ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 30
ในครั้งแรกที่ได้พบหน้ากับคนตระกูลหลี่ เมิ่งฉีปฏิบัติตามคำกำชับของเมิ่งเสียน กลับมาที่จวนบอกกับคนในครอบครัวทันที ซึ่งทุกคนล้วนรู้หมดแล้ว และเก็บเป็นความลับต่อเมิ่งจงสวี่สองสามีภรรยา เพราะเกรงว่าหลังจากที่พวกเขาได้ยิน จะมีโทสะจนร่างกายรับไม่ไหว ใครจะไปรู้กันว่าวันนี้ผู้บัญชาการโต้วจะบุ่มบ่ามพาตัวหลี่ชุ่ยฮวามาถึงจวน ทำให้พวกเขาไม่ได้เตรียมแม้กระทั่งเวลาทำใจ เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถามเช่นนี้ ทุกคนก็ต่างข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมิ่งต้าจินจึงกระแอมไอเสียงเบาออกมา พลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ เรื่องนี้…”
เห็นสีหน้าของเขาแล้ว เมิ่งจงจวี่ก็เข้าใจอะไรขึ้นมาทันที น้ำเสียงจึงเจือไปด้วยโทสะ “หรือว่าพวกเจ้าล้วนรู้กันตั้งนานแล้ว?”
เมิ่งต้าจินกำลังจะเอ่ยพูด เมิ่งเสียนก็ลุกขึ้นมา
“ท่านปู่ ท่านอย่ากล่าวโทษท่านลุงใหญ่เลยนะขอรับ เรื่องที่คนตระกูลหลี่มาเมืองหลวงนั้น เป็นข้าที่ให้ปิดบังท่านเอาไว้เอง”
เมิ่งจงจวี่ได้ยินชัดเจนถึงความหมายที่อยู่ในประโยคของเขา ก็หรี่ตาลง “คนตระกูลหลี่หรือ หรือว่านอกจากหลี่ชุ่ยฮวาแล้ว ยังมีคนอื่นตามมาด้วยกัน?”
เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้แล้ว อยากจะปิดบังก็ปิดไม่มิดเสียแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ย “พี่ใหญ่ ท่านนั่งลงก่อน ข้าจะเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ให้ท่านปู่ฟังเอง”
เมิ่งจงจวี่มองไปทางนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด หลังจากที่คนตระกูลหลี่มาเยือนเมืองหลวงออกมา
ยามที่ได้ยินว่าเมิ่งชิงถึงกับตัดขาดกับเมิ่งเชี่ยนโยว เพื่อหลี่ชุ่ยฮวา ประโยคนี้แล้ว เมิ่งจงจวี่ก็เดือดดาลจนตบโต๊ะอย่างแรง
เจ้าเด็กที่ไม่เข้าใจเรื่องราวบนโลกมนุษย์คนนี้นี่ เรื่องในตอนนั้นก็เป็นเถี่ยเอ๋อร์ที่หาเรื่องใส่ตัวเอง จะโทษเจ้าได้เช่นไร เขากลับฟังคำพูดของหลี่ชุ่ยฮวาเพียงข้างเดียว เลี้ยงเขามาหลายปีนี้เสียเปล่าจริงๆ!”
“ท่านปู่ หลายปีมานี้ พวกเราจงใจไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ชิงเอ๋อร์ก็ไม่รู้เรื่องราว จึงไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ แรกได้ยินเรื่องนี้ จะมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ ท่านอย่าโมโหมากเกินไปเลย ระวังสุขภาพด้วย”
เมิ่งจงจวี่โบกมือ “โยวเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องพูดแทนเขา เขาเป็นถึงรองแม่ทัพ ผู้ที่เป็นผู้นำกองทัพขนาดใหญ่แล้ว จะไม่มีแม้กระทั่งความสามารถในการแยกแยะสักหน่อยเชียวหรือ เขาทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำร้ายจิตใจเจ้า แต่ยังทำร้ายจิตใจพวกเราด้วย พวกเราอบรมเลี้ยงดูเขามานานหลายปีขนาดนี้ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงเช่นนั้นหรือ เจ้าไม่ต้องพูดแทนเขาแล้ว และไม่ต้องสนใจเขา ให้เขาอยู่ในคุกของกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนครแห่งนั้น พิจารณาทบทวนตัวเองให้ดี”
“ท่านปู่ ท่านก็อย่าร้อนใจเกินไปเลยเจ้าค่ะ ว่ากันว่าบ่าวรับใช้ผู้นั้นยังไม่ตาย เรื่องทั้งหมดนี้ยังมีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ได้ ข้ากับอี้เซวียนจะคิดหาวิธีให้เขาออกมาโดยเร็วเจ้าค่ะ”
โทสะของเมิ่งจงจวี่ยังคงไม่คลาย เอ่ยเสียงดังลั่นอีกครั้ง “ข้าพูดว่าไม่ต้องสนใจเขา ก็คือไม่ต้องสนใจเขา เจ้าเด็กที่ไม่รู้จักแยกแยะผิดถูก ไม่มีสมองเช่นนี้ ควรจะให้เขาได้รับความลำบากสักหน่อย”
