ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 11 บทที่ 321 ตกเป็นเป้าของทุกคน
ใบหน้าหนึ่งนองไปด้วยน้ำตาแสดงให้เห็นถึงความตื่นตระหนกระคนน่าสงสาร อีกใบหน้าหนึ่งมิสนใจใยดีทั้งยังเชิดหน้าอย่างสง่างามสมกับตำแหน่งพระชายา
สายตาของทุกคนเปี่ยมไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
เหอเทียนหันไปมองหลินเมิ้งหยา แต่ถึงกระนั้นก็พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ไม่ปล่อยให้ตนเองเผลอทำอะไรบุ่มบ่าม
ถึงอย่างไรนางก็หาใช่ลูกศิษย์ของเขา บางคำถามเขาก็มิควรถามออกไป อย่างน้อยเขาต้องมีหลักฐานชี้ชัดเสียก่อน
ใต้เท้าทั้งสี่รีบหันหน้าสบตากัน สุดท้ายคนที่มีตำแหน่งสูงสุดอย่างซูถงจึงเป็นผู้เปิดปากเอ่ย
“คำพูดของเสี่ยวเฟิงหาได้มีมูล เช่นนั้นหมอเหอพาคนออกตามหาลูกศิษย์ของท่านเถิด พวกเรามิอาจใส่ร้ายใครอย่างเลื่อนลอยได้”
ข้อเสนอนี้ได้รับความเห็นชอบจากทุกคน เหตุเพราะเสี่ยวเฟิงเป็นเพียงหมอหลวงตัวเล็กๆ แต่หลินเมิ้งหยาเป็นถึงพระชายา ดังนั้นจึงไม่อาจป้ายความผิดให้แก่นางได้ง่ายๆ
หลินเมิ้งหยาทำเพียงมองดูเงียบๆ ทว่าสมองกำลังประมวลผลอย่างรวดเร็ว
การที่เสี่ยวเฟิงกล้าโยนความผิดให้นางเช่นนี้ แสดงว่าคนหนุนหลังของเขาจะต้องจัดฉากทั้งหมดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงนางก้าวพลาด เช่นนั้นพวกเขาก็พร้อมจะฉุดนางลงนรกทันที
ฉะนั้นนางจำเป็นต้องระมัดระวังให้มาก ตอนนี้ต้องรอให้อีกฝ่ายเผยไต๋ออกมาให้หมดก่อน จากนั้นนางจึงค่อยคิดต่อว่าควรทำเช่นไร
“ถูกต้อง พวกเจ้าจงรีบออกตามหาหลิวอี หากหาตัวเขาเจอ พวกเราก็จะได้รู้ความจริง”
คาดว่าเหอเทียนปักใจเชื่อคำพูดของเสี่ยวเฟิงไปแล้ว ดังนั้นสายตาที่มองมายังหลินเมิ้งหยาจึงเจือไว้ซึ่งความไม่พอใจ
ซูถงรีบสั่งให้คนออกตามหาหลิวอี แต่หลินเมิ้งหยามั่นใจว่าหลิวอีคนนั้นจะต้องตายไปแล้วหรือไม่ก็ถูกคุมขังอยู่ที่ใดที่หนึ่งอย่างแน่นอน
เสี่ยวเฟิงทรุดตัวลงกับพื้นร้องห่มร้องไห้ ท่าทางของเขาในเวลานี้น่าสงสารจับใจ หลินเมิ้งหยาทำเพียงปรายตามองเขาด้วยความเย็นชา
อยากรู้เหลือเกินว่าเขาจะเล่นละครอะไรต่อไปอีก?
หมอหลวงไม่สามารถเข้าไปยังวังหลังได้ ไม่นานคนที่ออกไปตามหาก็กลับมารายงาน ทว่าสายตาที่มองมายังหลินเมิ้งหยากลับเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น ป๋ายซูจึงถลึงตาใส่พวกเขากลับไป
“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราหาหลิวอีเจอแล้วขอรับ เพียงแต่….เพียงแต่….”
มีคนรีบร้อนเข้ามารายงานใต้เท้าซู ทว่าเขากลับพูดจาอ้ำอึ้งเสมือนกำลังรู้สึกลำบากใจ
“พูด!”
