ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 10 บทที่ 299 วิชาฝังเข็ม
ขณะพูดก็เดินมาถึงสำนักหมอหลวง ระหว่างทางที่เดินมา ทั้งเจินจูและหมาหน่าวมักจะเอ่ยเหน็บแนมเพื่อทำให้นางรู้สึกกระดากอาย
ดูเหมือนสาวใช้สองคนนี้จะคิดว่านางเป็นคนอ่อนแออย่างนั้นสินะ
ชำเลืองมองพวกนางเล็กน้อย ดูเหมือนนางจะหลุดเข้ามาอยู่ในกับดักของพญาปีศาจน่าขยะแขยงเข้าให้แล้ว แค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ
ตอนนี้ปล่อยให้พวกนางได้ใจไปก่อน อีกเดี๋ยวอย่าร้องห่มร้องไห้ก็แล้วกัน
สำนักหมอหลวงมิต่างจากภาพที่นางจินตนาการเอาไว้ ท่านอาจารย์เคยเล่าว่าที่แห่งนี้มีหมอหลวงเลื่องชื่ออยู่เป็นจำนวนมาก
เพียงเดินผ่านประตูเข้ามา นางก็ได้กลิ่นยาสมุนไพร
ระบบเซินหนงเริ่มวิเคราะห์จำแนกยาอัตโนมัติ หลังจากคำนวณดูแล้ว ปรากฏว่ายาทั้งหมดที่นี่มีราวหนึ่งพันชนิด ทั้งยังมียาหายากที่มิอาจประเมินมูลค่าได้อยู่เป็นจำนวนมาก
ตัวยาบางชนิดสามารถปลุกคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้
นางรู้สึกประหลาดใจเหลือเกิน ฮ่องเต้ประชวรด้วยโรคที่เคยเป็นมาก่อน เหตุใดยามากมายเหล่านี้จึงมิอาจทำให้พระองค์หายจากอาการประชวรได้
“แม่นางท่านนี้ได้โปรดรอก่อน ที่นี่คือสำนักหมอหลวง หาใช่สถานที่ที่ใครสามารถเข้ามาได้ไม่”
เพียงเดินเข้าประตูมาก็ถูกรั้งเอาไว้ หลินเมิ้งหยามองดูชายหนุ่มคนนั้น เขาน่าจะเป็นหมอหลวงฝึกหัดคนหนึ่ง ท่านอาจารย์เล่าว่าบรรดาลูกศิษย์จะต้องทำงานเล็กงานน้อย ยิ่งสั่งสมประสบการณ์ได้มากเท่าไร ทักษะก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
เหมือนกันกับนาง ดูเหมือนนางจะเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของท่านอาจารย์แล้ว
“พี่ชายท่านนี้ได้โปรดแจ้งภายในด้วยว่าจวนอวี้ สกุลหลินต้องการขอเข้าพบ”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยตอบ เจินจูและหมาหน่าวกำลังรอหัวเราะเยาะนางอยู่ ดังนั้นพวกนางจึงไม่คิดช่วยเหลือ
ดูเหมือนคำว่าจวนอวี้จะมิใช่สิ่งแปลกใหม่ของพี่ชายคนนี้
ยิ่งไปกว่านั้น แม้หลินเมิ้งหยาจะมีท่าทางอ่อนโยนและเข้าหาง่าย แต่ท่วงท่าของนางสง่างามไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป หลังจากมองนางด้วยความสงสัยแล้ว เขาจึงเข้าไปรายงานด้านใน
ผลปรากฏว่าเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน เหล่าหมอหลวงทั้งหัวหงอกหัวดำต่างออกมาต้อนรับนาง
หากนับตามฐานะแล้ว นางคือพระชายาลำดับที่หนึ่ง แน่นอนว่าเมื่อพวกเขาเห็นนาง พวกเขาต้องโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพ
“คิดไม่ถึงเลยว่าชายาอวี้จะเสด็จมาด้วยตนเอง ข้าน้อยคือเจ้าสำนักหมอหลวงนามว่าซูถงขอถวายพระพรพระชายา ข้าน้อยได้ยินชื่อเสียงด้านการรักษาของพระชายามานานแล้ว ข้าน้อยประหลาดใจยิ่งนัก”
ซูถง? หลินเมิ้งหยาตกตะลึงเล็กน้อย เหตุเพราะนางเคยได้ยินชื่อนี้จากปากของท่านอาจารย์
ชายคนนี้เป็นอัจฉริยะตั้งแต่ตอนอายุเจ็ดขวบ แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังชื่นชมเขามาก คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นเจ้าสำนักหมอหลวงที่วังหลวงแห่งนี้
ความสงสัยยิ่งถาโถมเข้ามา หรือพระอาการประชวรของฮ่องเต้จะหนักหนาเกินกว่าที่หมอเทวดาท่านนี้จะรักษาได้?
“รีบ รีบลุกขึ้นเถิด ข้าเป็นเพียงหญิงที่ออกเรือนแล้วและมีความรู้เรื่องวิชาแพทย์แต่เพียงเท่านั้น อันที่จริงสาเหตุที่ท่านอ๋องอยากให้ข้าเข้ามาในวังก็เพราะไม่สบายพระทัยเรื่องพระอาการประชวรของฮ่องเต้แต่เพียงเท่านั้น แต่เมื่อได้มาอยู่ต่อหน้าหมอเทวดาเช่นพวกท่าน เช่นนั้นข้าจะอาจเอื้อมยกตนเสมอพวกท่านได้เช่นไร”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน คนเหล่านี้ล้วนเป็นหมอหลวงของต้าจิ้น
เพราะเหตุนี้หลงเทียนอวี้และท่านพ่อมักจะกำชับกับนางเสมอว่าให้ระวังตัว ที่แท้นางก็ประเมินพวกเขาต่ำเกินไป
“พระชายาอย่าถ่อมตนไปเลย มา มา มา มาถวายพระพรพระชายา ต่อจากนี้ไปพวกเราจะต้องร่วมกันปรึกษาเรื่องยาที่ถวายการรักษาพระอาการของฮ่องเต้ร่วมกัน”
ซูถงเป็นคนใจกว้าง เพราะเหตุนี้เขาจึงสามารถรั้งตำแหน่งนี้อยู่ในวังหลวงได้อย่างนั้นสินะ
ทว่าลูกน้องของเขามิได้มีทัศนคติดีงามเหมือนกับเขา
พวกเขาชำเลืองมองหลินเมิ้งหยาพร้อมทั้งถวายคำนับอย่างไม่เต็มใจ ดูเหมือนพวกเขาจะจำใจทำเช่นนี้เพราะฐานะของนางแต่เพียงเท่านั้น
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด แต่ก็เข้าใจความคิดของพวกเขาได้
ช่างเถิด หากเป็นไปตามที่นางคาด คนเหล่านี้ไม่มีทางยอมก้มหัวให้นางอย่างแน่นอน
“พระชายาได้โปรดลงโทษด้วย แม้พวกกระหม่อมจะเป็นหมอหลวง แต่ถึงกระนั้นก็มิได้เคร่งครัดกับกฎระเบียบธรรมเนียมปฏิบัติของวังหลวงนัก คนพวกนี้ล้วนเคยชินกับการทำตัวปล่อยปละละเลยแล้ว พระชายาได้โปรดอย่าถือสาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ปล่อยปละละเลยน่าจะเป็นเพียงข้ออ้าง อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่ยอมรับในความสามารถของนาง
ก็จริง นางเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุยังน้อย จึงเป็นเรื่องปกติที่จะถูกดูแคลน
สายตาพลันเหลือบไปเห็นสีหน้าของเจินจูและหมาหน่าว
โอ้ พวกนางปิดปากหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
ช่างเถิด วันนี้มาเล่นสนุกกับพวกนางดูสักตั้งก็แล้วกัน
“เหตุใดใต้เท้าซูจึงเอ่ยเช่นนี้เล่า ข้าต่างหากที่มารบกวนทุกท่าน เอาแบบนี้แล้วกัน ใต้เท้าซูได้โปรดจัดห้องให้ข้าสักหนึ่งห้อง หนึ่งก็เพื่อจะได้แยกฝั่งชายหญิงอย่างชัดเจน สองก็เพื่อที่ข้าจะได้ไม่ต้องเข้าไปรบกวนทุกท่าน”
คำขอร้องของหลินเมิ้งหยาคือสิ่งที่ซูถงกำลังคิดอยู่เช่นเดียวกัน
เขายกยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินนำนางไปยังห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง
ที่นี่นับเป็นสถานที่ที่ดีมาก เหตุเพราะอยู่ด้านในสุดดังนั้นจึงไม่มีใครเข้ามารบกวนนางได้อย่างแน่นอน
เดินเข้าไปในห้อง ภายในมีเตียงคนไข้หนึ่งหลัง บริเวณผนังมีชั้นวางยามากมาย ซ้ำยังมีอุปกรณ์สำหรับต้มยาครบทุกชนิด
เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ที่ต้องเฟ้นหาทีละอย่างกว่าจะเจอ ที่นี่เปรียบเหมือนสวรรค์ของคนเป็นหมอเลยทีเดียว
“สมกับเป็นสำนักหมอหลวง ใต้เท้าซูละเอียดรอบคอบยิ่งนัก”
เมื่อเห็นท่าทางพึงพอใจของหลินเมิ้งหยา ซูถงจึงยิ้มกว้าง
หลินเมิ้งหยารู้ดี ดูเหมือนคนเหล่านี้จะมองนางเป็นเพียงป้ายวิญญาณเท่านั้น
“เช่นนั้นเชิญพระชายาตามสบาย หากต้องการสิ่งใด เพียงส่งคนไปบอกกระหม่อมก็เพียงพอ”
ซูถงรู้สึกว่าพระชายายังเด็ก บางทีอาจจะมีความรู้งูๆ ปลาๆ ก็เท่านั้น มีเพียงวิธีนี้ที่จะถนอมน้ำใจของนางเอาไว้ได้
ขณะที่คิดจะกลับออกไป เขากลับถูกหลินเมิ้งหยารั้งเอาไว้
“ช้าก่อน ข้ายังมีเรื่องขอร้อง ในเมื่อข้าต้องรักษาอาการประชวรของฮ่องเต้ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เช่นนั้นใต้เท้าซูได้โปรดนำผลการวินิจฉัยของฮ่องเต้มาให้ข้าอ่านรายละเอียดเถิด”
เพียงหลินเมิ้งหยาเอ่ยขึ้นมา คนที่อยู่ด้านนอกก็เริ่มถกเถียงกันเหมือนนกแตกรัง
เสียงส่วนใหญ่คือเสียงคัดค้าน
ข้อมูลการจับชีพจรของฮ่องเต้นั้นสำคัญมาก มิอาจเปิดเผยได้ง่ายๆ นางเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง นางจะรู้จักการจับชีพจรเหล่านั้นได้อย่างไร พวกเขาล้วนสงสัยในวิชาการแพทย์ของนางเหลือเกิน
หลินเมิ้งหยามิได้รู้สึกขัดใจ นางทำเพียงนั่งเงียบๆ ขณะที่คนเหล่านั้นถกเถียงกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขามิได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีเช่นนาง
แม้แต่ซูถงก็มีสีหน้าแดงก่ำ เขาแสร้งกระแอมออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อหน้าทุกคน
“พระชายา เรื่องนี้ทำให้กระหม่อมรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก เหตุเพราะรายงานการจับชีพจรของฮ่องเต้มีเอาไว้เพียงเพื่อให้กระหม่อมอ่านเพียงคนเดียวเท่านั้น ก่อนที่มันจะถูกปิดผนึก คนนอกมิอาจดูได้ เรื่องนี้เป็นธรรมเนียมปฎิบัติของต้าจิ้นที่มีมาอย่างเนิ่นนาน พระชายาได้โปรดอย่าทำให้กระหม่อมลำบากใจเลย”
น่าขำเหลือเกิน หลินเมิ้งหยาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ
การจับชีพจรในสมัยปัจจุบันเป็นเรื่องปกติทั่วไป นางต้องถวายการรักษาฮ่องเต้ หากนางไม่ได้เห็นรายงานผลการรักษาที่ผ่านมา เช่นนั้นนางจะจ่ายยาได้อย่างไร?
ดูเหมือนคนพวกนี้จะไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
หลุบตาต่ำ ราวกับเห็นด้วยกับความคิดของพวกเขา ทว่าเสี้ยววินาทีต่อมานางพลันเงยหน้าขึ้น ก่อนจะกวาดสายตามองดูพวกผู้ชายเหล่านั้นที่กำลังหลบตานาง
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าซูเคยได้ยินเรื่องวิชาการควบคุมเข็มหรือไม่?”
