ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 98 จับตัว
ทั้งสองเดินตามกันออกไปจากห้อง
ทั้งโรงเตี๊ยมเงียบสงัด ทุกคนเงยหน้ามองพวกเขาด้วยความประหลาดใจ แล้วคาดเดาฐานันดรของทั้งสอง
ทั้งสองไม่สนใจสายตาของพวกเขา เดินออกจากโรงเตี๊ยมไป ไม่นานก็มาถึงค่ายทหารนอกเมือง เปิดพระราชโองการ ระดมทหารห้าพันนายเข้าเมือง
ฮั่วเจี่ยยังคงอยู่ในวังวนแห่งความสุขใจที่ได้พบกับนายน้อยอู่โหว ฮูหยินฮั่วก็สีหน้าดีขึ้นไม่น้อย นายน้อยอู่โหวมาแล้ว อวี้เอ๋อร์ก็ปลอดภัย ใจที่นางกังวลมานานหลายวัน ในที่สุดก็ได้วางลงเสียที
ขณะที่ทั้งสองกำลังสุขใจกันอยู่นั้น พ่อบ้านล้มลุกคลุกคลานวิ่งเข้ามา รายงานด้วยเสียงสั่นคลอนว่า “นาย นายท่าน เกิด เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ท่าน ท่านเขยเขา…”
พ่อบ้านเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ หากมิใช่เรื่องใหญ่หลวงเขาคงไม่ตื่นตระหนกเช่นนี้ ใจของฮั่วเจี่ยเกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมา ยืนขึ้นถามว่า “เหยี่ยนเอ๋อร์เป็นอะไร”
“เขานำกองทัพมาล้อมจวนของเราเอาไว้ขอรับ”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ฮั่วเจี่ยเบิกตาโพลงอย่างไม่เชื่อ
พ่อบ้านกลืนน้ำลายลงคอ รีบรายงานว่า “ท่านเขยนำกองทัพมาหลายนาย ล้อมจวนของเราเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ซ้ำยังบอกว่า ว่า…”
“บอกว่าอะไรเล่า รีบว่ามาสิ!”
“บอกว่า ให้นายท่านไปลานประหาร อย่าให้เขาได้ต้องลงมือด้วยตัวเองขอรับ!”
“เจ้าสัตว์นรก!” ฮั่วเจี่ยเตะเก้าอี้จนล้ม ด่าด้วยความโกรธ
ฮูหยินฮั่วงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น เหตุใดสถานการณ์จึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ เมื่อครู่นายน้อยอู่โหวเพิ่งจะก้มลงคารวะพวกนางอยู่หยกๆ พริบตาเดียวก็พากองทัพทหารมาจับพวกนางแล้วหรือ
จึงเอ่ยออกมาด้วยความหวาดกลัวว่า “ท่านเจ้าเมือง…” อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ฮั่วเจี่ยกลับเดินสาวเท้ายาวออกไปด้านนอก พาความโกรธออกไปพร้อมด้วย “สั่งการว่าให้ชายในจวนทุกผู้นำอาวุธออกมา ไปกับข้า ข้าจะไปดูหลิวเหยี่ยนใจสุนัขผู้นั้น ว่ามันมีปัญญาอะไรจะมาจับข้า”
“ขอรับนายท่าน!”
ฮั่วเจี่ยเดินออกไปด้านนอก ไฟโกรธในใจลุกโชน บัดนี้จึงได้เข้าใจแล้วว่า การกระทำทุกอย่างของหลิวเหยี่ยนเมื่อครู่เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ทุกอย่างเพียงเพื่อหลอกล่อความจริงออกจากปากเขา น่าขันยิ่งนัก ที่ตนบอกไปตามจริงทุกประการ มิได้ปิดบังเขาแม้แต่น้อย
“เจ้าสารเลว! วันนี้ข้ากับมันต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!” ฮั่วเจี่ยเดินไปพลางกัดฟันด่าไปพลาง อยากดึงทึ้งร่างนายน้อยอู่โหวใจแทบขาด
ประตูจวนปิดสนิท พลธนูยังคงซ่อนอยู่หลังกำแพง รอเวลาออกโรง
ฮั่วเจี่ยเดินตรงไปยังประตูใหญ่ สั่งเสียงเย็นชาว่า “เปิดประตู!”
