ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 428 จงใจจับผิด
“เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่กินเล่า?”
หลังจากยุ่งวุ่นวายมาตลอดทั้งวัน สุดท้ายหลินเมิ้งหยาจึงได้นั่งลง เบือนหน้ามองคนเหล่านั้นก่อนจะเอ่ยถาม
“คือว่า…รอเจ้ามากินด้วยกันอย่างไรเล่า ญาติผู้น้อง เจ้าลองชิมดูก่อนดีหรือไม่? เจ้าเหนื่อยที่สุดนี่นา”
ชิวอวี้ยิ้มจนตาหยี แต่ยังคงไม่กล้ากินโจ๊กในถ้วย
นอกจากดอกท้อแล้ว พวกเขาเห็นหลินเมิ้งหยาใส่วัตถุดิบสีดำบางอย่างขณะทำอาหารอีกด้วย ฉะนั้นจึงยังไม่มีใครกล้าลิ้มลองรสชาติของโจ๊กหม้อนี้
“พวกเจ้าจะเข้าใจอะไรกันเล่า! เสียของจริงๆ ฮูหยินเอาช้อนมาให้ข้าหน่อย ข้าจะชิมให้ดู”
อันที่จริงหลินเมิ้งหยากลัวว่าดอกท้อจะส่งรสชาติขมฝาดออกมา ดังนั้นนางจึงนำผลไม้แช่อิ่มที่ป๋ายซ่าวนำติดมาให้นางใส่ลงไปในโจ๊กด้วย
เมื่อน้ำหวานจากผลไม้แช่อิ่มผนวกเข้ากับน้ำตาล รสชาติของโจ๊กจึงหอมหวานชวนน้ำลายสอ
ป๋ายซ่าวเหลือบมองนายหญิงของตนเองด้วยความกังวล เหตุเพราะกลัวจะเกิดสิ่งผิดปกติหลังจากนางกินเข้าไปแล้ว
ฝาหม้อถูกเปิดออก ดอกซิ่งสีขาวแกมชมพูและโจ๊กข้าวสีขาวผสมผสานเข้าด้วยกัน
น่าเสียดาย ผลไม้แช่อิ่มสีดำด่างทำให้โจ๊กหม้อนี้ดูน่ากลัวยิ่งนัก
หลินเมิ้งหยาตักโจ๊กเข้าปาก
“เป็นอย่างไร? ข้ายังไม่ตาย มันสามารถกินได้ เรื่องมากจริงเชียว”
ถลึงตาใส่พวกเขาทีละคน หลินเมิ้งหยาดื่มด่ำรสชาติหวานอมเปรี้ยวของโจ๊กดอกซิ่งต่อ
“กิน ทุกคนกินกันเถิด”
เมื่อมั่นใจแล้วว่าโจ๊กหม้อนั้นสามารถกินได้ ชิวอวี้จึงร้องประกาศให้ทุกคนกินด้วยกัน
แม้รูปลักษณ์ของอาหารที่หลินเมิ้งหยาทำจะดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่หลงเทียนอวี้กลับไม่คิดอะไรมากมาย เขายื่นชามข้าวของตนเองให้กับนาง
“เด็กดี พี่ใหญ่ของข้าสายตาแหลมคมที่สุดแล้ว”
หลินเมิ้งหยายิ้มตาหยี ขณะที่คิดจะยื่นถ้วยโจ๊กส่งให้เขา แขนข้างหนึ่งพลันยื่นเข้ามาขวางเสียก่อน
“ไอหยา!”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นดึงดูดสายตาของทุกคน
โจ๊กอุ่นราดรดลงบนท่อนแขนเรียวยาวข้างหนึ่ง แม้ส่วนใหญ่จะหกลงพื้นก็ตาม
หลินเมิ้งหยามองโจ๊กถ้วยนั้นอย่างนึกเสียดาย นางอุตส่าห์เลือกผลไม้แช่อิ่มผลใหญ่ที่สุดให้กับหลงเทียนอวี้ ตอนนี้มันไร้ประโยชน์เสียแล้ว
“ขออภัย ขออภัยจริงๆ เจ้าค่ะ ข้า…ข้าไม่ทันมอง….”
เสียงตื่นตระหนกเสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง เบือนหน้ามองท่าทางหวั่นคร้ามของซู่เหมย หลินเมิ้งหยารู้สึกราวกับว่าตนเองทำเรื่องผิดพลาดเป็นอย่างยิ่งต่อนาง
“ไม่เป็นไร เจ้าไม่ถูกลวกใช่หรือไม่?”