เห็นเขาโมโหตัวสั่นแล้ว ทุกคนก็พากันพูดโน้มน้าว หนึ่งชั่วยาม[1]หลังจากนั้น โทสะของเมิ่งจงจวี่ถึงได้จางหายไป
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนออกมาจากจวนแล้ว ก็ไปที่กองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนคร
เมื่อกุนซือของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครได้ยินว่าทั้งสองคนมา ก็รีบออกมาต้อนรับ เอ่ยขึ้นโดยไม่รอให้ทั้งสองคนเอ่ยปากพูด “ซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ โปรดวางพระทัย พวกกระหม่อมจะดูแลรองแม่ทัพเมิ่งเป็นอย่างดี ไม่ให้เขาได้รับความไม่เป็นธรรมเด็ดขาด”
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาครู่หนึ่ง ถามว่า “ยามนี้ชิงเอ๋อร์อยู่ที่ใด”
“คุมขังอยู่ในคุกชั่วคราวพะยะค่ะ แต่ว่าซื่อจื่อโปรดวางพระทัย เป็นคุกคุมขังเดี่ยว สิ่งที่ควรมีด้านในนั้นล้วนมีหมดพะยะค่ะ”
“คนที่ได้รับบาดเจ็บเล่า?”
“ยังไม่ตายพะยะค่ะ กระหม่อมได้หาท่านหมอมาดำเนินการรักษาแล้ว ใช้ยาดีมายื้อชีวิตเอาไว้พะยะค่ะ”
คนตกลงมาจากชั้นสอง ถึงไม่ตายแต่ก็จวนเจียนแล้ว ถ้าหากว่าเกิดกับคนอื่น คงจะไม่มีใครสนใจไปนานแล้ว แต่ว่าเมิ่งชิงนั้นไม่เหมือนกัน เมิ่งชิงเป็นจอหงวนฝ่ายบู๊คนใหม่ เป็นรองแม่ทัพผู้นำกองทัพขนาดใหญ่ เป็นน้องชายพระชายาของซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี เป็นน้องชายแท้ๆ ของพระชายาซื่อจื่อ ถึงแม้คนที่เขาทำร้ายจะตายไป พวกเขาก็จะคิดหาหนทางให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังไม่ตาย ก็ต้องเพิ่มความพยายามมากกว่าเดิม
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า ชมเชย “ทำได้ไม่เลว!”
เพียงแค่ประโยคเดียวกุนซือก็มองเห็นเส้นทางอนาคตที่ดีงาม ยินดีปรีดาขึ้นมาทันที ท่าทีก็นอบน้อมยิ่งกว่าเดิม “ที่ทั้งสองท่านมาเยือน…”
“พวกข้าอยากพบชิงเอ๋อร์ เจ้าจัดการสักหน่อย”
“เรื่องนี้จัดการได้ง่ายพะยะค่ะ ซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อโปรดรอสักครู่ กระหม่อมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เอ่ยจบ ก็โค้งตัวถอยออกไป และจัดการด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้ว ถึงได้กลับมาเชิญทั้งสองคนไป
คุกคุมขังของกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนคร คุมขังแต่เหล่านักโทษที่กระทำผิดอาญา คนที่ทะเลาะวิวาทต่อหน้าฝูงชน ภายในคุกมืดสลัว อึมครึมและอับชื้น
กุนซือสั่งให้คนจุดน้ำมันตะเกียงในคุกทั้งหมดให้สว่าง และเป็นผู้นำทางทั้งสองคนไปถึงหน้าคุกคุมขังเมิ่งชิงด้วยตัวเอง ไขแม่กุญแจออก “ซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ ห้องนี้พะยะค่ะ พวกท่านค่อยๆ คุยกัน กระหม่อมจะไปรอปรนนิบัติอยู่อีกด้านหนึ่ง”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
กุนซือจึงไปยืนอยู่อีกด้าน
แสงไฟในคุกคุมขังเมิ่งชิงสว่างมาก ก่อนที่คนทั้งหมดจะมา เขาก็เห็นแล้ว คิดจะลุกขึ้นมาตะโกนเรียกคนด้วยความยินดี แต่ก็นึกถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวตัดเส้นเอ็นที่เท้าของบิดาตัวเองในปีนั้นขึ้นมา จึงได้ทำให้มารดาของตัวเองต้องได้รับความทุกข์ทรมานมานานหลายปี เสียงตะโกนที่มาถึงริมฝีปากก็ถูกกลืนกลับไป รักษาท่าทางเมื่อครู่เอาไว้ มองไปที่ทั้งสองคน
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตา สีหน้าหม่นหมอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มเข้ม “ไม่พบกันวันหนึ่ง มีความก้าวหน้าขึ้นนะ กระทั่งเรื่องมารยาทเบื้องต้นก็ทำไม่เป็นเสียแล้ว”
เมิ่งชิงเม้มริมฝีปากแน่น มองพวกเขาโดยไม่พูดอะไร
“โจวอัน!”