บ่าวรีบเปิดประตูออก ฮั่วเจี่ยเดินออกไปพร้อมไฟโกรธ เงยหน้า มองนายน้อยอู่โหวที่นั่งอยู่บนม้าด้วยท่าทีสง่า ด้านหลังมีทหารนับไม่ถ้วน ไฟโกรธในใจประทุขึ้น “หลิวเหยี่ยน เจ้าสัตว์นรก กล้าดีอย่างไรมาเล่นแง่กับข้า”
นายน้อยอู่โหวนั่งอยู่บนม้า ไร้ซึ่งท่าทางอ่อนน้อมอย่างเคย น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวไร้ความปรานี “ฮั่วเจี่ย เจ้าเป็นถึงคนตระกูลใหญ่ อาศัยอยู่ที่เจียงหนานมานาน ไม่เพียงแอบเลี้ยงองครักษ์เงาและพลธนู ทั้งยังคิดคร่าชีวิตผู้อื่น วางแผนลอบทำร้ายครอบครัวท่านอ๋องฉี บัดนี้หลักฐานแน่นหนา หากเจ้ายอมรับผิดแต่โดยดี พวกข้าจะไม่ชำแหละศพเจ้า แต่หากไม่ จะตัดหัวทิ้งเสียที่นี่!”
“เจ้า…” ฮั่วเจี่ยรู้สึกเหมือนสำลักกลิ่นคาวเลือด บังคับตัวไม่ให้อ้าปากอาเจียน จากนั้นกลืนลงไป ชี้ไปยังนายน้อยอู่โหว โกรธเสียจนพูดอะไรไม่ออก
ชายในจวนต่างถือมีดทำอาหาร ไม้หน้าสาม และของต่างๆ ไว้ในมือ พุ่งเข้ามา ยืนอยู่ด้านหลังฮั่วเจี่ย
นายน้อยอู่โหวยิ้มเลือดเย็น “การรวมตัวของพวกคนสกปรก หวังทำศึกกับทหารห้าพันนายของข้าอย่างนั้นหรือ ข้าว่า เข้ามอบตัวเสียโดยดีๆ กว่า เห็นแก่ที่เจ้าเป็นพ่อตาของข้า ข้าจะเมตตาไม่ชำแหละศพเจ้าและแม่ยาย”
“เดรัจฉาน สัตว์นรก เจ้าพวกสารเลวไม่สำนึกบุญคุณ!” ในที่สุดฮั่วเจี่ยก็สามารถด่าออกมาได้ “เจ้าตอบแทนคุณด้วยแค้น ไม่ได้ตายดีแน่!”
“ข้าจะตายดีหรือไม่นายท่านฮั่วอย่าเป็นกังวลไปเลย บัดนี้กังวลเรื่องของตัวจะดีกว่า โทษที่ทำไป ล้วนเป็นโทษประหารเจ็ดชั่วโคตรทั้งสิ้น นับแต่บัดนี้ไป ตระกูลฮั่วจะสูญไปจากเจียงหนาน”
กล่าวจบ ไม่อยากพูดพล่ามกับพวกเขาต่อ โบกมือ สั่งทหารว่า “เอาตัวมันมา!”
โจวอันพาองครักษ์ถอยออกมา ทหารห้าพันนายเข้าไปจับตัวฮั่วเจี่ย
มีหรือที่ฮั่วเจี่ยจะยอม โบกมือสั่งให้คนปล่อยธนู องครักษ์ที่เหลืออยู่พร้อมด้วยชายหนุ่มก็ได้เข้าปะทะ
ทหารเตรียมพร้อมไว้แล้ว หยิบโล่ออกมา ลูกธนูที่ถูกยิงออกมาถูกบังเอาไว้ ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูจวน เริ่มศึกฆ่าฟันกับชายฉกรรจ์ของจวน
ทหารล้วนได้รับการฝึกมาแล้วอย่างดี ชายหนุ่มไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขา ต่างล้มลงคนแล้วคนเล่า ไม่นานก็เหลือไม่กี่คน
องครักษ์เงาฝ่ายฮั่วเจี่ยปกป้องเขาเอาไว้ ถอยครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่นานก็มาถึงประตู
นายน้อยอู่โหวนั่งอยู่บนม้า มองดูทั้งหมดอย่างสงบ ราวกับว่าตรงหน้าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น
เมิ่งชิงไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมา เพียงแต่จับตามองการสู้กันอยู่
