ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 97
ฮูหยินฮั่วเห็นพ้องต้องด้วย “พวกเจ้าไปห้องรับรองแขกเถิด ข้าสุขภาพไม่ดี คงมิได้ไปกับพวกเจ้า”
“ท่านแม่ยายรักษาสุขภาพด้วยขอรับ ลูกเขยไม่ขอรบกวนแล้ว เราครอบครัวเดียวกัน ท่านมิจำเป็นต้องเกรงใจข้าถึงเพียงนี้” ราวกับปากของนายน้อยอู่โหวฉาบด้วยน้ำผึ้งอย่างไรอย่างนั้น ทุกคำที่เขาพูดมาช่างทำให้สองสามีภรรยาฮั่วฟังแล้วชื่นใจนัก
น้ำเสียงของฮั่วเจี่ยดังสะท้านกว่าเดิม ฮูหยินฮั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ฮั่วเจี่ยพานายน้อยอู่โหวมายังห้องรับรองแขก สั่งให้บ่าวไปนำชามาให้ ลูบเคราของตน ยิ้มพร้อมถามว่า “เหวินเอ๋อร์ยังสบายดีหรือ”
“เรียนท่านพ่อตาขอรับ เหวินเอ๋อร์สบายดี ครานี้หากมิใช่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้ารีบมายังเจียงหนาน ข้าคงจะต้องพานางมาด้วยเป็นแน่ แต่ว่า ไม่เป็นไรหรอกขอรับ อีกไม่กี่วัน รอเรื่องสะสางแล้ว ข้าจะพานางมาพบหน้าท่าน”
ได้ยินคำของเขา ใจของฮั่วเจี่ยสั่น “อีกไม่กี่วันจะพามา” หมายความว่าเรื่องนี้จวนฮั่วของเขาสามารถรอดพ้นไปได้อย่างนั้นหรือ แต่ไม่ได้ถาม ยิ้มพร้อมพูดว่า “ดีๆ ข้าและแม่ยายเจ้ารอพวกเจ้ามาหาอยู่พอดี”
“แน่นอนขอรับ” ขณะที่พูดคำนี้ ใจของนายน้อยอู่โหวสลดลง ไม่มีความกล้า
ใจของฮั่วเจี่ยยังคงวนเวียนอยู่ในคำพูดเมื่อครู่ของเขา ฟังน้ำเสียงที่แปลกไปของเขาไม่ออก จึงได้หัวเราะและพูดว่า “ดีๆ”
ชะงักไปเล็กน้อย นายน้อยอู่โหวลองเอ่ยว่า “ท่านพ่อตาขอรับ ฝ่าบาทได้รับสาส์นด่วนจากท่านอ๋องฉี ความว่าท่านต้องการฆ่าเขา จึงได้จงใจทำให้สะพานหัก เป็นเหตุให้ชาวบ้านตายไปไม่น้อย เรื่องนี้มันเป็นมาเช่นไรกันแน่ขอรับ ท่านอยู่ที่เจียงหนานมานาน แล้วรู้จักกับอ๋องฉีได้อย่างไร”
ฮั่วเจี่ยเพิ่งเข้าใจ ที่แท้ทางวังหลวงรู้เรื่องก็เพราะเหตุนี้ ที่แท้อ๋องฉีได้ส่งข่าวไปนานแล้ว เห็นทีคนของเขาช้าไปก้าวหนึ่ง ในใจกำลังคิด ปากก็เล่าไป ไม่ได้ปกปิด เล่าเรื่องที่หลิวอวี้เอ๋อร์ไปบนสะพาน แล้วบังเอิญเห็นครอบครัวอ๋องฉี จึงได้เล่าเรื่องที่ถูกรังแกเมื่ออยู่ที่จวนอู่โหวแห่งเมืองหลวงและเหตุใดนางจึงมาที่เจียงหนานให้เขาฟัง เขาโกรธไม่น้อย ตั้งใจจะเรียกร้องความยุติธรรมให้จวนอู่โหวและหลิวอวี้เอ๋อร์ จึงคิดจะทำลายครอบครัวอ๋องฉีที่เจียงหนานอย่างลับๆ อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดรู้จักพวกเขา ตายไปก็เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ครอบครัวเขาต่างว่ายน้ำเป็น กระทั่งพระชายาที่บอกว่าอ่อนแอยังว่ายน้ำได้ พวกเขาจึงรอดมาได้ และทำให้เกิดเรื่องภายหลังต่อมา
นายน้อยอู่โหวฟังถึงตรงนี้ พยักหน้า ถามด้วยสีหน้าดังเดิม “เรื่องต่อมาคือเรื่องอะไรหรือ”
“เรื่องนั้น…” ฮั่วเจี่ยลังเล ฮั่วต้าตายไปแล้ว เรื่องที่เขาทำก็ตายไปพร้อมเขาด้วย ส่วนจูจือหมิง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง บอกเรื่องราวโดยละเอียดไม่ได้ เพียงเขากัดฟันไม่พูด ทางราชสำนักก็ไม่มีทางหาหลักฐานมาลงโทษจวนฮั่วได้
“ท่านพ่อตา พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านยังมีสิ่งใดต้องปิดบังข้าอีกหรือ ท่านบอกมา ลูกเขยคนนี้จะช่วยท่านเอง” น้ำเสียงของนายน้อยอู่โหวจริงใจ เมตตา