หวงฝู่อี้เซวียนข่มโทสะ ตะโกนเรียกคน
โจวอันที่ติดตามปกป้องอยู่ด้านหลังมาโดยตลอดก็ก้าวออกมาจากมุมมืด
“ซื่อจื่อ”
“สั่งสอนเขาเสียหน่อยว่าอะไรที่เรียกว่ามารยาท ไม่จำเป็นต้องออมมือ”
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง!”
โจวอันรับคำ ก้าวเข้าไปในคุก และลงมือกับเมิ่งชิงอย่างรวดเร็ว
ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อน โจวอันฝีมือดีเท่าไร เมิ่งชิงก็รับมือได้ครู่หนึ่ง แต่ตอนนี้ เขาไม่อยากขยับ และไม่คิดจะโต้กลับ ปล่อยให้กระบวนท่าของโจวอันกระทบเข้ากับร่างกายตัวเอง โดยไม่ส่งเสียงร้องออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่นอกคุก โจวอันจึงไม่กล้าออมมือ แต่ละกระบวนท่าของเขาล้วนอันตราย แต่ละหมัดที่ปล่อยออกไปนั้นถูกจุดตาย
เมิ่งชิงถูกชกจนล้มนอนอยู่ที่พื้น หวงฝู่อี้เซวียนไม่เอ่ยพูด โจวอันก็ไม่กล้าหยุด
เสียงหมัดหนักที่ลอยเข้าหู ทำให้กุนซือใจสั่นสะท้าน ขาก็เริ่มสั่นโดยไม่รู้ตัว เคยได้ยินมาเนิ่นนานแล้วว่า ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีผู้นี้เป็นคนใจดำอำมหิต คนที่ล่วงเกินเขาล้วนมีจุดจบที่ไม่ดี แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า กระทั่งน้องชายของพระชายาซื่อจื่อ เขาก็ยังลงมือหนักเช่นกัน ถ้าหากว่าตัวเองไปล่วงเกินเข้า… กุนซือซับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากตัวเอง และถอยหลังไปอีกหลายก้าว ให้อยู่ห่างจากคุกคุมขังเมิ่งชิงอีกเล็กน้อย
เมิ่งชิงกระอักเลือด นอนแผ่อยู่บนพื้น กระทั่งกำลังที่จะหายใจก็จวนเจียนจะไม่เหลือแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนถึงได้สั่งให้โจวอันหยุดมือ ไม่พูดอะไรอีก และจูงมือเมิ่งเชี่ยนโยวที่ไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบเดินจากคุกคุมขังเมิ่งชิงไป
กุนซือมึนงงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาจะกระทำสิ่งใดต่อไป ไม่ใช่ว่ามาเยี่ยมคนหรอกหรือ ทำไมหลังจากที่จัดการไปรอบหนึ่งแล้ว ก็จากไปโดยไม่พูดอะไรสักประโยคกัน ในตอนที่เขากำลังสงสัยไม่เข้าใจ หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินมาถึงข้างหน้าเขาแล้ว
“นำทาง!”
“พะยะค่ะ…?”
กุนซือไม่เข้าใจขึ้นมาชั่วขณะ
“คนอื่นๆ คุมขังอยู่ที่ใด”
กุนซือรู้สึกตัวขึ้นมาทันที จึงรีบเดินขึ้นหน้านำทางไป “ซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ เชิญพะยะค่ะ!”
