ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 41 ตอนจบ (ต้น)
เมิ่งชิงหมุนกายเดินเข้าไปในเรือน เดินไปถึงห้องของหลี่ชุ่ยฮวา
นัยน์ตาคู่นั้นของหลี่ชุ่ยฮวาแดงระเรื่อเล็กน้อย หนึ่งในสาวใช้กำลังประคบร้อนให้นางอย่างเบามือ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเมิ่งชิง หลี่ชุ่ยฮวาก็ใช้มือผลักสาวใช้ออก
แรงที่นางใช้มากเล็กน้อย สาวใช้ไม่ทันได้ระวัง ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ชนเข้ากับมุมโต๊ะพอดี จึงส่งเสียงร้องอู้อี้ออกมา
หลี่ชุ่ยฮวาเหลือบมองด้วยหางตาอย่างเย็นชา ถลึงตาเตือนนางไปครั้งหนึ่ง
สาวใช้รีบก้มศีรษะลงต่ำ อดทนต่อความเจ็บปวด ไปยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง
เมิ่งชิงเดินเข้ามาในห้อง
หลี่ชุ่ยฮวาลุกขึ้นยืน “ชิงเอ๋อร์ มีเรื่องอันใดหรือ”
เมิ่งชิงรู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในห้องแปลกประหลาด จึงลอบมองไปทางสาวรับใช้สองนางอย่างไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ก็เห็นว่าพวกนางก้มศีรษะลงต่ำ จึงถอนสายตากลับมา และยื่นตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงที่พับเรียบร้อยในมือไปตรงหน้าหลี่ชุ่ยฮวา “ท่านแม่ นี่คือห้าร้อยตำลึง ท่านเก็บเอาไว้ให้ดี”
“แค่ห้าร้อยตำลึงเอง”
หลี่ชุ่ยฮวาพึมพำอย่างผิดหวัง
เมิ่งชิงได้ยินอย่างชัดเจน มือสั่นระริกเล็กน้อย
หลี่ชุ่ยฮวาไม่ทันสังเกตเห็น รับตั๋วเงินมาแล้ว ก็ขับไสคน “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย แม่รู้สึกไม่สบายตาเท่าใดนัก อยากจะพักผ่อนเร็วหน่อย”
“ทราบแล้วท่านแม่ ลูกจะกลับแล้ว”
หลี่ชุ่ยฮวาผงกศีรษะ
เมิ่งชิงถอยออกไป เดินออกจากเรือน แต่กลับหลบอยู่ในมุมมืดนอกเรือนมุมหนึ่ง ฟังเสียงความเคลื่อนไหวภายในเรือน
เพล้ง!
เสียงถ้วยชาตกกระทบกับพื้น
ต่อมามีเสียงตำหนิอย่างเกรี้ยวกราดของหลี่ชุ่ยฮวาดังขึ้น “เจ้าพวกไร้ประโยชน์ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังทำได้ไม่ดี หากทำให้ข้ารำคาญ ข้าจะขายพวกเจ้าให้เข้าไปอยู่หอนางโลมชั้นที่ต่ำที่สุด”
เสียงของสาวใช้ทั้งสองนางที่นั่งคุกเข่าร้องขอความเมตตาอยู่บนพื้นลอยออกมา
จากนั้นก็เป็นเสียงดุด่าอีกครู่หนึ่ง “พวกเจ้าสองคนเสียงดังเช่นนี้ คิดอยากจะรบกวนชิงเอ๋อร์เช่นนั้นรึ ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะว่า นั่นเป็นบุตรชายที่ข้าอุ้มท้องมาสิบเดือน และให้กำเนิดออกมาด้วยความยากลำบาก ข้าพูดว่าหนึ่ง เขาก็จะไม่พูดว่าสอง พวกเจ้าก็อย่าเปลืองแรงไปเลย”
“ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยมิกล้า!”
เสียงโขกศีรษะสลับกับเสียงสะอื้นร้องขอความเมตตาดังขึ้น
“ไสหัวออกไปคุกเข่าข้างนอก ไม่มีคำสั่งขอข้า ไม่อนุญาตให้ลุกขึ้น!”