แม้ฮั่วเจี่ยมีแผนการณ์ซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติในคำพูดของเขา ยิ่งไปกว่านั้นนายน้อยอู่โหวแสดงท่าทีเป็นคนในครอบครัว จึงได้วางใจ เล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง
เขาพูดมากขึ้น นายน้อยอู่โหวก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น สมกับเป็นที่ไกลปืนเที่ยงเสียจริง ฮั่วเจี่ยตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ของที่นี่ กำเริบเสิบสานหนัก วางอำนาจกับชาวบ้านต่ำต้อยก็อีกเรื่อง ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ กล้ากระทั่งฆ่าครอบครัวอ๋องฉี อ๋องฉีเป็นถึงผู้ใด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาช่วยชีวิตฮ่องเต้องค์ก่อนไว้ รักษาชีวิตผู้นำของรัฐอู่ได้ ทั้งยังเป็นชินอ๋องผู้เดียว เป็นคนที่ผู้ใดแตะต้องไม่ถึง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวผู้ดุร้าย หากไปยั่วโมโหพวกเขา เขาไม่สนอะไรทั้งสิ้น หากไม่ใช่พวกท่านอ๋องปลอดภัยดี ไม่เช่นนั้นไม่ต้องรอพวกเขามาถึง จวนฮั่วก็คงกลายเป็นจวนร้างไปแล้ว ยิ่งฟังยิ่งกลัว ยิ่งฟังยิ่งเสียววาบที่สันหลัง เช่นนี้เอง ท่านพ่อจึงได้ให้ข้าควบม้าเร็วมายังเจียงหนาน เพื่อลงโทษตระกูลฮั่ว หากให้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวลงมือก่อน จวนอู่โหวก็คงติดร่างแหไปด้วย เพราะว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากอวี้เอ๋อร์ผู้เดียว เช่นนั้นจุดจบของจวนอู่โหว…
คิดถึงตรงนี้ ร่างของนายน้อยอู่โหวสั่นสะท้าน ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
ฮั่วเจี่ยรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเขา จึงได้หยุดสิ่งที่ตั้งใจจะเอ่ย ถามด้วยความสงสัยว่า “สีหน้าของลูกเขย เหตุใดจึงดูไม่ดีเช่นนั้นเล่า”
นายน้อยอู่โหวพยายามกดความรู้สึกตกใจของตนเอาไว้ ปรับน้ำเสียงให้นิ่ง แต่อย่างไรเสียงยังคงสั่นเล็กน้อย จงใจเปลี่ยนบทสนทนา “อวี้เอ๋อร์หายไปหรือขอรับ”
ฮั่วเจี่ยคิดว่าเขาเป็นห่วงอวี้เอ๋อร์จึงได้มีอาการเช่นนี้ จึงได้พยักหน้า เอ่ยว่า “เป็นความผิดของข้าเองทิ้งสิ้น ข้าดูแลคนไม่เข้มงวด ให้คนชั้นต่ำพวกนั้นพานางหนีออกไป จึงได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร”
นายน้อยอู่โหวเตรียมอ้าปากพูด
ฮั่วเจี่ยพูดต่อว่า “แต่ว่าลูกเขยวางใจได้ นับแต่คืนที่นางหายตัวไป ข้าได้สั่งให้ปิดประตูเมือง นางต้องอยู่ในเมืองเป็นแน่ บัดนี้เจ้ามาแล้ว สามารถระดมคนจากทางการมาช่วยกันหาได้”
ดวงตาของนายน้อยอู่โหวมืดลงเป็นระยะ ในใจคร่ำครวญ หากอวี้เอ๋อร์ออกจากเมืองแล้ว ยังพอปล่อยฮั่วเจี่ยไปได้ ไม่ถึงขั้นต้องให้จวนเขาเต็มไปด้วยใบประกาศประหารตัดคอ แต่หากหลิวอวี้เอ๋อร์ยังอยู่ในเมือง หากถูกหวงฝู่อี้เซวียนจับตัวได้ บังคับให้สารภาพทุกเรื่องออกมา อย่าว่าแต่จวนฮั่วเลย เพราะแม้แต่จวนอู่โหวเองก็ยากจะหนีจากการลงโทษของฝ่าบาทได้ เป็นครั้งแรก ที่นายน้อยอู่โหวรู้สึกเสียใจกับการที่เขาและฮูหยินตามใจหลิวอวี้เอ๋อร์จนเกินไป นางสร้างเรื่องไม่พัก แม้เขาจะเป็นพ่อแท้ๆ ของนาง แต่ครานี้คงมิอาจปกป้องนางได้