ซู่เหมยส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าดวงตาเปล่งประกายราวหยดน้ำคู่นั้นกลับมีน้ำตาเอ่อคลอ
หงอวี้สงสารน้องสาวของตนเองมาก นางจึงรีบจับแขนน้องสาวตนเองแล้วเช็ดให้อย่างระมัดระวัง ซู่เหมยทำได้เพียงอดทนอดกลั้นเมื่อเห็นหงอวี้ถามไถ่ตนเองด้วยความเป็นห่วง
หลินเมิ้งหยาทนดูต่อไปไม่ไหว นางจึงสั่งป๋ายซ่าวให้เข้าไปหยิบยาแก้น้ำร้อนลวกมา
“นางเดินทะเล่อทะล่าเองแท้ๆ อีกอย่างโจ๊กถ้วยนั้นก็หาได้ร้อนจัดไม่ เรื่องมากจริง”
นับตั้งแต่ตอนที่ขึ้นรถม้า อาซิ่วมักรู้สึกว่าซู่เหมยช่างขัดหูขัดตาเหลือเกิน
คนอื่นกำลังยุ่งอยู่กับการกินข้าวจึงมองไม่เห็น แต่นางเห็นอย่างชัดเจน
เรื่องนี้หาใช่อุบัติเหตุ เห็นได้ชัดว่าซู่เหมยตั้งใจพุ่งตัวเข้าไปชนถ้วยข้าวในมือหลินเมิ้งหยา
ไม่รู้ว่านางต้องการจะทำอะไรกันแน่จึงทำเช่นนี้กับพี่หยวน ความไม่พึงพอใจต่อนางจึงทวีคูณมากขึ้น
“เจ้าจะพอได้หรือยัง? อาซิ่ว ข้าไม่รู้ว่าน้องสาวของข้าทำสิ่งใดให้เจ้าขุ่นเคือง นับตั้งแต่ตอนที่ขึ้นรถม้าเจ้าก็มักพูดจาส่อเสียดไร้มารยาทกับนางเสมอ ตอนนี้น้องสาวของข้าถูกโจ๊กร้อนลวกแขน เหตุใดเจ้าต้องทำให้นางเจ็บช้ำน้ำใจมากขึ้นด้วยเล่า หากนางทำให้เจ้าไม่พอใจ ข้าขอโทษเจ้าแทนนางด้วย แต่จากนี้ไปหวังว่าเจ้าจะเกรงใจน้องสาวข้าบ้าง”
ในที่สุดหงอวี้ก็มิอาจทนได้อีกต่อไป นางเอ่ยกับอาซิ่วอย่างไม่ไว้หน้า
ในสายตาของนาง ซู่เหมยเป็นเด็กสาวขี้กลัวและว่านอนสอนง่าย แม้จะไม่ยอมรับตนเอง แต่นั่นก็เพราะเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา แต่อาซิ่วคนนี้มักแสดงสีหน้าท่าทางเย็นชาใส่ซู่เหมยอยู่หลายหน ที่แต่ก่อนนางมิปริปากก็เพราะไม่อยากสร้างปัญหา ทว่าตอนนี้อาซิ่วทำเกินไปแล้ว
“นี่ถือว่าข้าเกรงใจแล้วต่างหาก หงอวี้ แม้ตาของเจ้าจะบอด แต่ข้ามิเป็นเช่นนั้น”
อาซิ่วไม่คิดอ่อนข้อ นางมิอาจทนเห็นท่าทางเสแสร้งแกล้งทำเป็นน่าสงสารของซู่เหมยได้
ทั้งสองตั้งท่าเหมือนกำลังจะเริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง สุดท้ายหลินเมิ้งหยาจึงดึงตัวอาซิ่วไปอีกทาง ดังนั้นทุกคนจึงสามารถฝืนกินข้าวมื้อนี้ต่อไปได้
“เจ้านี่หนา เหตุใดจึงขุ่นเคืองซู่เหมยถึงเพียงนั้นเล่า? ข้าเห็นนางเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง เหตุใดจึงทำให้เจ้าไม่พอใจได้เล่า?”