หลังจากเศรษฐีหวังและคนอื่นๆ ถูกคุมขังแล้ว ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีขนาดนั้น ทุกคนล้วนถูกคุมขังอยู่ในคุกคุมขังมืดสลัวห้องหนึ่ง บนพื้นมีเพียงแค่ฟางปูรองอยู่บางๆ ชั้นหนึ่ง ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปใกล้ ก็มีกลิ่นประหลาดลอยมา
หวงฝู่อี้เซวียนเท้าชะงักขมวดคิ้ว
กุนซือที่สังเกตเห็นก็ใจเต้นระรัว รีบหยุดเท้า เอ่ยประจบด้วยความระมัดระวัง “ซื่อจื่อ คุกคุมขังห้องนี้สภาพแวดล้อมแย่เกินไป ไม่สู้ให้คุมตัวคนออกไปยังห้องไต่สวนดีกว่าพะยะค่ะ พระองค์รออยู่ที่นั่นได้”
ทุกวันล้วนมีคนได้รับการลงโทษภายในห้องไต่สวน แม้ว่าข้างในจะมีกลิ่นคาวเลือดรุนแรง แต่ก็ดีกว่าคุกคุมขังที่มืดสลัวห้องนี้อยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น มีคำพูดบางอย่างที่ไม่สามารถเอ่ยพูดต่อหน้าคนจำนวนมากได้
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
กุนซือสั่งคนให้นำตัวคนมาแล้ว ก็เป็นผู้นำทางหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไปห้องไต่สวนด้วยตัวเอง
หลังจากถูกนำตัวมายังกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนคร และไต่สวนลวกๆ เศรษฐีหวังและคนอื่นๆ ก็ถูกคุมขังเอาไว้ในคุกคุมขังห้องนี้ ไม่รู้ว่าต่อไปจะพบกับจุดจบเช่นใด ในใจเศรษฐีหวังหวาดกลัวเหลือหลาย ขดตัวเข้ากับกองฟางอับชื้นเหม็นหึ่ง เฝ้ารอคอย
ไม่รู้ว่ารอมานานแค่ไหน ในที่สุดคุกคุมขังที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายห้องนี้ก็มีเสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย เศรษฐีหวังที่คล้ายกับตายไปแล้วปีนลุกขึ้นมาทันที หันไปมองข้างนอก ทว่าภายในคุกคุมขังมืดสลัว ในแต่ละจุดห่างกันหลายสิบจั้งถึงจะมีแสงสว่างรำไร เขามองไม่เห็นคน ได้ยินเพียงแค่เสียงฝีเท้า เสียงนั้นเบามาก ขาดๆ หายๆ ตรงไปยังสถานที่แห่งอื่น ไม่ได้มาหาตัวเอง เศรษฐีหวังที่ผิดหวังกำลังจะล้มตัวลงนอนใหม่ กลับได้ยินเสียงกุนซือตะโกนเรียกซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อ
พระชายาซื่อจื่อ นั่นไม่ใช่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่นี่หรอกหรือ เมื่อคิดถึงวิธีการของนาง ในใจก็หวาดผวาเป็นอย่างมาก ร่างอ้วนท้วมกลับไปขดตัวที่มุมหนึ่งของคุกคุมขังอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว ทั้งยังให้บ่าวรับใช้บังตัวเองเอาไว้ วางแผนปิดหูขโมยกระดิ่ง[2] หวังว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะมองไม่เห็นตัวเอง
ความหวังของเขากลายเป็นจริงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มาหาตัวเองที่คุกคุมขังห้องนี้ แต่เสียงต่อมาก็ทำให้เขาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เมิ่งชิงถึงกับถูกซ้อม เศรษฐีหวังหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม ในยามนี้มีเพียงแค่ความคิดเดียวคือ สลบไปเสีย สลบไปเสีย สลบไปเสีย…
หลังจากนั้นยิ่งเขาคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งมีสติมากยิ่งขึ้น มีสติจนถึงขั้นเห็นนายทหารสองนายเปิดประตูคุกคุมขัง ตรงเข้ามาหาตัวเองที่มีร่างอวบอ้วนของตัวเองที่ถึงแม้ว่าจะมีบ่าวรับใช้มากมายขวางอยู่ด้านหน้าก็บังไม่มิด
“ลุกขึ้น! ซื่อจื่อเรียกเจ้าไปไต่สวน!”
เรียกไปไต่สวน นั่นไม่ใช่ว่าต้องการชีวิตของตัวเองหรอกหรือ ร่างอวบอ้วนของเศรษฐีหวังสั่นเทิ้ม พยายามขดตัวถอยหลังสุดชีวิต แทบอยากจะให้ตัวเองสามารถมุดเข้าไปในรอยแยกกำแพงได้เดี๋ยวนี้
นายทหารพบเจอคนเช่นนี้มามากแล้ว จึงไม่ได้พูดไร้สาระอะไรอีก ก้าวขึ้นไปข้างหน้า หนึ่งคนหิ้วแขนคนละข้างแล้วลากออกไปจากคุกคุมขัง
[1] ชั่วยาม เป็นหน่วยบอกเวลาสำคัญในสมัยโบราณ ซึ่งหนึ่งชั่วยามในปัจจุบันเท่ากับ 2 ชั่วโมง
[2] ปิดหูขโมยกระดิ่ง หมายถึงการหลอกตัวเอง