สีหน้าของเขาแย่ลงมากขึ้น ฮั่วเจี่ยเข้าใจว่าเขาเป็นกังวลต่อหลิวอวี้เอ๋อร์ จึงได้ปลอบใจ นายน้อยอู่โหวผุดลุกขึ้นกล่าวด้วยความรีบร้อนว่า “ท่านพ่อตาขอรับ ลูกเขยยังมีเรื่องด่วน ไม่สามารถอยู่นานได้ หากมีเรื่องอันใดพวกเราค่อยว่ากันวันหลังเถิด”
เอ่ยเสร็จ ไม่รอให้ฮั่วเจี่ยได้สติ หันหลังเดินออกมา ฝีเท้าเร็วเสียจนราวกับว่ากำลังเดินหนีหมาบ้าอย่างไรอย่างนั้น กว่าฮั่วเจี่ยจะได้สติกลับมา หวังจะรั้งเขาเอาไว้ เขาก็ได้เดินออกจากเรือนรับรองเสียแล้ว
ฮั่วเจี่ยขมวดคิ้วลง รู้สึกได้ถึงความผิดปกติแต่ยังคิดไม่ออกในทันที จึงได้นั่งอยู่ในห้องรับรองครู่หนึ่ง จึงค่อยกลับห้องในเรือนหลัก
อาการของฮูหยินฮั่วดีขึ้นไม่น้อย ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นเขาเข้ามา จึงได้ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ท่านพี่ เหวินเอ๋อร์ช่างโชคดีเสียจริง ที่ได้สามีที่ดีเช่นนี้”
คิดถึงภาพที่เมื่อครู่นายน้อยอู่โหวคุกเข่าลงคารวะทั้งสอง ใบหน้าของฮั่วเจี่ยปรากฎรอยยิ้มออกมาก ไม่ใช่วันสำคัญอะไร แต่มีลูกเขยมาเยี่ยมเยียนถึงที่ ซ้ำยังคารวะพ่อตาแม่ยายเช่นนี้มีน้อยนัก หนำซ้ำลูกเขยผู้นี้ฐานันดรสูงศักดิ์ยิ่ง ซ้ำยังก้มหัวให้พวกเขาต่อหน้าผู้คนมากมาย
ฮั่วเจี่ยได้ใจ แต่นายน้อยอู่โหวเศร้าใจยิ่งนัก เศร้ากระทั่งเดินออกจากจวนมาด้วยฝีเท้าไม่มั่นคง มองโจวอันพาองครักษ์ลับเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู กัดฟัน เข้าไปถามว่า “ซื่อจื่อแลผู้แทนพระองค์เมิ่งเล่า ไปที่ใดกัน”
“เรื่องนั้นข้ามิทราบ หากนายน้อยอู่โหวอยากทราบ ข้าจะส่งคนไปสืบมา”
“ขอบใจเจ้ามาก” หลายปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่นายน้อยอู่โหวกล่าวคำว่า ‘ขอบใจ’ กับโจวอันผู้ที่เขามองว่าเป็นเพียงข้าทาสผู้หนึ่ง
โจวอันกล่าวสองสามคำกับองครักษ์ลับ องครักษ์ลับพยักหน้า กระโจนขึ้นม้าเร็ว แล่นออกไป สืบถามมาตลอดทางกระทั่งถึงเหลาจวี้เสียน พบกับเถ้าแก่ ถามหาที่พักของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่นานก็ควบม้าเร็วกลับมารายงาน
นายน้อยอู่โหวได้ยินดังนั้น จึงปีนขึ้นม้าด้วยขาอ่อนแรง มายังที่ที่หวงฝู่อี้เซวียนพักอยู่ ลงจากม้าเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม ถามเถ้าแก่ว่า “มีคนจากเมืองหลวงมาที่นี่บ้างหรือไม่”
เถ้าแก่มองพิจารณาเล็กน้อย จากนั้นจึงมองผู้ที่ติดตามเขามาอยู่ด้านนอก พยักหน้า ชี้ไปยังชั้นบน “อยู่ห้องชั้นดีด้านบน”
นายน้อยอู่โหวไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตึง ตึง ตึง ขึ้นชั้นบนไป กวาดตามองห้องที่ปิดสนิทเหล่านั้น พูดเสียงดังว่า “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อ หลิวเหยี่ยนมาขอเข้าพบท่านขอรับ”
เสียงของเขา ทำเอาเถ้าแก่ตกใจเสียจนเกือบกัดลิ้นของตัวเอง สร้างความตื่นตระหนกให้แก่แขกเหรื่อในโรงเตี๊ยมเป็นอย่างมากแขกเหรื่อที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสต่างเบิกตาโพลง เงยหน้ามองไปด้านบน
อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน คิ้วขมวดลงเล็กน้อย
อ๋องฉีนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ วางมาดสั่งการ “เข้ามา!”