หลินเมิ้งหยาเคาะหน้าผากอาซิ่วเบาๆ ขณะส่งเสียงตำหนิ
มิแปลกใจหงอวี้จะมีโทสะ นับตั้งแต่ตอนที่นั่งบนรถม้าออกจากตำบลซื่อฟาง นางมักได้ยินวาจาส่อเสียดของอาซิ่วเสมอ
อาซิ่วจ้องซู่เหมยด้วยสายตาเย็นชาอีกหน ก่อนจะกระซิบเสียงเบา
“ท่านคิดว่านางเป็นคนดีหรือ ครั้นตอนที่ถูกจับตัวเอาไว้ด้วยกัน อันที่จริงข้ามีโอกาสหนีรอดออกมาได้ แต่กลับถูกนางฟ้องผู้คุม ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ข้าเพิ่งถูกจับตัวไป ข้ามียาพิษติดตัวมากมาย ตอนแรกข้าคิดว่านางเป็นคนดี ดังนั้นจึงแอบบอกนาง แต่ใครจะรู้เล่าว่านางจะนำไปบอกคนพวกนั้น ฉะนั้นข้าจึงหมดหนทางหนี”
หลังจากล่วงรู้สาเหตุแล้ว หลินเมิ้งหยารู้สึกคาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่าเด็กสาวท่าทางน่าสงสารเช่นซู่เหมยจะเป็นคนแบบนี้ แต่บางทีอาจเพราะถูกจับกุมตัว ดังนั้นจึงยอมจำนน
“ยังมีอีกเจ้าค่ะ นางมักพูดว่าตัวเองเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์และกลัวว่าพี่สาวจะสร้างความลำบากให้กับนาง ตอนแรกนางต่างหากที่เป็นฝ่ายตามหาพี่สาว! ตอนแรกพวกเราถูกส่งไปที่หอนางโลมของพี่สาวนาง คิดไม่ถึงเลยว่าคืนที่ถูกส่งตัวออกขายนางจะหาพี่สาวของตัวเองเจอ จากนั้นนางบีบน้ำตาเพื่อขอร้องให้พี่สาวช่วยเหลือนางออกไป แต่พอมาตอนนี้กลับบอกว่าไม่รู้จักพี่สาวของตัวเอง ฮึ พวกมนุษย์สองหน้ากระบี่สามคม!”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
หลินเมิ้งหยาหันไปมองท่านอ๋องของนาง
หากเป็นไปตามที่อาซิ่วเล่า นั่นแสดงว่าซู่เหมยพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะหนีออกมาจากตำบลซื่อฟาง แต่เพราะเหตุใดนางจึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มากับพวกนางด้วยเล่า?
“เจ้าคิดว่าซู่เหมยยังมีวัตถุประสงค์อื่นอีกหรือไม่?”
อันที่จริงหลินเมิ้งหยาเองก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับตัวตนของซู่เหมยเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะคิดเช่นไรนางก็คิดไม่ออกว่าซู่เหมยมีเป้าหมายอะไร
“ข้าคิดว่านางคงถูกใจพี่ต้าหยวนเข้าให้แล้ว ท่านมองไม่เห็นหรือ? เมื่อครู่ยังโอดโอยเจ็บแขนอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้กับเขาแล้ว”
อาซิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมโทสะ ครั้นเมื่อตอนนางถูกจับตัว ซู่เหมยผู้นี้ทำให้นางต้องตกที่นั่งลำบาก
ซ้ำตอนนี้นางยังแสร้งทำท่าทางใสซื่อไร้เดียงสา เมื่อดูจากอารมณ์ของอาซิ่ว เห็นได้ชัดว่านางไม่พอใจเป็นอย่างมาก
หลังจากชำเลืองมองซู่เหมยอีกหน หลินเมิ้งหยาตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า
“ข้าว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น”
เรื่องในหุยชุนฟางทำให้นางนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ทุกสิ่งไม่อาจตัดสินได้เพียงการมองมุมเดียว โดยเฉพาะในสถานการณ์ชวนน่าสงสัยเช่นนี้
ซู่เหมยหาใช่คนธรรมดาเหมือนอย่างที่แสดงออกมา
เรื่องโจ๊กหกคว่ำเป็นเพียงเรื่องเล็ก นางไม่มีทางว่ากล่าวซู่เหมยอย่างแน่นอน แต่ซู่เหมยกลับแสดงท่าทางเจ็บปวดแต่ไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้าทุกคน
ราวกับว่านางต้องการยั่วยุอารมณ์ของอาซิ่วอย่างไรอย่างนั้น
“เราควรไล่คนแบบนี้ออกไปให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นท่านพี่ต้าหยวนจะต้องตกถึงท้องนางอย่างแน่นอน!”
