ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 43 ตอนจบ (ต้น)
คราวนี้เมิ่งชิงมองไปทางหลี่ชุ่ยฮวา ตะลึงค้างไปจนพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ
หลี่ชุ่ยฮวาตื่นตระหนกเล็กน้อย รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “เขามอบให้เพียงแค่เรือนใหม่หลังนี้ ด้านในไม่มีเครื่องเรือนเครื่องใช้ใดๆ แม่ซื้อสิ่งของพวกนี้มาตลอดหลายวัน เงินที่จ่ายไปจึงมีจำนวนมากเป็นธรรมดา”
“กี่วันแล้ว?”
เมิ่งชิงถามอึ้งๆ
หลี่ชุ่ยฮวาตอบสนองไม่ทันชั่วขณะ “กี่ กี่วันอันใด?”
“เรือนหลังนี้เขามอบให้มากี่วันแล้ว”
เมิ่งชิงเอ่ยประโยคนี้ซ้ำอีกรอบ
หลี่ชุ่ยฮวากระพริบตาด้วยความร้อนตัวอีกครั้ง เสียงก็เบาตามลงไป “สิบ สิบกว่าวันแล้ว”
“ท่านแม่ปิดบังข้ามาโดยตลอดเช่นนั้นหรือ”
เมิ่งชิงถาม น้ำเสียงเย็นชา
หลี่ชุ่ยฮวาบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ไม่กล้าตอบคำถาม
เมิ่งชิงหัวเราะเหอะๆ ออกมา
หลี่ชุ่ยฮวาแหงนศีรษะมองเขาด้วยความประหลาดใจ
เสียงหัวเราะเมิ่งชิงดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหางตามีหยดน้ำตารินไหลออกมา
หลี่ชุ่ยฮวาลนลาน รีบลุกขึ้นเดินไปถึงด้านหน้าเขา คิดจะใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้เขา “ชิงเอ๋อร์ แม่…”
เมิ่งชิงขวางมือนางเอาไว้ ลุกขึ้นยืน เดินตรงออกไปข้างนอก โดยไม่พูดอะไร
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าจะไปทำอะไร”
หลี่ชุ่ยฮวาตะโกนเสียงดังอยู่ด้านหลังด้วยความร้อนใจ
เมิ่งชิงไม่ตอบคำถาม เดินออกจากประตูบ้านไปอย่างสับสนมึนงง มองไปรอบด้านด้วยจิตใจอันเลื่อนลอย ในยามนี้ เขากลับไม่รู้ว่าจะไปที่ใด
เมิ่งชิงไม่ได้กลับมาตลอดทั้งคืน หลี่ชุ่ยฮวาก็นอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเช่นเดียวกัน
วันรุ่งขึ้นได้ยินเสียงเมิ่งชิงสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมม้าแล้ว ก็รีบเดินออกมา แต่เมิ่งชิงก็ควบม้าจากไปไกลแล้ว
เป็นเช่นนี้ติดต่อกันหลายวัน เมิ่งชิงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องคืนจวนแห่งนี้อีก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยพูดกับนางสักประโยคเช่นกัน หลังจากหลี่ชุ่ยฮวาตื่นตระหนกอยู่พักหนึ่ง ก็ค่อยๆ สงบลง และใช้ชีวิตฮูหยินผู้สูงศักดิ์สบายๆ ต่อไป
สองพี่น้องตระกูลหวังกลับน่าเวทนายิ่งกว่าเดิม ฝึกซ้อมในวันปกติก็ช่างมันเถอะ เมิ่งชิงยังฝึกพวกเขาอย่างหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น ผ่านไปเพียงแค่สิบวัน พวกเขาไม่เพียงแต่ซูบผอมลงไปมาก กระทั่งผิวหนังก็ยังลอกไปชั้นหนึ่ง ทั้งสองคนทุกข์ทรมานจนไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่กลับไม่กล้าหลบหนี
รองขุนพลหวังและคนอื่นๆกลับรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเมิ่งชิง ความฮึกเหิมและมีชีวิตชีวาของแม่ทัพหนุ่มนั้นไม่มีแม้แต่น้อย ทุกวันล้วนมีกลิ่นอายมืดหม่นจนทนไม่ไหว หลายคนพากันคาดเดาในใจ แต่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม
ฉู่เหวินเจี๋ยก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ของเขา คิดถึงคำฝากฝังของเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนสองคนนั้นแล้ว จึงเรียกเมิ่งชิงมาสอบถามที่กระโจมทหารตัวเองเป็นการส่วนตัว
