่แก่ก็แก่ เด็กก็เด็ก เถ้าแก่ก็ทนไม่ไหว เดินเข้ามาซักถาม “แม่นาง พวกท่านพักอยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นให้ลูกน้องของข้าไปก็ส่งแล้วกัน”
“ขอบคุณเถ้าแก่เจ้าค่ะ ขอบคุณเถ้าแก่เจ้าค่ะ” หลินหันเยียนดีใจจนเกือบสะอื้นไห้ รีบกล่าวขอบคุณ “ท่านให้ลูกน้องส่งพวกข้าออกจากเมืองก็พอ ทางที่เหลือ พวกเราจะค่อยๆ เดินรถกลับไป”
เถ้าแก่เรียกลูกน้องมาคนหนึ่ง แล้วสั่งให้คุมรถม้าไปส่งทุกคนออกนอกเมือง
หลังจากหลินหันเยียนกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก็ขึ้นนั่งบนชานรถม้าอีกด้านหนึ่ง ลูกน้องตวัดบังเ**ยน ตะเบ็งไล่ม้าแล้ว พวกเขาก็มุ่งไปยังประตูเมืองพร้อมด้วยเสียงไอของหวงฝู่อี้เซวียน
ไม่ได้เปิดประตูเมืองเป็นเวลาสามวัน พวกประชาชนภายในและนอกเมืองก็รอจนร้อนใจอยู่นาน ดังนั้นวันนี้ คนที่เข้าออกเมืองจึงมีมากเป็นพิเศษ
ทันทีที่ลูกน้องเร่งรถม้ามาถึงหน้าประตูเมือง ก็เห็นแถวที่รอออกจากเมืองยาวเป็นหางเว่า จึงหันหน้าไปพูดกับหลินหันเยียน “ดูจากสถานการณ์นี้แล้ว พวกเราน่าจะต้องคอยอย่างน้อยครึ่งชั่วยามขอรับ”
เห็นทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเมืองเหล่านั้น มือของหลินหันเยียนก็มีเหงื่อซึมออกเล็กน้อย แล้วก็ฝืนฉีกยิ้มออกมา “ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ พวกเราก็แค่รอหน่อยก็เท่านั้นเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบแหวกม่านรถออก เมื่อเห็นสถานการณ์ที่ประตูเมือง ก็ยิ้มพูดเสียงเบากับหวงฝู่อี้เซวียน “อยู่ที่เจ้าแล้วนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า แล้วค่อยๆ เพิ่มเสียงไอดังขึ้น
คนที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังรถม้าต่างหวาดกลัว และอดไม่ได้ที่จะพากันหลบออกมาเล็กน้อย
ลูกน้องเห็นพื้นที่ว่างก็รีบตะเบ็งให้ม้าเดินข้างหน้าอีกหน่อย
แล้วก็ได้เคลื่อนไปข้างหน้าเช่นนี้ จนมาถึงประตูเมืองภายในเวลาเพียงไม่นานเกินคาด
ในกลุ่มทหารที่ตรวจสอบ มีหลายคนที่เป็นทหารที่ไปตรวจสอบเมื่อคืนนั้น ครั้นได้ยินเสียงไอที่คุ้นเคยนี้ ในใจก็สั่นไหวโดยพลัน ไม่ใช่เพราะอะไร เพียงเพราะคืนนั้น หลังจากทหารที่โดนพ่นใส่กลับมาแล้ว ก็ป่วยไข้ทันที จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายดี ในใจของพวกเขาก็เกิดความกลัวกับเสียงไอนี้ขึ้นมาจริงๆ ฝีเท้าก็ถอยหลังออกไปหลายก้าวตามสัญชาตญาณ ยกมือขึ้นป้องปากและจมูกตัวเองแล้ว ก็โบกมือให้กับลูกน้อง “รีบไป รีบไป อย่าได้ไปแพร่เชื้อใส่คนอื่น”