ได้ยินชัดเจนว่าเสียงดังออกมาจากห้องใด นายน้อยอู่โหวเดินไปยังหน้าห้องนั้น เปิดประตู เข้าไป หันไปปิดประตูอย่างเบามือ มองภายในห้องเล็กน้อย กล่าวทักทายด้วยความเคารพ “หลิวเหยี่ยนคารวะท่านอ๋อง ซื่อจื่อขอรับ” จากนั้นจึงได้กล่าวทักเมิ่งชิงว่า “คำนับท่านผู้แทนพระองค์”
เมื่อก่อน นายน้อยอู่โหวไม่ได้มีมารยาทเช่นนี้ กิริยาเช่นนี้ ทำให้อ๋องฉีเกิดความประหลาดใจขึ้น แต่ยังคงยื่นมือชี้ไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง “มิต้องคารวะหรอก นั่งเถิด”
“ขอบพระคุณท่านอ๋อง!” แล้วนั่งลงอย่างเรียบร้อย
“นายน้อยอู่โหวมาที่นี่มีเรื่องอันใด” อ๋องฉีไม่หลงกลเขา เอ่ยถามไปตามตรง
อ๋องฉีเป็นผู้ประสบเรื่อง รู้ความเป็นมาของเรื่องนี้ดี นายน้อยอู่โหวไม่แก้ตัวแทนฮั่วเจี่ย จึงได้ขอร้องไปตามตรงว่า “ยามข้ามาฝ่าบาทมีรับสั่งว่าให้ข้าร่วมมือกับท่านผู้แทนพระองค์ตรวจสอบฮั่วเจี่ย บัดนี้ข้ารู้เรื่องความผิดของฮั่วเจี่ยเป็นอย่างดีแล้ว มาที่นี่เพื่อต้องการให้ท่านผู้แทนพระองค์ช่วยเหลือ ระดมทหารเข้าเมือง จัดการตระกูลฮั่วเสีย ใช้กฎหมายบ้านเมืองจัดการพวกเขา สำเร็จโทษตามพระราชโองการด้วยขอรับ”
“นายน้อยอู่โหวหมายความว่า ท่านไปจวนฮั่วมาแล้วเช่นนั้นหรือ” อ๋องฉีถาม
“ขอรับ หลิวเหยี่ยนเกรงว่าพวกเขาจะสงสัย เมื่อเข้ามาแล้ว จึงได้ตรงไปที่จวนฮั่วโดยลำพัง หลอกล่อให้ฮั่วเจี่ยพูดความจริงออกมา เป็นความผิดมหันต์นัก ควรแก่การประหารเจ็ดชั่วโคตร!” พูดด้วยความหนักแน่น เต็มไปด้วยความเคืองโกรธ
ริมฝีปากของอ๋องฉีเบ้เล็กน้อย ในใจคิดว่า หลิวเหยี่ยนผู้นี้เกรงว่าคงรู้แล้วว่าหลิวอวี้เอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในจวน หวังใช้โอกาสนี้จับตระกูลฮั่ว ประหารพวกเขา รักษาชีวิตของหลิวอวี้เอ๋อร์เอาไว้ ทั้งยังรักษาจวนอู่โหวของตนได้อีกด้วย
แต่ว่า อ๋องฉีไม่ได้หวังจะลากจวนอู่โหวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขาเคยนำทัพทหาร เคยออกรบ รู้ดีว่าการรอดชีวิตจากศึกนั้นยากเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นนายน้อยอู่โหวเคยได้ออกรบเคียงคู่กับอดีตฮ่องเต้ ต่างรบราฆ่าฟันมาตลอด ใช้ความสามารถของตนนำมาซึ่งเกียรติแห่งจวนอู่โหว เขาทำไม่ลง ทั้งยังไม่สามารถทำลายจวนอู่โหวได้
พยักหน้า สั่งเมิ่งชิงว่า “ฮ่องเต้รับสั่งกับเจ้าแล้ว จงไปเถิด”
ผู้แทนพระองค์ไม่มีสิทธิ์ระดมทหาร แต่ครานี้ไม่เหมือนปกติ หวงฝู่ซวิ่นพระราชทานพระราชโองการให้ระดมพลได้
เมิ่งชิงรอเวลานี้มานาน ยืนขึ้น กล่าวกับนายน้อยอู่โหวด้วยความนอบน้อมว่า “เชิญนายน้อยอู่โหวขอรับ”