ซูถงถลึงตาใส่อีกฝ่าย ชายคนนั้นก้มหน้ากัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะหันไปจ้องหลินเมิ้งหยาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“พี่หลิวอีตายแล้วขอรับ! ศพของเขาอยู่ด้านนอกสวน”
เพียงประโยคนี้เอ่ยพ้นริมฝีปาก ทุกคนก็ตะลึงพรึงเพริด มีเพียงหลินเมิ้งหยาเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่งไม่ไหวติง
ดูเหมือนละครฉากนี้จะเข้มข้นขึ้นแล้ว
การตายของหลิวอีทำให้นางถูกทุกคนจ้องเขม็งด้วยสายตาโกรธแค้น
เสี่ยวเฟิงระเบิดเสียงร้องไห้โฮ คนที่อยู่ด้านนอกเคลื่อนศพของหลิวอีเข้ามา
หลิวอีคือเด็กหนุ่มอายุราวยี่สิบต้นๆ ใบหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์ ทว่าสีหน้าขาวซีด ดวงตาปิดสนิท
คาดว่าหลิวอีจะต้องเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ไม่เลว เหตุเพราะเพียงศพของเขาถูกยกเข้ามา เสียงสะอึกสะอื้นของทุกคนพลันดังขึ้น
“หลิวอี! หลิวอี! ลูกศิษย์ของข้า เหตุใด….เหตุใดเจ้าจึงเป็นเช่นนี้! ชายาอวี้! เจ้าจงคืนชีวิตของลูกศิษย์ข้ามาเดี๋ยวนี้! คืนชีวิตของเขามา!”
เหตุเพราะสูญเสียศิษย์อันเป็นที่รัก ความเจ็บปวดเสียใจทำให้เขาขาดสติ
ท่าทางของเขาเหมือนคนที่กำลังถูกโทสะเข้าครอบงำ ดวงตาแดงก่ำเผยความเจ็บปวดระคนเคียดแค้น เสียงตะคอกดังก้องกังวานไปทั่วทั้งห้อง
ขณะเดียวกัน ความโกรธเกรี้ยวของทุกคนพลันปะทุขึ้น ตอนนี้หลินเมิ้งหยาตกเป็นเป้าของพวกเขาแล้ว
“แก้แค้นให้หลิวอี! จัดการฆาตกร!”
ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ร้องตะโกนขึ้นมา ทุกคนส่งเสียงตะโกนด่าทอใส่หน้าหลินเมิ้งหยา
ตั้งแต่เริ่มแรกจนกระทั่งตอนนี้หลินเมิ้งหยาไม่ได้แสดงท่าทีตอบโต้พวกเขาเลยแม้แต่น้อย นางทำเพียงปรายตามองพวกเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มนวลไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไป
“ต่อให้ข้าเป็นผู้ทำเรื่องนี้ แต่พวกเจ้ามีคุณสมบัติมากเพียงพอจะจัดการข้าอย่างนั้นหรือ? เพียงลมปากของคนคนหนึ่งใส่ร้ายว่าข้าเป็นฆาตกร พวกเจ้าก็พร้อมจะตราหน้าข้าว่าเป็นเช่นนั้นทันที หรือว่าพวกเจ้าเองก็มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการจัดฉากเหล่านี้ขึ้นมาเช่นเดียวกัน? เหตุที่ข้าเงียบก็เพราะอยากรู้ว่าพวกเจ้าจะใส่ร้ายข้าเช่นไร!”
น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ขณะเดียวกันคำพูดของนางทำให้ซูถงและเหอเทียนตั้งสติได้
นางพูดถูก นางมีฐานะเป็นถึงชายาอวี้ ต่อให้พวกเขาถูกนางฆ่าตาย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรนางอยู่ดี พวกเขาทั้งสองเป็นขุนนางในราชสำนัก ฉะนั้นย่อมรู้กฎระเบียบข้อนี้ดี
“พระชายาแล้วอย่างไรเล่า? แค่เพราะเจ้าเป็นชายา ดังนั้นจึงสามารถใช้อำนาจฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลาได้เช่นนั้นหรือ? เจ้ามันฆาตกรชั่วร้าย! พวกเราจงแก้แค้นให้หลิวอี!”
