ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 427 ค่ำคืนในทิวเขา
ท่าทางผ่อนคลายเมื่อครู่ของชิวอวี้แปรเปลี่ยนเป็นความกังวล
ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งอันตราย หากเป็นเวลาปกติพวกเขายังพอมีความมั่นใจว่าแม้หนทางจะลำบาก แต่ขอเพียงระมัดระวังให้ดีก็เพียงพอ
แต่ตอนนี้มีคนจับจ้องพวกเขาอยู่ ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ต้องการให้หลินเมิ้งหยาหายากลับไปได้สำเร็จแล้วล่ะก็ เช่นนั้นสงครามอันเลวร้ายจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นอีกเดี๋ยวข้าจะไปบอกกับท่านกัวว่าพวกเราจะขอล่วงหน้าไปก่อน ข้าไม่อยากทำให้คนในขบวนพ่อค้าต้องเสี่ยงอันตรายไปด้วย หากเป้าหมายของพวกเขาคือข้า ขอเพียงข้าออกจากขบวนพ่อค้าไป เท่านี้พวกเขาก็จะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายที่นี่แล้ว”
ยามพลบค่ำบนทิวต้นซิ่งสามารถเห็นเส้นทางหฤโหดได้อย่างชัดเจน เส้นทางนี้คับแคบเสียจนรถม้าสามารถแล่นผ่านได้เพียงทีละคัน
เบื้องล่างคือหน้าผาสูงชัน แต่สิ่งที่อันตรายที่สุดคือสายลมที่มักจะพัดกระทบเข้ามาที่ริมผาอย่างไม่ทันตั้งตัว
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ม้ายังเดินตุปัดตุเป๋
เพราะเหตุนี้จึงไม่มีใครเลือกมาเส้นทางนี้มากนัก
ม้าเหล่านั้นโชคดีที่มีห้องโดยสารและโซ่ล่ามถ่วงน้ำหนักเอาไว้ ดังนั้นจึงผ่านไปได้อย่างปลอดภัย แต่พวกเขาที่ขี่ม้าคนละตัวย่อมเสี่ยงอยู่บ้าง
“อืม ข้าจะไปบอกเขาเอง ข้าคิดว่าเขาต้องเข้าใจ”
ชิวอวี้พยักหน้าลง เหตุเพราะคนในขบวนพ่อค้าล้วนเป็นเพียงคนธรรมดา ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่อยากดึงคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
มองตามหลังชิวอวี้ หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเบาๆ
“กังวลหรือ? ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
หลงเทียนอวี้เอ่ยเสียงอ่อนโยนทว่าแน่วแน่ มือหนายื่นเข้าไปกุมมือเล็กของหลินเมิ้งหยา ความรู้สึกที่ส่งมาทำให้หลินเมิ้งหยารับรู้ได้ถึงความปลอดภัย
พยักหน้าลง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงเชื่อเสมอว่าเมื่อหลงเทียนอวี้ลั่นวาจาแล้ว เขาย่อมสามารถทำได้
ชิวอวี้กลับมาอย่างรวดเร็วหลังจากปรึกษากับท่านกัวเรียบร้อยแล้ว
ท่านกัวเป็นคนฉลาดเฉลียว ดังนั้นเขาย่อมรู้ว่าพวกเขามีฐานะไม่ธรรมดา ฉะนั้นปัญหาที่ตามมาย่อมไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน
“ท่านกัวอนุญาตแล้ว แต่เขาบอกว่าช่วงกลางคืนลมค่อนข้างแรง ฉะนั้นเขาจะพาคนในขบวนพ่อค้าไปค้างแรมที่ทิวป่าต้นซิ่ง จากนั้นพวกเราค่อยออกเดินทางวันรุ่งขึ้น”
นี่เป็นการประนีประนอมให้มากที่สุดสำหรับท่านกัวแล้ว
หลินเมิ้งหยาหันไปหาเขาพร้อมทั้งพยักหน้าน้อยๆ เพื่อเป็นการขอบคุณ
ไม่นานขบวนการค้าก็เดินทางมาถึงป่าต้นซิ่งที่ชิวอวี้เล่า ยังไม่ทันเดินทางเข้าไปใกล้ กลิ่นหอมเย็นพลันโชยเข้ามาเตะจมูก