เมื่อคำว่า ‘แพร่เชื้อ’ สองคำนี้เข้าหู คนที่ต่อแถวอยู่ก็กระสับกระส่ายขึ้นมา แล้วพากันเปิดทางให้
ลูกน้องอึ้งตะลึง และอยากจะกล่าวอธิบาย แต่หลินหันเยียนก็เอ่ยปากขึ้นทันที “รีบไปเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้ประวิงเวลาคนด้านหลังเลย”
คำพูดที่อยู่ในปากของลูกน้องก็กลืนกลับเข้าไป ทันทีที่สะบัดบังเ**ยน รถม้าก็ออกนอกประตูเมืองไป เมื่อคาดว่าออกมาเป็นระยะหนึ่งลี้กว่า และไม่เห็นฝูงคนที่เบียดเสียดด้านหลังแล้ว หลินหันเยียนก็ให้ลูกน้องหยุดรถม้า แล้วมอบเงินที่เหลือสุดท้ายให้แก่เขาทั้งหมด “ขอบคุณพี่ชายที่ช่วยเจ้าค่ะ เงินเหล่านี้เจ้าเอาไปซื้อสุราาดื่มนะเจ้าคะ”
มองเงินในมือของหลินหันเยียน และพบว่าจำนวนน่าจะเท่ากับค่าแรงสองเดือนของเขาเป็นอย่างน้อย ลูกน้องก็ไม่กล้ารับ และตกใจจนโบกมือไม่หยุด “แบบนี้ไม่ได้หรอกขอรับ อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ทำอะไร”
“รับไปเถิดเจ้าค่ะ ต่อไปพวกยังต้องมาที่ร้านยา และยังต้องขอความกรุณาให้ท่านช่วยดูแลอีกเจ้าค่ะ”
ลูกน้องกลืนน้ำลาย แล้วรับมาด้วยมือที่สั่น หัวใจของเขาเต้นระรัว ไม่กล้าจินตนาการเลยว่าตัวเองจะดวงดีถึงขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าเพียงแค่มาคุมรถม้าให้คนอื่น ก็ได้เงินเหล่านี้มาโดยเปล่า
หวงฝู่เฮ่าลงจากรถม้า รับบังเ**ยนจากมือลูกน้อง
จากนั้นตัวก็กระโดดขึ้นไปนั่งบนรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ส่วนหลินหันเยียนขึ้นนั่งอยู่ที่ชานรถม้าข้างๆ ทันทีที่หวงฝู่เฮ่าตวัดบังเ**ยน รถม้าก็มุ่งไปด้านหน้าอย่างช้าๆ
ลูกน้องประคองเงินเหล่านั้น ยืนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งรถม้าไปไกลมากแล้ว ถึงเอาเงินกอดไว้ในอ้อมอกอย่างระมัดระวัง แล้วหันกลับไปเข้าเมือง
แม้ว่าจะออกมาจากหวงเฉิงแล้ว ทุกคนก็ไม่กล้าชักช้า จึงมุ่งหน้าไปยังชายแดนโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ยังไม่ทันถึงชายแดน ก็เห็นทหารที่ถืออาวุธเป็นกลุ่มดำๆ ยืนอยู่ทางออกชายแดนทั้งสองฝั่งจากที่ไกลๆ กำลังตรวจสอบคนออกชายแดนอย่างเข้มงวด ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็คือองค์ชายใหญ่ที่นั่งอยู่บนม้าด้วยสีหน้าดุร้าย สายตาดั่งเหยี่ยวนั่นจับจ้องทุกๆ คน
หลินหันเยียนก็ให้หวงฝู่เฮ่าหยุดรถม้าอย่างรวดเร็ว แล้วรายงานเข้าไปในรถม้าเบาๆ “องค์ชายใหญ่เฝ้าอยู่ที่ชายแดนเจ้าค่ะ แม้พวกเราอยากจะออกไป ก็เกรงว่าคงจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดม่านออกมา มองไปข้างหน้า แล้วก็เป็นอย่างที่หลินหันเยียนว่าจริงๆ กองทัพสีดำทะมึนๆ เป็นกลุ่มใหญ่สุดลูกหูลูกตาเฝ้าอยู่ที่ชายแดน และยังมีองค์ชายใหญ่ที่มองผู้คนอย่างดุร้ายดั่งเสือ หากอยากจะออกไป ก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายโดยแท้จริง แต่ก็ยากนักกว่าที่ออกจากเมืองมาได้ ถ้ากลับไปก็จะกลายเป็นลูกแกะเข้าถ้ำเสืออีก