ความแค้นเป็นดั่งยากระตุ้นชั้นดี
คนบางคนนำหลักคุณธรรมมากล่าวอ้าง โดยไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังตกเป็นเครื่องมือของผู้อื่น
“หากอยากรู้ว่าข้าเป็นคนสังหารเขาหรือไม่ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ควรชันสูตรศพก่อน แต่ก่อนหน้านั้นพวกเจ้าต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้ก่อนว่าข้าไม่มีทางฆ่าหลิวอี โดยเฉพาะในสถานการณ์พิเศษเช่นนี้ เหตุเพราะข้าเป็นถึงชายาอวี้ ดังนั้นย่อมมีคนลงมือแทนข้ามากมาย ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าต้องการปกปิดความผิด เช่นนั้นข้ามีวิธีการเป็นร้อยเป็นพันเพื่อทำให้ศพของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย”
หลินเมิ้งหยาหาได้ใช้ความเมตตาในการอธิบาย กลับกันนางแสดงออกถึงการดูแคลนเล็กน้อย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
“ฮึ บางทีเจ้าอาจจะถูกจับได้ก็เลยลงมือกะทันหัน”
เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคน หลินเมิ้งหยากลับไม่สนใจเสียงเอะอะโวยวายตรงหน้า นางเดินเข้าไปยืนข้างศพ
“เจ้ายังคิดจะทำอะไรพี่หลิวอีอีก!”
มีคนคิดจะเข้ามาห้าม แต่หลินเมิ้งหยาส่งสายตาคมกริบประหนึ่งใบมีดไปทางเขา ดังนั้นความกล้าของอีกฝ่ายจึงเหือดหายไปในทันที
“เจ้าจะตื่นตระหนกไปใย? ที่นี่มีคนอยู่มากมาย เจ้าคิดว่าข้าจะทำลายศพอย่างนั้นหรือ? หรือเจ้ากลัวว่าข้าจะพบหลักฐานก็เลยคิดจะเข้ามาห้ามข้า?”
นางหาได้ชันสูตรศพเป็นครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังมีหมอหลวงห้อมล้อมอยู่มากมาย
หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเมิ้งหยา เขาทำเพียงถลึงตาแต่ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
หลินเมิ้งหยาเดินอ้อมตัวเขาไปเพื่อตรวจสอบศพ
ทุกคนค่อยๆ ขยับเข้ามาล้อมตัวนางเอาไว้ โชคดีที่ป๋ายซูอยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าทำอะไรนาง
ลักษณะภายนอกของศพมิได้มีบาดแผลใดๆ นางตรวจสอบกระดูกแขนขาทั้งสี่ แต่กลับไม่พบร่องรอยของการหักหรือบุบสลาย
หลินเมิ้งหยายกแขนของหลิวอีขึ้น นิ้วทั้งสิบกางออก มิได้กำเข้าหากัน ยิ่งไปกว่านั้นยังไร้รอยเลือด ด้านบนมีกลิ่นยาสมุนไพรอ่อนๆ
หลิวอีเป็นลูกศิษย์ของเหอเทียน แน่นอนว่าเขาต้องมีความสามารถด้านยาสมุนไพร ดังนั้นจุดนี้จึงไม่มีอะไรผิดปกติ
หน้าอกและท้องยังคงอ่อนอยู่ บางทีเขาอาจจะเพิ่งตายเมื่อคืน
หลินเมิ้งหยายกยิ้มในใจ ดูเหมือนฆาตกรจะไม่รู้ว่าเมื่อวานเกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชายสิบ ดังนั้นนางจึงอยู่ดูแลเขาทั้งคืน
เรื่องนี้หาใช่เพียงนางหรือคนของนางเท่านั้นที่รู้ แม้แต่คนของพระสนมเสียนเฟย ขันทีและนางในต่างก็รู้เรื่องนี้
โชคดีที่เมื่อคืนนางมิได้สั่งให้หมอหลวงเข้าวังมาตรวจอาการ ดังนั้นจนกระทั่งตอนนี้จึงยังไม่มีหมอหลวงคนใดรู้เรื่องนี้
นางมีหลักฐานที่อยู่แล้ว แต่ถ้าหากพูดออกไปตอนนี้ก็น่าเสียดาย
แผนการปรากฏขึ้นในใจ หลินเมิ้งหยาแสร้งแสดงสีหน้าสงสัย
“เท่าที่ดูจากการแข็งตัวของศพ ดูเหมือนเขาจะเพิ่งตายเมื่อคืน แต่ข้าหาบาดแผลไม่เจอ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่เหมือนคนถูกวางยา เพื่อความเป็นธรรม เช่นนั้นเชิญใต้เท้าซูและหมอเหอมาตรวจสอบด้วยตนเองเถิด”
เพื่อมิให้เกิดข้อสงสัย ดังนั้นซูถงและเหอเทียนจึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมอย่างช่วยไม่ได้
พยักหน้าลง หลังจากสบตากันแล้ว พวกเขาตรวจสอบศพเหมือนอย่างที่หลินเมิ้งหยาทำ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังแอบเห็นด้วยกับการวินิจฉัยของหลินเมิ้งหยา
ขณะที่ทุกคนกำลังเงียบงันอยู่นั้น เลือดค่อยๆ ไหลออกจากศีรษะของหลิวอี ทวารทั้งเจ็ดที่เคยปิดสนิทถูกเปิดออก ก่อนที่เลือดจะไหลออกจากรูทวารเหล่านั้น
“วิญ…วิญญาณของพี่หลิวอีจะต้องอยู่ไม่ไกลแน่ๆ ฉะนั้นเขาจึงร้องไห้ออกมาเป็นเลือด ท่านอาจารย์ นางคือฆาตกร!”