เมื่อเทียบกับกลิ่นหอมเย็นของดอกเหมยแล้ว กลิ่นหอมสะอาดของต้นซิ่งทำให้คุณหนูสกุลหลินรู้สึกน่ารักและเป็นมิตร
เกรงว่าแม้แต่จิตรกรขึ้นชื่อในเมืองหลวงก็ยังมิอาจแต่งแต้มเติมสีสันลงบนผืนภาพให้ออกมางดงามดั่งทัศนียภาพแห่งนี้
กลีบดอกสีขาวอมชมพูบานสะพรั่งละลานตาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คงไม่มีใครคิดถึงว่ากว่าจะได้เห็นภาพความสวยงามของต้นซิ่งนี้จะต้องผ่านหน้าผาที่อันตรายถึงชีวิต
“ทุกคนค้างแรมที่ป่าต้นซิ่งเพื่อพักผ่อน”
เหวินสือร้องประกาศ ทุกคนจึงส่งเสียงรับคำ
อาศัยจังหวะที่ท้องฟ้ายังไม่มืดดีเดินทางรุดหน้าขึ้นไปยังป่าต้นซิ่งเพื่อหาฟืนมาก่อกองไฟ
หลินเมิ้งหยาขี่ม้าตามหลงเทียนอวี้ไปสำรวจพื้นที่ด้านหน้า
เส้นทางมิได้ลำบากเหมือนตอนแรก แต่เมื่อชะโงกหน้าลงมองหุบเหวสูงชันสุดลูกหูลูกตา หลินเมิ้งหยาอดที่จะกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
“เพราะเหตุนี้แม้พลังอำนาจของเมืองหลินเทียนจะสู้เมืองอื่นไม่ได้ แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็มิเคยถูกบุกเลยอย่างนั้นสินะ”
เมื่อได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงถอนหายใจให้กับการรังสรรค์ของพระเจ้า
“แน่นอนอยู่แล้ว เมืองหลินเทียนล้อมรอบไปด้วยน้ำทั้งสามด้าน มีเพียงด้านเดียวที่ติดกับแผ่นดินใหญ่ แต่ถึงกระนั้นหุบเขาแห่งนี้ก็เป็นทางเข้าออกทางหนึ่ง”
แม้จะพยายามกดเสียงต่ำ แต่ถึงกระนั้นชิวอวี้ก็ยังอดที่จะรู้สึกภูมิใจไม่ได้
หลินเมิ้งหยาคร้านจะเค้นถามเขา เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว หากนางยังเดาไม่ออกว่าชิวอวี้เป็นคนเมืองหลินเทียนแล้วล่ะก็ คาดว่าสมองของนางคงมีแต่ขี้เลื่อย
ทว่าไม่ว่าจะเป็นคนเมืองหลินเทียนหรือต้าจิ้น ขอเพียงเป็นมิตรสหายที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาอันใดแล้ว
“แม้จะมีการป้องกันแน่นหนายากต่อการโจมตี แต่ถ้าหากเส้นทางถูกบุกฝ่าเข้าไป เช่นนั้นเมืองหลินเทียนก็ไร้ทางหนีมิใช่หรือ?”
หลงเทียนอวี้มิอาจทนดูท่าทางภูมิใจของชิวอวี้อีกต่อไปได้ หากตอนนี้อยู่ในเมืองหลวง ป่านนี้เขาคงสั่งคุมตัวหมอหลวงคนนี้ไปนั่งแท่นสอบสวนแล้ว
ทว่าชิวอวี้กลับไร้ซึ่งโทสะ เขาส่ายหน้าน้อยๆ
“เจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดเมืองนี้จึงยังไม่สูญเสียแผ่นดินไปเล่า? นั่นก็เพราะเมืองหลินเทียนมีชายแดนติดกับมหาสมุทรทั้งสามด้าน แต่ละครัวเรือนล้วนมีเรือเป็นของตนเอง หากเส้นทางทั้งสองด้านถูกบุกฝ่าเข้ามาจริง เช่นนั้นคนเมืองหลินเทียนคงหนีรอดปลอดภัยไปนานแล้ว ต่อให้พวกเจ้าแข็งแกร่ง แต่ก็คงไม่มีความสามารถที่จะต่อเรือไล่ตามได้ทันท่วงทีหรอกกระมัง”
คำพูดของชิวอวี้ทำให้หลงเทียนอวี้ชะงัก ทั้งสองยังคงจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
เริ่มต้นจากสงครามแย่งดินแดนไปสู่ข้อพิพาททางเศรษฐกิจและชีวิตราษฎร
หลินเมิ้งหยามองทั้งสองด้วยท่าทางเอือมระอา นางส่ายหน้าน้อยๆ
โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้วแท้ๆ เหตุใดจึงยังทะเลาะกันเหมือนเด็ก
หรี่ตาลงจ้องมองหุบเหวเบื้องล่าง
แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่นางเดินทางมายังเมืองหลินเทียน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกคิดถึงทิวทัศน์เช่นนี้ขึ้นมา
หยิบตราประทับลายดอกเหมยออกมาจับ หากนางเดาไม่ผิดแล้วล่ะก็ ของชิ้นนี้ต้องเกี่ยวข้องกับชาติตระกูลของท่านแม่อย่างแน่นอน
ชิวอวี้เคยเล่าว่าสกุลของชนชั้นสูงในเมืองหลินเทียนล้วนใช้ตราสัญลักษณ์ดอกเหมย
หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นเท่ากับว่าที่นี่คือบ้านเกิดเมืองนอนของท่านแม่
ฉะนั้นร่างกายของนางจึงมีสายเลือดของเมืองหลินเทียนอยู่ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นแม้จะเป็นการมาเยือนครั้งแรก แต่นางกลับไม่รู้สึกแปลกที่แปลกทาง กลับกันนางรู้สึกตื่นเต้นเป็นส่วนใหญ่
ราวกับความกังวลในหัวใจมลายหายไปชั่วคราว
ไม่รู้ว่าการเดินทางมายังเมืองหลินเทียนในคราวนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอันใดให้กับชีวิตของนาง
เพราะเหตุนี้หัวใจของนางจึงมีความหวังเล็กๆ เกิดขึ้น
“ไปกันเถิด ลมมาแล้ว เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”
การฟาดฟันกันจบลง หลงเทียนอวี้พยายามปกปิดความภาคภูมิใจในแววตา
ปล่อยให้หลงเทียนอวี้กุมสายบังเหียนอย่างอิสระ ทิ้งชิวอวี้ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับสายลมกระโชกบ่นอุบอิบอยู่ทางด้านหลัง
ใบหน้าหล่อเหลาฉายชัดให้เห็นว่า “ข้าไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย”
“พวกเจ้านี่จริงๆ เลย โตขนาดนี้แล้วแท้ๆ เลิกโวยวายเป็นเด็กได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยามิอาจทนมองได้อีกต่อไป เมื่อก่อนตอนอยู่ในเมืองหลวงพวกเขายังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่เลย เหตุใดทันทีที่ออกจากเมืองมาสติปัญญาจึงลดลงเหลือเท่าเด็กน้อยแล้วเล่า
“เขาเป็นฝ่ายยั่วยุข้าก่อน แม้ตัวข้าจะสามารถอดทนอย่างใจกว้างได้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบ้านเมือง ข้าที่เป็นองค์ชายสามแห่งต้าจิ้น อ๋องอวี้ผู้นี้มิอาจยอมอ่อนข้อให้แก่ใครหน้าไหนได้!”
ใบหน้าหลงเทียนอวี้เคร่งขรึม ท่าทางน่าเกรงขาม
ชิ! หลินเมิ้งหยาแอบถ่มน้ำลายในใจ
ทั้งที่เป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น เหตุใดต้องชักเหตุผลทางสายเลือดของราชวงศ์มาแอบอ้าง
คนในขบวนพ่อค้ามีมากมาย ดังนั้นความสามารถจึงมากตาม ไม่นานกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายสอก็ฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งป่าต้นซิ่ง
ผู้คนนั่งล้อมกองไฟ ทิวทัศน์งดงามตระการตา หลินเมิ้งหยาซึมซับความงดงามตรงหน้า
ลงจากหลังม้าเพื่อหากลีบดอกไม้มากองรวมกัน กลิ่นดอกซิ่งอาบชโลมตัวจนหอมฟุ้ง ท่าทางเหมือนเด็กของนางทำให้คนทั้งขบวนการค้ายิ้มเอ็นดู
“น้องเสี่ยวหยวน เจ้าออกเรือนแล้วแท้ๆ เหตุใดจึงมีท่าทางเหมือนเด็กเช่นนี้เล่า?”