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็รีบยืนขึ้น สั่ง “หันหัวกลับไปทางรัฐหมิง”
รัฐหมิงกับรัฐอู่ไม่ใช่อาณาเขตเข้าออกต่อกัน องค์ชายใหญ่จึงน่าจะไม่ได้ส่งคนไปเฝ้าอยู่ตรงนั้นมากมาย เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าได้ จึงพยักหน้าเห็นด้วย “ตกลง ไปที่รัฐหมิง”
หวงฝู่เฮ่าหันหัวม้า
หวงฝู่อี้เซวียนออกจากรถม้า รับบังเ**ยนจากมือของเขา แล้วสั่งกับหลินหันเยียน “พวกเจ้าไปพักในรถม้าสักหน่อย ข้าควบคุมเอง”
เพื่อไม่ให้ถูกสงสัยแล้ว หลินหันเยียนถึงได้นั่งอยู่นอกรถม้า ตอนนี้หวงฝู่อี้เซวียนออกมาคุมม้าแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่บอก ตัวเองก็ไม่คิดจะนั่งอยู่ด้านนอกแน่นอน พอได้ยินดังนั้น ก็แหวกม่านรถม้า แล้วมุดตัวเข้าไป
หวงฝู่อี้เซวียนเร่งม้าด้วยความเร็วสูง หลังจากนั้นสี่ชั่วยามก็มาถึงชายแดนของรัฐหมิงกับรัฐอิง
ทุกคนสับเปลี่ยนตำแหน่ง ให้หวงฝู่เฮ่าออกคุมม้า และหลินหันเยียนนั่งอีกด้านหนึ่ง
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงนั่งอยู่ภายในรถม้าและไอไม่หยุด
เมื่อทหารที่อยู่ชายแดนซักถาม หลินหันเยียนก็อธิบายว่าพ่อของตัวเองป่วยโรคประหลาด และจะไปหาหมอที่มีชื่อภายในรัฐหมิงเพื่อรักษา
หลังจากทหารตรวจสอบอย่างละเอียด แล้วไม่ได้ความผิดปกติอะไร ก็เปิดทางให้ไป
ทันทีที่ได้เข้ามาในอาณาเขตของรัฐหมิง ทั้งหกคนถึงถือว่าสบายใจได้แล้ว ขณะเดียวกันแสงของฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว จึงปรึกษากันพักหนึ่ง และตกลงกันว่าจะหาโรงเตี๊ยมพักคืนหนึ่งก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับรัฐอู่แต่เช้า
ณ ด่านกำแพง อ๋องฉีเฝ้ารอติดต่อกันห้าวันแล้ว ก็ยังไม่ได้รับข่าวว่าหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวพาเด็กๆ กลับมา อีกทั้งยังมีทหารด้านหน้ามารายงานว่าชายแดนของรัฐอิงมีกองทัพทหารกลุ่มใหญ่ดำๆ รวมตัวอยู่
อ๋องฉีได้ยินแล้วก็รู้สึกนั่งไม่ติด จึงพูดกับฉู่เหวินเจี๋ย “ผ่านไปห้าวันแล้ว พวกเซวียนเอ๋อร์ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ เลย คาดว่าน่าจะถูกจับแล้วล่ะ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่อาจรอคอยได้อีกต่อไป พรุ่งนี้เช้า บุกโจมตีรัฐอิงทันที”