“รองแม่ทัพเมิ่ง ในบ้านท่านเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่”
เมิ่งชิงเม้มริมฝีปากแน่นสนิท ไม่พูดอะไร
ฉู่เหวินเจี๋ยก็ไม่รีบร้อน “สำหรับส่วนรวม พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงาน สำหรับเรื่องส่วนตัว พวกเรามีความสัมพันธ์เป็นญาติกัน รองแม่ทัพเมิ่ง หากมีเรื่องอันใดก็เอ่ยพูดกับข้าได้ ขอเพียงแค่ข้าสามารถช่วยเหลือได้ ข้าจะพยายามสุดความสามารถอย่างแน่นอน”
เมิ่งชิงขยับปาก แต่ก็ไม่มีอะไรหลุดออกมาสักคำหนึ่ง
“รองแม่ทัพเมิ่ง เจ้าก็รู้ว่าตอนแรกที่เซวียนเอ๋อร์มาหาข้า บอกว่าจะจัดการให้สองคนนั้นเข้ามา ข้าไม่เห็นด้วย เขาจึงเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ให้ข้าฟัง เขากล่าวว่า มารดาของเจ้าได้รับการทารุณกรรมมานานหลายปี เจ้าสามารถเอาคืนจากสองคนนั้นได้ มิเช่นนั้น ความแค้นในใจของเจ้าก็จะคงอยู่ตลอดไป ช้าเร็วก็ต้องมีวันที่ระเบิดออกมา ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี ข้าถึงได้ตอบตกลง”
เมิ่งชิงยังคงไม่พูดอะไร
ฉู่เหวินเจี๋ยขมวดคิ้วเล็กน้อย
“รองแม่ทัพเมิ่ง ข้าจำได้ว่านิสัยของเจ้าไม่ใช่แบบนี้ เหตุใดถึงได้เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันกัน เจ้าพบเรื่องอันใดกันแน่ จะสามารถบอกความจริงกับข้าได้หรือไม่”
ริมฝีปากเมิ่งชิงขยับอีกครั้ง ในที่สุดก็เอ่ยออกมา แต่น้ำเสียงกลับยากจะเข้าใจ “ท่านแม่ทัพ สองคนนั้น…สามารถปล่อยกลับไปได้หรือไม่ขอรับ”
“เพราะเหตุใด”
ฉู่เหวินเจี๋ยตะลึงค้างไปเล็กน้อย และกลับสู่สภาพปกติในทันที
เมิ่งชิงไม่รู้ว่าควรจะกล่าวเช่นไร และพูดไม่ออกเช่นกัน
ฉู่เหวินเจี๋ยสังเกตสีหน้าเขา คิ้วขมวดเข้าหากัน ในคราแรกที่เมิ่งชิงเข้าสู่กองทัพ เขาเชื่อใจเขาเป็นอย่างมาก คิดว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ จัดการเรื่องราวได้เด็ดขาดเรียบร้อย ไม่อืดอาดเยิ่นเย้อ และชื่นชมเขาเป็นอย่างมากมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะมองพลาดไป
“รองแม่ทัพเมิ่ง เจ้าทำให้ข้าผิดหวังเป็นอย่างมาก”
ในใจคิดเช่นนี้ คำพูดก็ถูกเอ่ยออกมาเช่นกัน
เมิ่งชิงตัวสั่นเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยถามอย่างดื้อดึงว่า “ท่านแม่ทัพ สองคนนั้น…สามารถปล่อยกลับไปได้หรือไม่ขอรับ”
นัยน์ตาคมปลาบคู่นั้นของฉู่เหวินเจี๋ยมองมาทางเขา “รองแม่ทัพเมิ่ง เจ้าเข้ามาอยู่ในกองทัพเป็นเวลานานมากแล้ว ควรจะทราบกฎระเบียบทางการทหาร เหล่าทหารที่ไม่ได้พิการ ไม่อาจกลับบ้านได้ เจ้าเอ่ยขอร้องเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า มีเรื่องใดในใจที่เอ่ยพูดออกมาได้ยากหรือไม่”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมิ่งชิงก็ส่ายศีรษะไปมาอย่างช้าๆ “ไม่มีขอรับ ท่านแม่ทัพคิดมากไปแล้ว”
เอ่ยจบแล้ว ก็ลุกขึ้นยืน “หากว่าท่านแม่ทัพไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ”
ฉู่เหวินเจี๋ยรู้ว่าวันนี้ถามไม่ได้ความอะไรก็โบกมือ ให้เมิ่งชิงถอยออกไป