คนน้อยลงเรื่อยๆ ฮั่วเจี่ยถอยเข้ามาในจวน ทหารก็บุกเข้าไปเช่นกัน บ้างก็ต่อสู้กัน บ้างก็จะไปจับคน บ้างก็ขึ้นไปจัดการพลธนูบนกำแพง เวลานั้น ภายในจวนมีเสียงคนฆ่าฟันกัน กรีดร้อง ตะโกนเรียกหาพ่อแม่ ดังขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังสนั่นไปทุกสารทิศ
จวนฮั่วใหญ่นัก ตั้งตระหง่านอยู่บนถนนเส้นหนึ่ง ผู้คนที่ได้ยินเสียงต่างไม่กล้าเข้ามาใกล้ เพียงแต่ยืนอยู่ริมถนน แอบมอง และวิพากษ์ไปต่างๆ นาๆ
ครึ่งชั่วยามผ่านไป องครักษ์ฝ่ายฮั่วถูกฆ่าจนสิ้น ฮั่วเจี่ยถูกจับตัวมา เขาในตอนนี้ ผมเผ้ารุงรัง ร่างกายอ่อนล้า ไร้ซึ่งท่าทีภูมิฐานเช่นเคย
ผู้นำทัพทหารใช้ดาบวางลงบนคอเขา ตะโกนพูดต่อผู้ที่ยังมีใจคัดค้านว่า “ฮั่วเจี่ยได้ถูกจับแล้ว พวกเจ้ายังไม่ยอมแพ้แต่โดยดีอีกหรือ”
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้น ความกล้าหาญก็ได้มลายหายไป ไม่กล้าขัดขืนอีก
ทหารบุกเข้าไปในเรือน พาร่างอ่อนแรงของฮูหยินออกมา เพื่อรอคำสั่ง
สายตากวาดผ่านใบหน้าตื่นตระหนกของฮูหยินฮั่ว นายน้อยอู่โหวออกคำสั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “เอาทุกคนไปขังคุก รอท่านผู้แทนพระองค์ตัดสิน”
ฮูหยินฮั่วจึงได้สติขึ้นมา ออกปากสบถว่า “หลิวเหยี่ยน เจ้าช่างไร้คุณธรรมนัก ไม่ตายดีแน่ พวกเราทำเพื่อลูกเจ้า จึงได้…”
“ใครก็ได้ ปิดปากนางเสีย!” กลัวเพียงเรื่องของหลิวอวี้เอ๋อร์จะถูกเอ่ยออกมา นายน้อยอู่โหวรีบสั่งโดยพลัน
ทหารนายหนึ่งปิดปากฮูหยินฮั่วเอาไว้ ทหารอีกนายฉีกชายเสื้อของนางออกมาชิ้นหนึ่ง ยัดเข้าไปในปากนาง ฮูหยินฮั่วพูดไม่ออก แต่ยังคงก่นด่าไม่หยุด
คนของจวนฮั่วถูกจับเข้าคุก ทหารที่เหลือเข้าค้นภายในจวนอีกครั้ง ทุกซอกทุกมุม นำทรัพย์สินทั้งหมดเก็บออกมา วางต่อหน้านายน้อยอู่โหวและเมิ่งชิง
เมิ่งชิงสั่งให้คนจดบันทึก จากนั้นยกไปยังที่ว่าการ และสั่งให้คนเฝ้าจวนฮั่วเอาไว้ให้ดี จึงได้ควบม้าไปยังที่ว่าการ
หลังจากที่จูจือหมิงไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน แต่เขายังไม่ตาย บัดนี้ไม่จำเป็นต้องอดอาหารอีกแล้ว สั่งให้ฮูหยินของตนนำอาหารมาวางตรงหน้า กินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่นานร่างกายก็กลับมามีพลังเช่นเดิม สีหน้าดีขึ้น นั่งลงในบ้าน รอให้เมิ่งชิงมาจับตัวไป
เมิ่งชิงมายังที่ว่าการ ถือดาบอาญาสิทธิ์ เข้ามา สั่งขุนนางให้ไปนำตัวจูจือหมิงมา
เจ้าหน้าที่มองหน้ากันไปมา ไม่มีผู้ใดขยับ
เมิ่งชิงหยิบค้อนไม้พิพากษาขึ้นมาทุบบนโต๊ะเสียงดัง พูดเสียงดังว่า “ดาบอาญาสิทธิ์อยู่ที่นี่แล้ว ผู้ใดไม่เชื่อฟัง ประหาร!”