เสี่ยวเฟิงชี้ไปทางศพของหลิวอี หลินเมิ้งหยาหันไปมอง ผลปรากฏว่าเป็นไปตามที่เขาพูด ศพที่เคยสะอาดสะอ้านบัดนี้ท่วมไปด้วยเลือด
“ท่าน….ท่านอาจารย์ วิญญาณของพี่หลิวอียังไม่จากไปไหน เขา…เขาจะต้องได้ยินคำพูดของพระชายาจึงรู้สึกขุ่นเคืองอย่างแน่นอนขอรับ”
เสี่ยวเฟิงเติมเชื้อไฟ บรรยากาศที่เคยเงียบงันจึงกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง
“โอ้? เช่นนั้นหรือ? ข้าขอดูหน่อยแล้วกัน”
ทว่าเสี่ยวเฟิงวิ่งเข้ามาราวกับคนบ้า ก่อนจะกางแขนทั้งสองข้างออกเพื่อขวางหน้านางเอาไว้ สายตาแค้นเคืองจับจ้องมองนางเขม็ง ราวกับว่าเขาอยากจะโยนนางเข้าคุกเสียเต็มประดา
“หยุดทำให้ศพของพี่หลิวอีต้องแปดเปื้อนได้แล้ว! เมื่อครู่พวกข้าต่างเห็นกับตาตัวเองว่าเจ้าแตะต้องศพของพี่หลิวอี ฉะนั้นจึงมีเลือดไหลออกมา”
คำพูดนี้ย่อมกระตุ้นคนอื่นๆ
สีหน้าของหลินเมิ้งหยาเคร่งขรึมลง นางไม่อยากเสียเวลาพูดจาไร้สาระ ดังนั้นหลังจากส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ป๋ายซูแล้ว ป๋ายซูจึงโยนพวกคนที่เข้ามาขวางทางออกไปทีละคน
“เจ้า….”
คนเหล่านั้นคาดไม่ถึงว่าหลินเมิ้งหยาจะลงมือทำร้ายคนโดยไม่คิดอธิบาย แม้พวกเขาจะเป็นชาย แต่ถึงกระนั้นฝีมือในการต่อสู้กลับเทียบป๋ายซูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“หากไม่กลัวตายก็เข้ามา!”
สีหน้าของป๋ายซูเย็นชาดุจน้ำแข็ง นางเข้ามาปกป้องหลินเมิ้งหยาจากทางด้านหลัง ฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีก
หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็น
ดูเถิด พวกเขาร้องบอกว่าต้องการทวงคืนความยุติธรรม แต่พอต้องเผชิญหน้ากับคนที่แข็งแกร่งกว่า สุดท้ายพวกเขาก็เลือกที่จะหดหัวอยู่ในกระดอง
หลินเมิ้งหยาคุกเข่าลงบริเวณศีรษะของศพ ความเป็นไปได้บางอย่างผุดวาบขึ้นมาในความทรงจำ
ในตำราการแพทย์เฉพาะทางของท่านอาจารย์เคยบันทึกการตายเช่นนี้เอาไว้ เมื่อก่อนเคยมีคนตาย จากนั้นจึงมีเลือดออกดั่งเช่นหลิวอี
เล่าขานสืบต่อกันมาว่าคนผู้นั้นคือหญิงหม้ายที่อาศัยอยู่เพียงลำพังมานาน อยู่มาวันหนึ่งนางตายจากไปอย่างกะทันหัน ตระกูลของนางต้องการร้องขอซุ้มประกาศเกียรติคุณซื่อสัตย์ภักดีจากราชสำนักให้แก่นางเพื่อประกาศถึงความมีคุณธรรมของหญิงหม้ายคนนั้น