ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 13 บทที่ 384 จู้จี้จุกจิก
หลังจากแลกเปลี่ยนความลับกับเถียนหนิงแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกขั้น
สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจก็คือไม่ว่าเป็นเรื่องของแว่นแคว้นหรือเรื่องเล็กน้อยภายในบ้าน เถียนหนิงล้วนมีแนวคิดของตนเอง
เพราะเหตุนี้สมัยที่เถียนหนิงและพี่ชายร่ำเรียนด้วยกัน ท่านอาจารย์จึงมักเอ่ยปากชมว่าเถียนหนิงเป็นคนมีพรสวรรค์
แต่หลังจากวันที่เถียนมามาถูกขับไล่ออกจากจวน เถียนหนิงเองก็ถูกตัดโอกาสในการเรียน เรื่องนี้ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
“ตอนนี้ราชสำนักกำลังระส่ำระส่ายเพราะการแย่งชิงอำนาจ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปความสงบสุขของต้าจิ้นคงถูกแทนที่ด้วยความวุ่นวาย เมื่อถึงเวลานั้น แคว้นใกล้เคียงที่กำลังจับจ้องไม่วางตาก็อาจอาศัยโอกาสนี้โจมตี แม้ท่านแม่ทัพหลินจะกล้าหาญชาญชัย แต่เพียงการปกป้องของสกุลหลินคงยังไม่พอ เกรงว่าอาณาจักรแห่งนี้จะล่มสลาย”
แววตาของเถียนหนิงเจือความกังวล
ไม่มีบุรุษคนใดในใต้หล้าทนนิ่งดูดายกับเรื่องนี้ได้
แต่เพราะฐานะของตนเอง ดังนั้นเถียนหนิงจึงทำได้เพียงมองจากภายนอก
ทุกอย่างล้วนตกอยู่ในสายตาของหลินเมิ้งหยา
“พี่เถียนหนิง ท่านมีความรักและภักดีต่อบ้านเมือง เหตุใดจึงไม่ลองสอบเป็นขุนนางเล่า?”
ลองถามหยั่งเชิง แต่กลับได้เห็นดวงตาซึ่งกำลังเก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้
นางเพิ่งจะนึกได้ว่าตอนที่เถียนมามาเข้ามาอยู่ในจวน นางทำสัญญาทำงานตลอดชีวิตเอาไว้ ดังนั้นเถียนหนิงจึงตกเป็นทาสในจวนสกุลหลินด้วย
ต้าจิ้นมีกฎระเบียบเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน ทาสในเรือนไม่อาจสมัครสอบรับราชการได้
ฉะนั้นภายในราชสำนึกจึงมีเพียงขุนนางเก่าและทายาทสืบสกุลของพวกเขาเท่านั้น
ก็เหมือนกับคนที่มีความสามารถอย่างป๋ายหลี่อู๋เฉิน เขาจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากขุนนางฝั่งหลงเทียนอวี้ก่อน แต่แม้จะหันไปพึ่งพิงไท่จื่อแล้ว เขากลับได้เป็นเพียงหัวหน้าทหารหลวงเท่านั้น
ส่วนใหญ่พวกบัณฑิตล้วนอยากเป็นขุนนางฝ่ายปกครอง ป๋ายหลี่อู๋เฉินและเถียนหนิงมีความคิดไม่แตกต่างกันนักในเรื่องนี้
“ท่านคิดว่าปัญหาอยู่ที่ฐานะของท่านใช่หรือไม่? เรื่องนี้มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ท่านอย่าลืมว่าข้าและพี่ชายหาใช่เด็กอ่อนแอเหมือนแต่ก่อน ข้าสามารถบอกให้พี่ชายนำสัญญาฉบับนั้นออกมาแล้วไปแจ้งทางการก็จบเรื่องแล้ว”
หลินเมิ้งหยาพูดออกมาโดยมิได้ใส่ใจนัก เหตุเพราะเรื่องเปลี่ยนสถานะนับเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับนาง
เถียนหนิงหันไปมองนางด้วยสายตาตกตะลึง เหตุเพราะทุกสามปีจะต้องแจ้งทางการเรื่องทาสซึ่งตกเป็นทรัพย์สินของจวน
หากอยากได้รับสถานะใหม่จึงมิใช่เพียงการนำสัญญาฉบับนั้นออกมาเท่านั้น
ก่อนการตรวจสอบทรัพย์สินจำเป็นต้องเขียนคำร้องแก่เจ้านาย ซึ่งต้องได้รับหนังสือคำร้องอันเป็นหลักฐานชัดเจน จากนั้นต้องกลับไปยังภูมิลำเนาเดิมเพื่อขอทะเบียนบ้าน จากนั้นจึงทำการขออนุมัติ
สุดท้ายเขาจึงจะได้รับฐานะที่สามารถสมัครสอบราชการได้
แต่ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้ พวกทาสส่วนใหญ่ไปทำเรื่องเพียงครึ่งๆ กลางๆ สุดท้ายก็ไม่ได้รับสถานะใหม่
“เรื่องนั้น….ช่างเถิด ยุ่งยากจนเกินไป นายท่านและนายน้อยคือผู้มีพระคุณของพวกข้าสองแม่ลูก พวกข้าเองก็ควรตอบแทนบุญคุณพวกเขาไปชั่วชีวิต เพียงเจ้ามีแก่ใจเช่นนี้ ข้าเองก็ดีใจมากแล้ว หากท่านแม่รู้เรื่องนี้ นางจะต้องคิดว่าข้าเป็นคนอกตัญญู ยิ่งไปกว่านั้นข้าเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น คงไม่มีสิทธิยื่นมือเข้าไปจัดการเรื่องในราชสำนักหรอก”
เถียนหนิงยิ้มเยาะหยันตัวเอง แต่น้ำเสียงของเขากลับมุ่งมั่น เขาไม่เหมือนพวกปากอย่างใจอย่างที่นางเคยพบเจอ
ลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าในสมัยโบราณแห่งนี้จะมีคนเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์แต่ถูกกีดกันเพราะฐานะอย่างเช่นพี่เถียนหนิงอยู่อีกกี่คน
หากสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมโบราณคร่ำครึนี้ไปได้ บางทีโลกนี้อาจเปลี่ยนไป!
“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจะไปเมืองหลินเทียน เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือไม่ เส้นทางคงไม่สะดวกราบรื่นเหมือนเมืองหลวง บางทีอาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดได้เสมอ”
เรื่องการไปเยือนเมืองหลินเทียนมีเพียงคนสนิทของนางเท่านั้นที่รู้
แม้เถียนหนิงจะเชื่อใจนาง แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดกังวลไม่ได้ เหตุเพราะระยะทางค่อนข้างไกลและอันตราย ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น
แต่ดูจากความไหวพริบของหลินเมิ้งหยาแล้ว คาดว่านางจะต้องเตรียมตัวพร้อมแล้วอย่างแน่นอน
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะติดตามไปกับพวกพ่อค้า ยิ่งไปกว่านั้นที่นั่นยังมีลูกน้องเก่าของท่านพ่ออยู่ เขาจะดูแลข้าเอง ฉะนั้นท่านอย่ากังวลไปเลย”
หลินเมิ้งหยาใช้ข้ออ้างนี้กับเถียนมามาด้วยเช่นเดียวกัน
ถึงอย่างไรสหายเก่าของท่านพ่อก็มีอยู่มากมาย ฉะนั้นจึงไม่มีใครสงสัยเรื่องนี้
แต่ที่จริงพวกพ่อค้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนของกลุ่มสามสหาย
แต่แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่รู้ว่าหญิงสาวซึ่งปะปนไปกับกลุ่มของพวกเขาคือเจ้าสำนักของตนเอง