เหล่าเจ้าหน้าที่กลัวจนหน้าถอดสี วิ่งไปยังหลังที่ว่าการด้วยขาสั่น มายังเรือนหลัก
จูจือหมิงได้ยินเสียง จึงได้เดินออกมาจากเรือน
“ท่าน ท่านเจ้าเมือง” เจ้าหน้าที่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
จูจือหมิงจัดแจงเสื้อผ้าของตน ตอบกลับอย่างกล้าหาญว่า “ไปกันเถิด!” จากนั้นนำทัพเดินออกมา
เจ้าหน้าที่มองหน้ากัน เดินตามหลังไป
มายังโถงหน้า ไม่รอเมิ่งชิงเอ่ย คุกเข่าลง “นักโทษจูจือหมิงยอมรับโทษทุกประการขอรับ”
“ดี เอาพู่กันและกระดาษให้เขา เขียนสารภาพผิดมา ลงนามประทับนิ้ว”
กุนซือนำพู่กันและกระดาษมาด้วยความลนลาน วางตรงหน้าเขา
จูจือหมิงคุกเข่าลงที่พื้น เขียนสารภาพเรื่องที่ตนได้วางแผนร่วมกับฮั่วเจี่ยออกมา กัดนิ้วของตนเองจนเลือดซึม ประทับนิ้วลงไปด้านบน มอบให้กุนซือ
กุนซือรับไว้ เมิ่งชิงอ่านรายละเอียด สั่งว่า “นำตัวจูจือหมิงไปขัง ส่วนคนในครอบครัว ให้เฝ้าที่ว่าการเอาไว้ก่อน ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออก”
“ขอบพระคุณใต้เท้า” เมื่อได้ยินว่าคนในครอบครัวไม่ถูกร่างแหไปด้วย จูจือหมิงก้มหัวคารวะที่พื้น
เจ้าหน้าที่เข้ามา พาตัวไป
เมิ่งชิงถอนใจเบาๆ มีเพียงคำสารภาพของจูจือหมิง ไม่เพียงพอจะให้ฮั่วเจี่ยยอมรับผิดได้ ยังต้องมีพยานบุคคล ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าหลิวอวี้เอ๋อร์เหมาะสมที่สุด แต่นางถูกผู้ใดจับตัวไปกันแน่
นายน้อยอู่โหวจัดการคนในจวนฮั่วอย่างเด็ดขาด เมื่อเห็นว่าเมิ่งชิงไปยังที่ว่าการแล้ว เขาจึงได้ควบม้าไปยังโรงเตี๊ยม รายงานอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียน
เมื่อได้ฟังเขาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดจบ อ๋องฉีพยักหน้า ชื่นชมเขา “จัดการได้เด็ดขาดเสียจริง ช่างสมกับเป็นนายน้อยอู่โหว”
หลายปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำชมจากท่านอ๋อง นายน้อยอู่โหวยินดีเหลือเกิน ความรู้สึกผิดที่ได้สั่งขังตระกูลฮั่วได้หายไปฉับพลัน พูดด้วยความปีติว่า “ท่านอ๋องชมเกินไปแล้วขอรับ แบ่งเบาภาระฝ่าบาท เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนชายตามองเขา แล้วไม่ได้กล่าวอะไร
อ๋องฉีกล่าวต่อ “เรื่องของจวนฮั่วยังไม่นับว่าจบ ยังต้องว่าความอีก ตัดสินความผิดของพวกเขา เจ้าและผู้แทนจึงจะนับว่าสำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว หวังว่านายน้อยอู่โหวจะจัดการอย่างเด็ดขาด หาหลักฐานให้ได้มาก รีบจบคดีความนี้เสีย”
นายน้อยอู่โหวตอบอย่างไม่คิดว่า “แน่นอนขอรับ ท่านอ๋องวางใจได้ ข้าจะทำให้ดีที่สุด เพื่อเก็บหลักฐานขอรับ”
“ดีแล้ว ลำบากท่านแล้วล่ะ”
“หามิได้ขอรับ” นายน้อยอู่โหวยิ้มตาหยี ยืนขึ้น กล่าวลา เดินออกไปนอกห้อง จึงคิดได้ว่า ตนยังไม่มีที่พัก คิดว่าอยากพักที่โรงเตี๊ยมนี้ แต่อีกใจคิดว่า ไม่อยากอยู่ในสายตาของอ๋องฉีเช่นนี้ จึงได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมใกล้ๆ
พักอยู่หลายวัน พวกเซี่ยเฟิงทั้งสามคนหายดีแล้ว เพียงแต่ท่าป๋าที่ยังคงอ่อนแรงอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวจับชีพจรให้เขา จัดยาให้ใหม่ สั่งให้คนของเขา ให้ไปนำยามา
คนของเขาจากไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ออกมา ไปห้องของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ จับชีพจรให้พระชายา ยิ้มและกล่าวว่า “ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ พักผ่อนอีกไม่กี่วันเสด็จแม่ก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ”