ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 69 หนีหัวซุกหัวซุน
คำพูดของเหวินซื่อ ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนโกรธเป็นอย่างมาก ลูกชายโง่ๆ ของเขาเนี่ยนะ จะมาอาจเอื้อมลูกสาวของตน
และแน่นอน ตอนนี้หวงฝู่อี้เซวียนคิดว่าลูกชายของเหวินซื่อเป็นคนโง่เขลา แม้ว่าเขาจะรับช่วงต่อดูแลร้านยาเต๋อเหรินบางส่วนตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เจ้าเหวินซื่อที่เป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง มีเวลาว่างไปอยู่กับเมีย ไปตรวจตราร้านรวง เที่ยวเล่นเบิกบานสำราญใจ
เหวินซื่อพูดจบ ก็นั่งหลังตรงรอฟังคำตอบจากหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนพูดพร้อมกับน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นักว่า “นี่เป็นความคิดของเถ้าแก่เหวินหรือว่าความคิดของคุณชายเหวินกันล่ะ”
“เป็นความคิดของข้าสิ พวกเราสองตระกูลเป็นมิตรต่อกัน แล้วถ้าได้ดองญาติกัน จากที่สนิทอยู่แล้วก็จะสนิทชิดเชื้อยิ่งขึ้น ก็ยิ่งดีมิใช่หรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเห็นด้วย “เถ้าแก่เหวินพูดถูก ดีจริงๆ”
แต่เหวินซื่อกลับรู้สึกว่าคำพูดของเขาไม่ค่อยถูกต้องเท่าไร แต่ก็ไม่รู้ว่าผิดตรงไหน เลยลองเชิงถามดูว่า “เอ่อะ เจ้าเห็นด้วยงั้นหรือ”
“เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์โตมากับท่านอ๋องและพระชายา เรื่องแต่งงานของพวกนางปกติแล้วก็จะเป็นท่านอ๋องกับพระชายาเป็นคนจัดการ” พูดจบ ยังไม่ทันให้เหวินซื่อตั้งตัว ก็ตะโกนออกคำสั่งกับโจวอันทันที “ไปรายงานเสด็จพ่อ บอกว่าเถ้าแก่ร้านยาเต๋อเหรินมาสู่ขอ”
โจวอันเปิดม่านประตูออกมามองเหวินซื่อด้วยสายตาสงสาร ตอบรับ แล้วรีบไปรายงานท่านอ๋องทันที
ท่านอ๋องฉีฟังจบ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที เพิ่งไปได้ตัวหนึ่ง ยังไม่ทันไร ก็มาเพิ่มอีกตัวหนึ่งแล้ว พวกมันเห็นว่าประตูจวนอ๋องฉีแห่งนี้มันเข้ามาง่ายขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์น่าสู่ขอแต่งงานมากเลยหรือยังไง
จึงลุกขึ้น เดินออกไป มองซ้ายมองขวา ก็มองเห็นท่อนไม้ที่วางอยู่หน้าประตู ไม่ได้ใช้มาหลายปีแล้ว เป็นท่อนไม้เดียวกับที่เอาไว้ใช้ไล่ตีหวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อวี้นั่นแหละ จึงหยิบขึ้นมา ถือไว้ที่ด้านหลังแล้วเดินมาที่ห้องรับแขก
กับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นสนิทกัน เวลาเจอพวกเขาสองคนไม่ต้องทำความเคารพก็ไม่ผิดระเบียบอะไร แต่พอท่านอ๋องฉีมา ถ้าไม่ทำความเคารพ นั่นถือว่าไม่ให้เกียรติเป็นอย่างมาก ดังนั้น พอท่านอ๋องฉีเดินเข้ามา เหวินซื่อก็ลุกขึ้นทันที โค้งคารวะ “ขอคารวะท่านอ๋องฉี”
ท่านอ๋องฉีตอบ “อืม” แล้วถามว่า “ได้ยินว่าเจ้ามาเพื่อสู่ขอหลานข้าไปให้ลูกชายของเจ้างั้นรึ”
“ขอรับ ท่านอ๋อง คนไหนก็ได้ พวกเราไม่เลือกมากขอรับ”
คำพูดของเขา ทำให้เส้นเอ็นตรงหน้าผากของท่านอ๋องฉีปูดโปนขึ้นมาทันที พูดกัดฟันออกมาว่า “เถ้าแก่เหวินหมายความว่าอย่างไร”
เหวินซื่อยังไม่รู้ตัว ว่าตนได้พูดคำไม่เหมาะสมออกไป เลยรีบอธิบายว่า “ข้าหมายถึง… …”
“ไม่สนว่าเจ้าจะหมายความเช่นไร ข้าขอถามแค่ว่า เถ้าแก่เหวินจะเดินออกไปเอง หรือว่าจะให้ข้าส่งออกไป” เขายังพูดไม่ทันจบ ก็โดนท่านอ๋องฉีแทรกขึ้นมาเสียก่อน
เหวินซื่อไม่เข้าใจในความหมายของท่านอ๋องฉี คำพูดที่เขาจะพูดกลืนลงไป ได้แต่ยืนมองท่านอ๋องฉี
ท่านอ๋องฉีพยักหน้า แล้วตัดสินใจเอง “ดูเหมือนว่าเถ้าแก่เหวินอยากจะให้ข้าไปส่งสินะ ถ้าอย่างนั้นข้าไม่เกรงใจล่ะนะ”
พูดจบ ก็เอามือออกมาจากด้านหลัง ท่อนไม้ที่อยู่ในมือกำลังฟาดลงไปทักทายเหวินซื่อ
ใกล้แค่นิดเดียว เหวินซื่อก็ยังไม่ได้สติ ท่อนไม้นั้นก็ตีลงไปบนตัวเขาเต็มๆ ดัง ปั๊ก
หวงฝู่อี้เซวียนก็เห็นภาพที่ตนเคยโดนตีเช่นนี้ ตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหวินซื่อเลย เขาร้อง โอ้ย กระโดดโหยงขึ้นมาทันที
พอตีลงไปหนึ่งที ก็ยังไม่พอ ท่านอ๋องฉียังไม่หายโกรธ ไม้ที่อยู่ในมือก็ตีลงไปอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ตีจนอ่วม เหวินซื่อก็ยังไม่เข้าใจว่าตนผิดตรงไหน ถึงทำให้ท่านอ๋องฉีโมโหขนาดนี้ แต่รู้ว่าถ้าหากไม่หลบ วันนี้คงได้ตายคาจวนอ๋องฉีแน่ ตอนนั้นไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หลบไปหลบมา ก็หาจังหวะออกมาจากห้องรับแขก ในตอนที่ท่านอ๋องฉีไล่ตามนั้น ก็หนีออกจากจวนอ๋องมาอย่างหัวซุกหัวซุน
คนในจวนต่างเคยชินกับการที่ท่านอ๋องฉีถือท่อนไม้นั้นเสียแล้ว แต่พอเห็นว่าคนที่โดนตีไม่ใช่หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้ ก็อดไม่ได้ที่จะมองด้วยความสงสัย
เหวินซื่อพอหนีออกมาได้ ก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น วิ่งไปที่รถม้าของตนเอง รีบออกคำสั่งว่า “เร็ว รีบไป!”
คนรถตกใจที่เห็นเขาในสภาพแบบนั้น ได้ยินดังนั้นจึงกระตุกเชือก เร่งม้าให้ออกไปจากประตูจวนอ๋องอย่างรวดเร็ว
ท่านอ๋องฉีไม่ได้ตาม พอเห็นรถม้าแล่นออกไปไกล ก็มองไปที่ท่อนไม้ในมือของตนเอง เสร็จแล้วก็ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี เดินกลับเรือนของตนไป
พอเหวินซื่อกลับ หวงฝู่อี้เซวียนก็กลับมาที่เรือนของตน เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เลยยิ้มถามเขาว่า “วันนี้เถ้าแก่เหวินมาด้วยเรื่องใดกัน”
“อ่อ มาสู่ขอน่ะ แต่โดนเสด็จพ่อไล่ตะเพิดไปเรียบร้อยแล้ว” หวงฝู่อี้เซวียนบอกกับนางอย่างอารมณ์ดี
แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มมองจ้องไปที่หวงฝู่อี้เซวียน แล้วถามว่า “แล้วเสด็จพ่อรู้ได้อย่างไร”
หวงฝู่อี้เซวียนได้แต่ลูบจมูก ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่เข้าใจได้อย่างไร จึงยิ้มส่ายหน้า แล้วไม่ได้พูดอะไร
เรื่องที่เกิดขึ้นไม่หยุดไม่หย่อนนี้ คนตระกูลเมิ่งที่อยู่ทางนอกเมืองเป่ยเฉิงก็ได้ยินแล้ว ตอนที่ได้ยินว่าไท่จื่อแห่งรัฐหมิงโดนท่านอ๋องฉีตีจนหนีกลับไป เมิ่งซื่อดีใจโบกไม้โบกมือพลางพูดว่า “ดี ท่านอ๋องทำถูกต้องแล้ว มันจะต้องเป็นแบบนี้ เขาจะได้ไม่กล้ามาอาจเอื้อมหลานสาวของพวกเราอีก”
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็รู้สึกเช่นเดียวกัน จึงพยักหน้าเห็นด้วย ยัยเด็กสองคนนั้น พวกเขาเห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด ถ้าหากแต่งออกไปไกลขนาดนั้น นานทีปีหนกว่าจะได้เจอกันทีหนึ่ง พอคิดถึงภาพตอนนั้น เขาก็อยากจะจัดการไท่จื่อแห่งรัฐหมิงนั่นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“เสียนเอ๋อร์ เจ้าส่งคนไปบอกโยวเอ๋อร์หน่อย บอกว่าข้าไม่ได้เจอยัยหนูสองคนนั่นมาหลายวันแล้ว คิดถึงพวกนาง บอกให้พวกนาง พรุ่งนี้มาหาข้าหน่อย” เมิ่งซื่อพูดกับเมิ่งเสียน
เมิ่งเสียนยังไม่ทันได้ตอบรับ เมิ่งเส้าก็รีบตอบรับก่อนทันที “ท่านย่า ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวข้าไปเอง”
“ข้าไปด้วย!” เมิ่งเซิ่งก็พูดขึ้น
“พวกเราก็จะไปด้วย!” เมิ่งเย่ว์และเมิ่งหงก็พูดขึ้น
“ดี พวกเจ้าเองก็ไม่ได้เจอท่านอามาหลายวันแล้ว อยากไปก็ไปเถอะ ถ้าหากมืดมาก ไม่อยากกลับบ้าน ก็นอนที่จวนอ๋องไปนั่นแหละ แล้ววันพรุ่งก็มากับพวกเมิ่งเอ๋อร์พร้อมกันทีเดียวเลย”
ทั้งสี่คนดีใจเป็นอย่างมาก ตอบรับว่า “ขอบคุณขอรับท่านย่า!”
ทั้งสี่คนไม่นั่งรถม้า ขี่ม้ามุ่งหน้าไปที่จวนอ๋องโดยทันที
นายประตูรู้จักพวกเขา เลยไม่ได้รายงาน ให้พวกเขาเข้าจวนอ๋องไปได้เลย
ทั้งสี่คนวิ่งมาที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรวดเร็ว แล้วเรียก “ท่านอา พวกเรามาแล้วขอรับ!”
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียง ก็ลุกขึ้น เดินออกไป พอเห็นหลานๆ ทั้งสี่คนก็ยิ้มแล้วถามว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรกันล่ะ หรือว่าที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ท่านย่าคิดถึงน้องเมิ่งเอ๋อร์กับน้องเย่ว์เอ๋อร์ขอรับ เลยให้พวกเรามารับน้องๆ ไปอยู่ที่บ้านสักสองสามวันขอรับ” เมิ่งเส้ายิ้มตอบกลับไป
ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเลยยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ก็ค่ำแล้ว พวกเจ้าค้างที่นี่ก่อนเถอะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยกลับไป”
ทุกคนต่างหวังจะให้เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เลยไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มตอบรับ
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ย พอได้ยินเสียงพวกเขา ก็ออกจากห้องมารอตั้งนานแล้ว พอได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดแบบนั้น ก็ส่งเสียงเฮออกมาพร้อมๆ กัน แล้วเดินเข้าไปลากทั้งสี่คนไปวาดรูปที่สวนดอกไม้หลังจวน
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ว่าอะไร ได้แต่มองพวกเขาเดินออกไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ
เจียงจิ่นมาทันเห็นพวกเด็กๆ พอดี จึงยิ้มอย่างดีใจ ตอนเด็กๆ เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์ชอบไปที่นอกเมือง เฮ่าเอ๋อร์ยังเด็ก มักร้องไห้งอแงอยากจะไปด้วย ในขณะที่นางกำลังจะอบรมเขานั้น พี่สะใภ้ใหญ่ก็ยิ้มแล้วอุ้มเฮ่าเอ๋อร์ขึ้นรถม้าไปด้วย ไม่รู้ว่าบ้านของพี่สะใภ้ใหญ่มีอะไรน่าดึงดูดนักหนา ตั้งแต่ตอนนั้น เวลาที่เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์จะไป เฮ่าเอ๋อร์ก็จะต้องตามไปด้วย นานวันเข้า อีกนิดเดียวเขาก็จะเข้าใจว่านั่นเป็นบ้านยายของตนเสียแล้ว
เด็กๆ ทั้งแปดคนเล่นกันอย่างสนุกสนานทั้งคืน วันที่สองหลังจากกินข้าวเสร็จก็ออกนอกเมืองไป
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ไม่ได้กลับบ้านแม่หลายวันก็ไปด้วยเช่นกัน
ในวันที่หนาวเหน็บ เมิ่งซื่อก็ออกมารอตั้งแต่เช้าแล้ว เมื่อเห็นเด็กๆ เข้ามา ก็ยิ้มหน้าบาน
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์วิ่งไปก่อน กอดแขนเมิ่งซื่อคนละข้าง แล้วร้องเรียก “ท่านยายเจ้าคะ”
เมิ่งซื่อตอบรับ
ส่วนหวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยไปคารวะเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านตาขอรับ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบรับ ยื่นมือออกมาลูบหัวของทั้งสอง แล้วพูดว่า “อากาศหนาว รีบเข้าบ้านกันเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพาเด็กๆ ไปทักทายเมิ่งจงจวี่และภรรยา เมิ่งต้าจินและภรรยาและเมิ่งซานถงและภรรยา จากนั้นถึงกลับไปที่เรือนของเมิ่งเอ้ออิ๋น
เด็กๆ อยู่เฉยไม่ได้ เลยออกไปเล่นกันที่นอกเรือน
มองเด็กๆ ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเขา หน้าของเมิ่งซื่อมีแต่รอยยิ้มที่เบ่งบาน หลังจากนั้นก็ถามเรื่องไท่จื่อแห่งรัฐหมิงที่มาสู่ขออย่างละเอียดว่าเป็นอย่างไรมาอย่างไร จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “โยวเอ๋อร์ พ่อของเจ้าสั่งให้คนไปรับท่านปู่ต้าฉุยกับย่าของเจ้ามาฉลองตรุษจีนด้วยกันแล้ว วันนี้ก็น่าจะถึงแล้ว ถ้าหากเจ้าว่างล่ะก็ วันนี้ก็อยู่ที่เรือนนี้เถอะ รอให้พวกเขามาก่อน เจอกันเสียหน่อยแล้วค่อยไป”
ปีนั้นตระกูลเมิ่งมาอยู่ที่นี่กันทั้งตระกูลแล้ว หลี่ต้าฉุยและภรรยาให้ตายอย่างไรก็บอกว่ามาด้วยไม่ได้ เมิ่งเอ้ออิ๋นก็จนปัญญา ได้แต่ฝากเขาสองคนให้คนในหมู่บ้านคอยดู แล้วให้เงินเดือนเอา แต่จะว่าไป ก็มีแต่ตรุษจีนนี่แหละที่พวกเขาจะต้องมาทุกปี
เพราะหลี่ต้าฉุยกับภรรยารับปากไว้แล้ว สิบปีมานี้ พอถึงช่วงหนาวๆ เช่นช่วงนี้แหละ เมิ่งเอ้ออิ๋นจะส่งคนไปรับพวกเขามาทุกปี
“ข้าคิดไว้แล้วว่าท่านพ่อจะส่งคนไปรับมาแล้ว ท่านปู่หลี่กับท่านย่าหลี่อายุมากขึ้นทุกปี ทิ้งให้พวกเขาสองคนอยู่ที่หมู่บ้านสองคน ข้าไม่ค่อยสบายใจนัก ครั้งนี้มาแล้ว พวกเราพูดโน้มน้าวอีกทีเถอะ ให้พวกเขาอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เมิ่งซื่อพยักหน้า “ข้ากับพ่อของเจ้าก็คิดเช่นนั้น รอให้พวกเขามาก่อน พวกเราค่อยช่วยกันพูด”
และแล้ว ตอนใกล้เวลาเที่ยง ที่หน้าประตูก็มีเสียงดังขึ้น เมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยากับเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกไปรับปู่หลี่กับย่าหลี่ที่กำลังลงมาจากรถม้า
“ท่านปู่หลี่ ท่านย่าหลี่เจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเดินเข้าไปพยุงแขนของหลี่ต้าฉุย และขานเรียกด้วยความคิดถึง