เมิ่งชิงกำหมัดแน่น ก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าวอยากอดไม่ได้ แต่ก็หยุดลง เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ามารดาของตัวเองจะมีด้านนี้ด้วย ไม่เห็นบ่าวรับใช้เป็นคน แต่เขาเข้าไปแล้วจะสามารถพูดอันใดได้ จะขอความเมตตาให้สาวใช้สองนาง หรือว่าตำหนิมารดาตัวเองสักคราหนึ่ง
เมิ่งชิงยืนอยู่นอกเรือนเงียบๆ ชั่วครู่หนึ่ง และกลับไปยังห้องของตัวเอง แต่กลับนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมา สติสัมปชัญญะจึงยังใช้การไม่ได้ดีนัก หลี่ชุ่ยฮวากำลังคิดรวบรวมอะไรบางอย่าง จึงไม่สังเกตเห็นสีหน้าเขา สั่งให้สาวใช้สองนางไปจัดเตรียมอาหารเช้า
เมื่อเห็นสาวใช้สองนางเดินกะโผลกกะเผลกแล้ว เมิ่งชิงก็หลุบตาลง
หลี่ชุ่ยฮวาส่งเขาออกจากบ้านด้วยตัวเอง เมื่อเห็นเขาควบม้าจากไปไกลแล้ว ก็เดินบิดเอวกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง หยิบตั๋วเงินที่แอบซ่อนเอาไว้ใต้หมอนออกมา ยัดเข้าไปในแขนเสื้อ “พวกเจ้าสองคน ตามข้าออกไปข้างนอก!”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน!”
สาวรับใช้สองนางรับคำ รีบเดินตามหลังนางออกจากประตูไป
รอจนเมิ่งชิงกลับมาแล้ว ก็พบว่าหน้าประตูบ้านซ้ายขวามีชายหนุ่มสองคน นึกว่ามีใครมาหาเรื่อง คิ้วจึงขมวดเป็นปม เอ่ยถามว่า “ใครส่งพวกเจ้ามากัน?”
เขาที่สวมชุดเกราะทั้งร่าง ทั้งยังขี่ม้าตัวใหญ่ ชายหนุ่มสองคนสบตากันและคุกเข่าโขกศีรษะ “ข้าน้อยคารวะคุณชาย”
เมิ่งชิงตะลึงไปเล็กน้อย “พวกเจ้าคือ…”
“พวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ที่ข้าซื้อตัวมาดูแลจวนปกป้องเรือนโดยเฉพาะ”
ไม่รอให้บ่าวรับใช้ตอบคำถาม หลี่ชุ่ยฮวาก็เดินออกมาจากในเรือน อธิบายยิ้มๆ เอ่ยจบแล้วก็เอ่ยต่อว่า “เหตุใดวันนี้ถึงได้กลับมาเร็วนักเล่า อาหารเย็นยังจัดเตรียมไม่เสร็จเลย”
“ท่านแม่ พวกเขา…”
หลี่ชุ่ยฮวาจับมือของเขาเอาไว้ สั่งว่า “นำม้าของคุณชายไปผูกเอาไว้ให้ดี”
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านซ้ายรับคำ ยื่นมือออกมาอย่างเคารพนบนอบ
เมิ่งชิงไม่ขยับ
หลี่ชุ่ยฮวาดึงบังเหียนในมือของเขา และโยนให้บ่าวรับใช้ส่งๆ จูงเขาเข้าไปในเรือน
ภายในเรือนมีสาวใช้ที่กำลังทำความสะอาดมากขึ้นหลายนาง
เมิ่งชิงหัวใจหนักอึ้ง
“ชิงเอ๋อร์เอ๋ย ทุกวันเจ้าไม่อยู่บ้าน แม่รู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าใดนัก เช้าวันนี้หลังจากเจ้าออกไป แม่คิดไปคิดมา ก็ไปซื้อบ่าวรับใช้มาดูแลและเฝ้าเรือนมาสองคน ใครจะไปรู้ว่ามีคนมาส่งเด็กสาวหลายคนให้กับนายหน้าค้าทาส แม่เห็นพวกนางร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วก็สงสารเป็นอย่างมาก จึงใจอ่อนไปชั่วขณะ ซื้อพวกเขามาทั้งหมด เจ้าคงจะไม่ถือโทษแม่หรอกใช่ไหม”
เมิ่งชิงเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยว่า “ไม่หรอก”
“เช่นนั้นก็ดี”
หลี่ชุ่ยฮวาตบทรวงอกตัวเอง “แม่กังวลมาโดยตลอดว่าเจ้าจะโกรธ ใจดวงนี้จึงถูกแขวนอยู่ตลอดเวลา มายามนี้สามารถวางกลับไปในทีเดิมได้แล้ว”
เมิ่งชิงเม้มปากแน่นไม่พูดอันใด
“พวกเจ้าทั้งหมดมาทักทายคุณชายสิ!”