จากคำบอกเล่าของรองเจ้าสำนักอย่างหยุนจู๋ นางเป็นเพียงแม่ค้านักเดินทางคนหนึ่งเท่านั้น แต่เพราะครอบครัวกังวลเรื่องความปลอดภัย ฉะนั้นนางจึงยอมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อให้พวกเขาคุ้มครองดูแล
หากดูจากประสบการณ์การทำงานของหยุนจู๋ นางจะต้องคัดเลือกคนเฉลียวฉลาดมีไหวพริบมาอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นหยุนจู๋ยังออกคำสั่งว่าไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับนางมากนัก ขอเพียงดูแลความปลอดภัยของนางให้ดีก็เพียงพอแล้ว
ตอนนี้กลุ่มสามสหายมีชื่อเสียงเลื่องลือ แม้แต่คุณชายของกลุ่มสามสหายทั้งสามเองก็กลายเป็นที่รู้จัก หยุนจู๋เล่าว่าทุกเดือนนางจะคอยปรับปรุงกลุ่มสามสหายอยู่เสมอ
หากกลุ่มสามสหายยังคงเติบโตเช่นนี้เรื่อยๆ คาดว่าอีกไม่นานกลุ่มสามสหายจะต้องกลายเป็นผู้กุมข้อมูลลับในอาณาจักรนี้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่านางจะต้องเผชิญอุปสรรคอีกมากมาย แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้กลุ่มสามสหายเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าเองก็วางใจ เพราะเหตุนี้เพียงแค่เอ่ยโน้มน้าวท่านแม่ประโยคเดียว นางจึงตอบตกลงเห็นด้วย เจ้าจะไปเมื่อไหร่เล่า? ท่านอ๋องใส่พระทัยเจ้ายิ่งนัก เกรงว่าเจ้าจะออกไปไม่ได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน”
แม้แต่คนซื่อตรงอย่างเถียนหนิงยังเอ่ยเย้านาง
หลินเมิ้งหยาเกือบจะขบกรามจนแหลกละเอียดไปแล้ว ฮึ ก็แค่พวกทหารร่างกายกำยำไม่กี่คนเท่านั้น คิดหรือว่าจะหยุดยั้งนางได้
“ข้าวางแผนรับมือเอาไว้แล้ว หลายวันที่ผ่านมานี้ข้าเพียงทำให้พวกเขาชะล่าใจเท่านั้น อีกสองหรือสามวันข้าจะออกเดินทาง การเดินทางไปกลับคราวนี้อาจต้องใช้เวลานานราวเดือนกว่า ข้าจะรีบกลับก่อนที่หลงเทียนอวี้จะกลับมาถึง หลังข้าไปแล้ว ข้าขอฝากพวกมามากับท่านด้วย”
เสียงป๋ายจื่อที่ร้องเรียกชื่อนางพลันดังขึ้นจากในเรือน
หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นปัดฝุ่นเบาๆ ใบหน้าไร้ซึ่งความเศร้าโศก มุมปากหยักยิ้มเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า
“ได้ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะปกป้องคนในตำหนักนี้ด้วยชีวิต”
หลินเมิ้งหยาอดที่จะรู้สึกขบขันกับท่าทางจริงจังเช่นนี้ของเขาไม่ได้
มือเล็กเอื้อมไปตบหลังเถียนหนิงเบาๆ ก่อนจะเลียนเสียงเป็นหญิงชรา
“หนุ่มน้อยเอ๋ย อย่าทำอะไรเถรตรงนักเลย อุตส่าห์ได้ดูแลหญิงงามดุจมวลบุปผา ฤดูวสันต์ของเจ้ามาถึงแล้ว!”
กะพริบเปลือกตาปริบๆ หลินเมิ้งหยากระโดดโลดเต้นกลับเข้าไปในเรือนท่าทางราวกระต่ายอย่างไรอย่างนั้น
ปล่อยเถียนหนิงยืนนิ่งเหมือนคนโง่
เมื่อครู่หลินเมิ้งหยาหมายความว่าอย่างไร?