ข่าวคราวลอยเข้าหูเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรวดเร็ว เมิ่งเชี่ยนโยวส่งคนไปเฝ้าดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่ชุ่ยฮวามาโดยตลอด จะไม่รู้ว่าเมิ่งชิงทำไปเพราะเหตุใดได้เช่นไร หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็สั่งโจวอันว่า “เจ้ากลับไปตอบจดหมายท่านน้าว่า ให้คิดหาวิธีช่วยเหลือชิงเอ๋อร์อยู่ห่างๆ”
หวงฝู่อี้เซวียนที่เดินเข้ามาพอดี ได้ยินคำพูดของนางแล้วก็ขมวดคิ้ว “ไม่ใช่พูดว่าหลังจากนี้จะไม่สนใจเขาแล้วหรือ เหตุใดยังสิ้นเปลืองความคิดไปกับเรื่องของเขาอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา “ข้าพูดว่าจะไม่ช่วยเหลือเรื่องเงินทอง ไม่ได้พูดว่าไม่สนใจเรื่องอื่นๆ ของเขา อีกประการหนึ่ง เศรษฐีหวังผู้นั้นมอบทั้งจวน ทั้งเงินทอง ทรัพย์สินที่สะสมเอาไว้ในตระกูลก็ถูกใช้ไปพอสมควรแล้ว ไม่เหลือเงินไว้ให้พวกเขาหนีเอาตัวรอดบ้าง หรือว่าจะรอให้พวกเขาสร้างความวุ่นวายในเมืองหลวงเพิ่มกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนลูบจมูก ไม่พูดอันใดอีก
ฉู่เหวินเจี๋ยได้รับจดหมายตอบกลับ ก็คิ้วขมวดครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่
ในครานี้ สองพี่น้องตระกูลหวังที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ โชคไม่ดีได้รับบาดเจ็บที่ขา และผ่านการรักษาจากหมอทหาร แม้ว่าจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ทั้งสองคนล้วนขาเป๋ ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในค่ายทหารต่อไป หลังสอบถามแล้ว บ้านของทั้งสองคนอยู่ในเมืองหลวง จึงเรียกให้เศรษฐีหวังมารับคนไป
เศรษฐีหวังที่ได้ยินว่าหลานชายทั้งสองคนถูกปล่อยตัวออกมาจากค่ายทหารแล้ว ก็ดีใจน้ำหูน้ำตาไหล จนเกือบจะคุกเข่าโขกศีรษะ แต่หลังจากที่ได้ยินว่าขาของหลานชายทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บ ก็ตะลึงค้างไป ความหวังในชีวิตนี้ของเขา ก็คือหลานชายที่ฉลาดหลักแหลม ไหวพริบดีที่โดดเด่นกว่าผู้อื่นสองคนนี้ ยามที่ได้ยินข่าวว่าเมิ่งชิงได้เป็นจอหงวนฝ่ายบู๊ จึงได้คุมตัวหลี่ชุ่ยฮวามาที่เมืองหลวง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาคิดใคร่ครวญวางแผนเสียอย่างแยบยล ก็ยังสู้เมิ่งเชี่ยนโยวที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ไม่ได้ ถึงกับอาศัยอำนาจส่งหลานชายทั้งสองคนของตัวเองเข้าไปในค่ายทหาร เขาที่อยู่ภายใต้การจนมุม ถึงได้แอบไปหาหลี่ชุ่ยฮวา ซื้อจวนใหญ่และมอบเงินทองให้นางมากมาย ทั้งยังรับปากว่า หลังจากนี้จะไม่ประกาศเรื่องที่นางเคยเป็นอนุภรรยาของเขาอีก ถึงได้กล่อมให้หลี่ชุ่ยฮวารับปากที่จะให้เมิ่งชิงปล่อยตัวหลานชายทั้งสองคนของเขาออกมา แต่เขาจะขบคิดเช่นไร ก็คิดไม่ถึงว่าหลานชายทั้งสองคนจะออกมาด้วยสภาพเช่นนี้
เดินทางไปรับหลานชายทั้งสองคนที่ค่ายสนามด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเสียใจ เมื่อเห็นสภาพทุกข์ทรมานไม่น่ามองของพวกเขาแล้ว ในใจก็ทุกข์ทรมานและเจ็บปวด ทุกข์เพราะ เพื่อช่วยหลานชายสองคนนี้ ทรัพย์สินเงินทองที่เขาสะสมเอาไว้ในหลายปีนี้ถูกใช้ไปพอสมควรแล้ว เจ็บปวดเพราะ หลังจากนี้หลานชายทั้งสองคนของตัวเองนับว่าเป็นคนพิการแล้ว เรื่องที่คิดอยากจะให้พวกเขาเป็นขุนนาง สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้กับบรรพบุรุษก็ไม่ต้องคิดแล้ว