เพียงประโยคเดียว สีหน้าของซูถงเปี่ยมไปด้วยความตื่นตระหนก น้อยคนนักที่จะรู้จักวิชานี้
“คือ…มันคือเรื่องเล่ามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ใช้เข็มแทงลงไปที่จุดทั้งแปดด้วยความระมัดระวัง วิชาการฝังเข็มเป็นเพียงเรื่องเล่าของคนขี้เบื่อแต่เพียงเท่านั้น”
คำพูดของซูถงได้รับเสียงชื่นชมจากทุกคน
หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้ม ก่อนจะเอ่ย
“บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวที่มิถูกไขให้กระจ่าง ได้ยินมาว่าปรมาจารย์ด้านการแพทย์มีเทพเซียนคอยคุ้มครอง ไม่ทราบว่ามีพวกท่านคนไหนเคยเห็นกับตาบ้าง? มีใครได้รับการสืบทอดวิชาจากปรมาจารย์ท่านนี้บ้างหรือไม่? เช่นนั้นพวกท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าปรมาจารย์ท่านนั้นมิได้เป็นเพียงเรื่องเล่าของใครคนหนึ่ง?”
เมื่อเทียบฝีปากกันแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีใครมีวาทศิลป์เช่นนาง
เพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถทำให้ใบหน้าของพวกหมอหลวงแดงก่ำ
หลินเมิ้งหยาไม่คิดบีบคั้นพวกเขา นางสั่งให้ป๋ายซูหยิบเข็มชุดที่นางมักใช้เป็นประจำขึ้นมา
เข็มทั้งหนึ่งร้อยแปดเล่มถูกวางอย่างเป็นระเบียบ
นางต้องรบเร้าอาจารย์มากกว่าครึ่งเดือนกว่าจะขอยืมเข็มชุดนี้มาได้
หากอ้างอิงจากคำพูดของเขาแล้วล่ะก็ เข็มทุกเล่มของเขาล้วนมีความพิเศษ นางสามารถหยิบยืมวิธีการฝังเข็มของท่านอาจารย์มาใช้ในการรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้
เทคนิคการฝังเข็มที่นางใช้เป็นวิธีลึกลับ โดยจะไม่มีใครมองร่องรอยของเข็มที่ถูกฝังออกว่าอยู่ที่ใด ท่านอาจารย์เล่าให้ฟังว่าเขาได้รู้จักวิชาลับนี้โดยบังเอิญ
วิชาฝังเข็มคือการฝังเข็มลงไปบนจุดต่างๆ คนที่จะฝังเข็มได้จะต้องมีความว่องไว ชำนาญและเด็ดขาด ท่านอาจารย์ยังบอกอีกว่าวิชานี้เป็นวิชาที่มีความล้ำค่า คนที่เรียนจบจะประสบความสำเร็จและได้รับทักษะทางการแพทย์ นี่เองที่เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดวิชาฝังเข็มจึงเป็นสุดยอดเคล็ดวิชา
“หรือว่า…พระชายาจะรู้จักวิชาลับนี้?”
แม้ซูถงจะเก่งกาจ แต่หลังจากที่เขาได้เห็นเข็มชุดนี้ ดวงตาของเขาก็สั่นไหว
หลินเมิ้งหยาไม่ปฏิเสธ แต่กลับเอ่ยอย่างช้าๆ
“ข้ายังเรียนได้ไม่แตกฉาน ดังนั้นข้าจึงฝังเข็มได้เพียงแค่สามเล่มเท่านั้น หากใต้เท้าซูไม่เชื่อ เช่นนั้นท่านสามารถเข้ามาทดสอบดูได้”
หลินเมิ้งหยายกเข็มในมือขึ้น ก่อนจะแย้มยิ้มกว้าง
ตอนนี้สำนักหมอหลวงพลันเงียบสงัด
ซูถงลูบหน้าผากของตนเอง ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธ
“เกรง…เกรงว่าจะไม่เหมาะ กระหม่อมอายุมากแล้ว เกรง…เกรงว่าจะมิเหมาะสม”
หลินเมิ้งหยาเหยียดยิ้มแล้วเหลือบมองเขาเล็กน้อย เขาคงกลัวว่าชีวิตของตนเองจะดับสูญเพราะน้ำมือของนางอย่างนั้นสินะ
หยิบเข็มขึ้นมาหนึ่งเล่ม ก่อนจะกวาดสายตามองพวกกลุ่มคนที่แสดงความเย่อหยิ่งเมื่อครู่