ภายในเรือน สาวใช้ทั้งสองและเถียนมามากำลังสอนงานอันเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของหลินเมิ้งหยาแก่ป๋ายซ่าว มองสีหน้าขมขื่นของป๋ายซ่าว นางอดที่จะรู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่ได้
โชคดีที่มีป๋ายซ่าวรับภาระนี้แทน มิเช่นนั้นนางจะต้องถูกพวกนางทั้งสามคนบ่นจนอกแตกตายอย่างแน่นอน
“นี่คือยาบำรุงร่างกายของนายหญิง เจ้าจงเก็บมันไว้กับตัว จำเอาไว้ว่าห้ามเอาออกห่างจากตัวเป็นอันขาด ส่วนเสื้อผ้าของนายหญิงจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีใครเคยหยิบจับมาก่อนหรือไม่”
ป๋ายจีส่งเสียงกำชับ เมื่อก่อนพวกนางเคยพบเจอเหตุการณ์เลวร้ายจากสิ่งเหล่านี้หลายครั้ง
หากมิใช่เพราะสติปัญญาไหวพริบของนายหญิง บางทีพวกนางอาจตกหลุมพรางของคนเหล่านั้นไปแล้ว
แม้คนที่อาจพบเจอจากการเดินทางในคราวนี้จะไม่โหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนคนเหล่านั้น แต่จิตใจคนเรายากแท้หยั่งถึง ดังนั้นจึงไม่อาจรู้ได้ว่าพวกนางจะพบเจอคนเช่นไร
“ได้ ได้ ได้ ข้าเข้าใจแล้ว วางใจเถิด แม้แต่ก่อนเจ้าจะเป็นคนดูแลเรื่องนี้ แต่ใช่ว่าข้าไม่เคยเห็นว่าต้องทำเช่นไร ข้าสาบานว่าจะพานายหญิงกลับมาอย่างปลอดภัย”
ป๋ายซ่าวยกแขนทั้งสองขึ้นเพื่อสาบาน นางหาได้ลำเอียงจึงเลือกป๋ายซ่าวไปด้วย แต่เพราะป๋ายจีและป๋ายจื่อทำงานในจวนเป็นส่วนใหญ่ แม้พวกนางจะเป็นคนละเอียดรอบคอบ แต่นางควรเลือกคนที่เคยคลุกคลีกับสภาพแวดล้อมภายนอกไปด้วยมากกว่า
หากมีป๋ายซ่าวอยู่ข้างกาย นางอาจจะช่วยเตือนหลินเมิ้งหยาได้ทุกเมื่อ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะตกเป้าของทุกคนเช่นนี้
เฮ้อ ยุ่งยากจริงๆ เลย
ป๋ายซ่าวส่งสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือจากนายหญิง แต่ใครจะรู้เล่าว่านายหญิงจะมองนางที่กำลังทุกข์ระทมด้วยท่าทางขำขัน
ส่งเสียงร้องขมขื่นในใจ ใครบอกให้นางมีเจ้านายใจร้ายเช่นนี้กันเล่า
“เอาล่ะ พวกเจ้าเลิกสร้างความลำบากใจให้ป๋ายซ่าวได้แล้ว นางรู้เรื่องนี้ดี แม้พวกเราจะออกไปด้านนอก แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถทำสิ่งที่ต้องการได้ เถียนมามา ข้าขอมอบตำหนักแห่งนี้และสาวใช้ทั้งสองให้ท่านเป็นผู้ดูแล หากมีคนมาสร้างความลำบากใจให้แก่พวกท่าน พวกท่านพยายามอดทนอดกลั้น หากข้ากลับมาเมื่อไหร่ ข้าจะคิดบัญชีทีเดียว”
หลินเมิ้งหยาหมายถึงเจ้านายแห่งตำหนักหยาเสวียนคนนั้น
หากนางและหลงเทียนอวี้ไม่อยู่จวน คาดว่าคนคนนั้นคงไม่ยอมอยู่เฉยอย่างแน่นอน
เหตุเพราะนางกำลังถูกจับตามอง สาวใช้ทั้งสองจึงไม่อยากสร้างความวุ่นวายให้แก่นาง ฉะนั้นพวกนางจึงไม่ยอมไปอยู่กับพวกท่านลุงท่านป้าป๋าย
แต่หากเรื่องการหายตัวไปของนางถูกเปิดเผย พ่อบ้านเติ้งจะต้องหาคนมาคุ้มกันตำหนักนี้อย่างแน่นอน