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาทุกคนต่างรู้ดีว่าชายหนุ่มคนนี้มีฝีมือโหดเหี้ยม แต่เขามักปฏิบัติต่อคนของตนอย่างเป็นมิตร อีกทั้งอายุยังน้อย ดังนั้นพวกพ่อค้าจึงชอบหยอกล้อเขาเป็นประจำ
เขาไม่เคยโมโห ซ้ำยังแย้มยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
หลินเมิ้งหยาที่กำลังเล่นกับดอกซิ่งหยักยิ้มซุกซน จากนั้นนางจึงเข้าไปแย่งไหเหล้าจากชายคนนั้น
“เป็นอะไรไป? โมโหเลยอยากเทเหล้าข้าหรือ? อย่าทำเช่นนั้นเลย ข้าเหลือเหล้าเพียงเท่านี้แล้ว ไอหยา ไอหยา ไอหยา นี่เจ้าทำอะไรกันแน่?”
ชายคนนั้นวิ่งไล่ตามหลินเมิ้งหยา แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเอื้อมมือเข้าไปหยิบดอกซิ่งมาหนึ่งกำมือแล้วโปรยลงไปในไห
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังร้อนใจ นางจึงเขย่าไหเหล้าเล็กน้อย จากนั้นก็ฉีกยิ้มตาหยีพลางยื่นไหเหล้าไปชิดริมฝีปากของเขา
“ชิมดู”
ชายคนนั้นไม่เกรงใจ มือยกไหเหล้าขึ้นจิบ
คิดไม่ถึงเลยว่าเหล้าขมฝาดบาดคอจะถูกกลบด้วยกลิ่นหอมหวานของดอกซิ่ง
รสชาติล้ำเลิศยิ่งนัก กลิ่นของดอกซิ่งเข้ากันได้ดีกับเหล้าไหนี้
“อืม ไม่เลว! น้องหยวน ขอบใจเจ้ามาก”
ชายคนนั้นวิ่งไปหาผู้อื่นด้วยความพึงพอใจ ทิ้งหลินเมิ้งหยาที่ยังคงเก็บดอกซิ่งไม่หยุดเอาไว้ทางด้านหลัง
“เจ้าเก็บพวกมันไปทำไม?”
หลงเทียนอวี้ไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไร กลับกันเขาถูกหลินเมิ้งหยาดึงตัวไว้ ก่อนที่นางจะวางกลีบดอกซิ่งลงบนชายผ้าของชุดเขา
เมื่อเห็นว่าใส่เกือบจะไม่หมดแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงพาหลงเทียนอวี้มายังกองฟืนทำอาหาร
ลงมือล้างข้าวใส่หม้อด้วยตนเอง จากนั้นนำกลีบดอกซิ่งที่ล้างสะอาดดีแล้วใส่ลงไป
“น้องเสี่ยวหยวน พวกเราแบกข้าวขึ้นมาอย่างยากลำบาก เจ้าทำเช่นนี้จะมิเป็นการเสียของหรือ?”
เหวินสือไม่เข้าใจความคิดของหลินเมิ้งหยา ดังนั้นเขาจึงรีบเข้ามาร้องห้าม หัวคิ้วขมวดมุ่น
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับใช้ช้อนคนโจ๊กในหม้อพลางเอ่ยอธิบาย
“ดอกซิ่งเป็นยาสมุนไพรอย่างหนึ่ง มีสรรพคุณในการบำรุงลมปราณ ยิ่งไปกว่านั้นยังบำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย ข้าทำเตรียมเอาไว้ให้พวกสาวๆ ผู้ชายตัวโตเช่นพวกเจ้าไปทางด้านนู้นไป”
นอกจากชิวอวี้แล้ว ทุกคนล้วนไม่รู้ว่าดอกซิ่งไร้ประโยชน์เช่นนี้จะเป็นยาสมุนไพร
ฉะนั้นพวกเขาจึงทำเพียงยืนมองอยู่ข้างๆ
เมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า อาหารของทุกคนถูกตักออกจากหม้อเรียบร้อยแล้ว
ทุกคนนั่งลงประจำที่ เหตุเพราะล่วงรู้สรรพคุณของดอกซิ่ง ดังนั้นไม่ว่าข้าวหรือกับข้าวล้วนเต็มไปด้วยดอกซิ่ง
แม้ว่าผู้ชายในขบวนการค้าจะเป็นพวกหยาบกระด้าง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังอดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
หลินเมิ้งหยานั่งพิงหลังอยู่ที่มุมหนึ่ง แน่นอนว่าตำแหน่งนั้นสามารถนั่งกินโจ๊กดอกซิ่งของนางได้โดยมิถูกรบกวน