คิดจะยั่วยวนหลงเทียนอวี้? หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
อย่าว่าแต่เรื่องอื่นเลย แม้หลงเทียนอวี้จะมีใบหน้าหล่อเหลา แต่เขามักปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเย็นชา
หากซู่เหมยอยากหาที่พึ่ง นางควรจะหาคนประเภทชิวอวี้จึงจะถูก
ทั้งที่หลงเทียนอวี้แสดงท่าทีเย็นชา แต่กลับยังมิยอมตัดใจ หรือจะเป็นรักแรกพบ?
ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในใจ ทว่าหลินเมิ้งหยาไม่มีหลักฐาน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางคงต้องให้ความร่วมมือกับการแสดงของซู่เหมยสักหน่อยแล้ว
“อาซิ่ว เจ้าช่วยข้าสักเรื่องได้หรือไม่”
กระซิบกระซาบข้างหูอาซิ่วสองสามคำ อาซิ่วหยักยิ้มกว้างก่อนจะพยักหน้าลง
“ท่านวางใจเถิด ข้าจะทำให้สำเร็จ เรื่องนี้ข้าจะรับผิดชอบเอง”
พูดจบอาซิ่วก็เดินกระโดดโลดเต้นกลับไปยังตำแหน่งที่ทุกคนนั่งอยู่ หลินเมิ้งหยามองตามหลังอาซิ่ว มุมปากหยักยิ้มมีเลศนัย
คราวนี้ซู่เหมยคงช้ำใจตายอย่างแน่นอน
การค้างแรมในป่าหาได้งดงามเหมือนดั่งบทกวีไม่
ภายในกระโจมชั่วคราว ป๋ายซ่าว อาซิ่วและหลินเมิ้งหยานอนเรียงกันในผ้านวมผืนหนา ฉะนั้นพวกนางจึงไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย
ปลายเท้าสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของกองไฟ ส่วนพวกผู้ชายผลัดกันเฝ้าเวรยาม เมื่อมีหลงเทียนอวี้และชิวอวี้คอยคุ้มกัน หลินเมิ้งหยาจึงสามารถพักผ่อนได้โดยไม่กังวล
แต่หลินเมิ้งหยากลับนอนไม่หลับ นางจึงลุกขึ้นมายืนหน้าประตูกระโจมแล้วมองจันทร์กระจ่างท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาล ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
“นายหญิงคิดถึงบ้านหรือเจ้าคะ?”
ป๋ายซ่าวกระซิบถาม แม้ตลอดทางที่ผ่านมานางมักจะต้องรอนายหญิงของตนเองเสมอ แต่นางรู้สึกได้ว่านายหญิงของตนเองกำลังเสี่ยงอันตราย
โชคดีที่นายหญิงพาตนเองมา หากเป็นป๋ายจีและป๋ายจื่อ คาดว่าพวกนางคงกรีดร้องร่ำไห้ไม่หยุด
“อืม จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
อันที่จริงหัวใจของหลินเมิ้งหยากำลังว้าวุ่น การออกเดินทางคราวนี้ทำให้นางได้เจอสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นในเมืองหลวง
จิตใจของนางจึงเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก บางครั้งนางรู้สึกอิจฉาอาซิ่วที่สามารถแสดงความรู้สึกออกมาอย่างเถรตรง
ยิ่งรู้เรื่องมากก็ย่อมต้องคิดมากตาม
“ป๋ายซ่าว ความฝันของเจ้าคืออะไรหรือ?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามหยั่งเชิง แม้ว่าชีวิตของนางในเวลานี้จะยุ่งเหยิงมากมายก็ตาม
แต่ก่อนพยายามเตรียมการทุกอย่างเพื่อหนีออกจากจวนอ๋อง แต่ตอนนี้เล่า? นางไม่ชอบหลอกตัวเอง หากตอนนี้นางต้องไปจากหลงเทียนอวี้แล้วล่ะก็ บางทีนางอาจตัดใจไม่ได้เหมือนอย่างตอนแรก
“ความฝัน? ความฝันคืออะไรหรือเจ้าคะ?”
ป๋ายซ่าวเอ่ยถามเสียงฉงน ผินหน้ามองนายหญิงของตนเอง ตั้งแต่เด็กจนโตมิเคยมีใครถามนางเช่นนี้มาก่อน