สาวใช้ทั้งหมดล้วนเข้ามาคุกเข่าทำความเคารพ เอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน “คารวะคุณชาย”
ริมฝีปากเมิ่งชิงขยับ
“เรียบร้อยแล้ว อย่ามาขวางหูขวางตาอยู่ที่นี่ ควรจะทำสิ่งใดก็ไปทำเถอะ”
หลี่ชุ่ยฮวาเอ่ยเสียงเย็น
สาวใช้หลายนางล้วนไม่กล้ารีรอ รีบไปทำงานที่อยู่ในมือของตัวเองอย่างรวดเร็ว
สองแม่ลูกเข้าไปในห้องโถง ต่างคนต่างนั่งประจำที่เรียบร้อย
หลี่ชุ่ยฮวามองไปบ่าวรับใช้ที่ยุ่งวุ่นวายอยู่ด้านนอก ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าดูสิ บ้านของพวกเรามีคนสิบกว่าคนแล้ว เรือนเล็กๆ เรือนนี้รองรับไม่พอแล้ว พวกเราควรจะไปหาเรือนที่ใหญ่กว่านี้หน่อยหรือไม่”
เมิ่งชิงไม่พูดอะไร
หลี่ชุ่ยฮวาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ชิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไปหรือ”
“ท่านแม่ วันนี้เงินในมือท่านแม่เหลืออีกเท่าใด”
เมิ่งชิงเอ่ยปากถาม
หลี่ชุ่ยฮวาบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น กระพริบตาด้วยความละอายใจแล้ว ก็มองสีหน้าของเขา เอ่ยด้วยความระมัดระวังว่า “ชิงเอ๋อร์ เมื่อวานนี้แม่บอกกับเจ้าแล้วว่า ใกล้จะเปลี่ยนฤดูกาลแล้ว วันนี้แม่ไปตัดชุดมาอีกหลายชุด เงินนี้นั้น…” เอ่ยถึงตรงนี้ เสียงก็เบาลงราวกับเสียงยุงบิน “เหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยตำลึงแล้ว”
เมิ่งชิงเป็นคนฝึกวรยุทธ์ หูตาว่องไว เป็นธรรมดาที่จะได้ยินคำพูดของนางอย่างชัดเจน หลังจากหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง “ท่านแม่ ท่านรู้ไหมว่าเงินนี้ได้มาเช่นไร”
แน่นอนว่าหลี่ชุ่ยฮวารู้ แต่ไม่กล้าพูด
“เป็นบุตรชายไปยืมเขามาอย่างหน้าไม่อาย ท่านปู่ไล่ข้าออกจากตระกูลแล้ว ทั้งยังสั่งเด็ดขาดว่าไม่ให้ข้านำสิ่งใดในตระกูลติดตัวมาด้วย ข้าจะนำเงินมาจากที่ใดเล่า มีเพียงแค่ไปหยิบยืมผู้อื่นอย่างหน้าไม่อาย เดิมข้าคิดว่าเงินสองร้อยตำลึง รวมกับเบี้ยหวัดของข้า จะเพียงพอให้พวกเราสองแม่ลูกกินดื่มได้อย่างไร้กังวล ไหนเลยจะคิดว่าท่าน…”
คำพูดในตอนท้ายเขาไม่ได้เอ่ยออกมา แต่หลี่ชุ่ยฮวาก็เข้าใจ หน่วยตาแดงระเรื่อขึ้นมาทันที “ชิงเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้าลำบากใจ แต่แม่ก็คิดเพื่อเจ้า ยามนี้เจ้าเป็นรองแม่ทัพของกองทัพขนาดใหญ่ ส่วนแม่ก็มีอดีตที่ผ่านมาเช่นนั้น แม่กลัวว่าจะทำให้เจ้าอับอาย ทำให้เจ้าไม่สามารถเงยหน้าต่อหน้าผู้คนได้ ดังนั้นแม่จึงได้ทำเช่นนี้ คิดอยากจะสร้างหน้าสร้างตาให้เจ้า ไม่ให้คนที่ยกตนขึ้นสูงแล้วเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำกว่าดูถูกเจ้า”
“ท่านแม่ ในเมื่อบุตรชายยอมรับท่านแล้ว ก็ไม่ใส่คำวิพากษ์วิจารณ์ของคนเหล่านั้น และไม่ยอมให้ผู้ใดมารังแกท่าน เหตุใดท่านจึงต้องคิดมากขนาดนี้ด้วยเล่า”
“แม่ไม่อาจไม่คิดมากเช่นนี้ หลายปีมานี้แม่ไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า ไม่ได้ดูแลเจ้า ในยามนี้ไม่ง่ายเลยที่พวกเราแม่ลูกจะได้อยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แม่จะทำให้เจ้าเสียความน่าเชื่อถือไปได้ และไม่ใส่ใจคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ผู้อื่นมีให้เจ้าได้เช่นไรกัน”