ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 431 ล่วงหน้าสำรวจเส้นทาง
อาซิ่วหาใช่คนไร้สมอง แม้จะอยากโวยวายแต่นางมิใช่คนยิงธนูโดยไร้เป้า
หากคิดจะสั่งสอนชายโฉดหญิงชั่วคู่นั้น เช่นนั้นนางควรจะหาเหตุผลมาอ้างสักหน่อยมิใช่หรือ?
หลังจากกินข้าวเช้าแล้ว เรื่องซุบซิบนินทาระหว่างหยวนเหมยและซู่เหมยก็ลือไปทั่วทั้งขบวนการค้า
สายตาที่ทุกคนมองเขาทั้งสองเปี่ยมไปด้วยความอิจฉา
ส่วนท่าทางฮึดฮัดมิได้ดั่งใจของหยวนหลินนั่นคงเพราะเขาแอบชอบซู่เหมยอย่างแน่นอน แต่ข้างกายหยวนหลินมีฮูหยินงดงามเพริศพริ้งอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเด็กสาวหน้าตาน่ารักสกุลตงฟางห้อมล้อมเขาอีก
เช่นนั้นน้องชายคนนี้ควรจะหลีกทางให้พี่ชายสักหน่อยมิใช่หรือ? ทว่าบรรยากาศระหว่างสองพี่น้องกระอักระอ่วนยิ่งนัก
เหตุเพราะแจ้งล่วงหน้าแล้วว่าทั้งสามจะเดินทางล่วงหน้าไปก่อน หลินเมิ้งหยาจึงขี่ม้าออกไปโดยไม่สนทนากับใคร
ชิวอวี้เองก็รู้หน้าที่ตน ดังนั้นจึงขี่ม้าตามหลังนางไป ฉะนั้นหลงเทียนอวี้ที่ถูกซู่เหมยล้อมหน้าล้อมหลังจึงอดที่จะกระวนกระวายใจไม่ได้
“พี่ต้าหยวน เช่นนั้นท่านพาข้าไปด้วยกันเถิด ข้าเดินทางไปกับพวกเขาเพียงคนเดียวรู้สึกกังวลใจยิ่งนัก”
ซู่เหมยเข้ามารบเร้าหลงเทียนอวี้ตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งชงชาส่งน้ำ แม้กระทั่งการเตรียมอาหารและเสื้อผ้าของเขาก็มีนางคอยรับใช้
นางไม่มีท่าทางกระดากอายเหมือนสาวน้อยเลยแม้แต่น้อย ทุกคนล้วนดูออกว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์คลุมเครือจนมิอาจแยกจากกันได้
ตอนแรกหงอวี้ยังคงกังวล แต่เมื่อเห็นว่าหยวนเหมยไม่คิดปฏิเสธ ดังนั้นนางจึงเริ่มวางใจ
แต่นางเคยอาบน้ำร้อนมาก่อน ดังนั้นนางย่อมรู้ดีว่าหยวนเหมยและหยวนหลินหาใช่เพียงพี่น้องธรรมดา
แม้ซู่เหมยจะหน้าตางดงาม แต่เมื่อเทียบกับหยวนหลินแล้ว นางยังห่างชั้นกว่ามาก
หากตบแต่งเป็นภรรยารอง เกรงว่าเมื่อต้องพบกับภรรยาเอกเก่งกาจเช่นนี้ ชีวิตน้องสาวของนางคงไม่ราบรื่นนัก
ยิ่งไปกว่านั้นหยวนหลินยังเป็นคนช่วยพวกนางออกจากกองเพลิงเสียด้วย การกระทำเช่นนี้มิอกตัญญูไปหน่อยหรือ?
“น้องสาว พวกเรารออยู่ที่นี่จะดีกว่า หนทางข้างหน้าอันตรายยิ่งนัก อย่าสร้างปัญหาให้คุณชายต้าหยวนเลย”
หงอวี้ดึงตัวซู่เหมยที่ยังคงรบเร้าหยวนเหมยไม่เลิกออกมา คนอื่นอาจมองไม่เห็น แต่นางเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสายตาของคุณชายหยวนเหมยมิเคยเห็นซู่เหมยอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
แม้นางจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซู่เหมยจึงมั่นใจว่าหยวนเหมยมีใจให้นาง แต่นางแน่ใจว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คนที่จะต้องเจ็บปวดคงไม่พ้นซู่เหมยอย่างแน่นอน
“อย่าดึงตัวข้า ข้ารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”
ภายในกระโจม สีหน้าอ่อนโยนของซู่เหมยเปลี่ยนเป็นหมดความอดทน นางสะบัดมือหงอวี้ออก
“ซู่เหมย ข้าเป็นพี่สาวของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับข้าหรือไม่ แต่ข้าล้วนทำทุกอย่างเพื่อเจ้า คุณชายหยวนผู้นั้นไม่มีทางเป็นคุณชายในตระกูลธรรมดา เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า?”
หงอวี้ไม่รู้วิธีการเข้าหาซู่เหมยเลยแม้แต่น้อย ความทรงจำในวัยเด็กกลายเป็นภาพเลือนรางเพียงเท่านั้น
ชีวิตขมขื่นตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้นางเคยชินกับการทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงินให้ได้มากที่สุด
นางสามารถรับมือกับแขกที่เรื่องมากได้ แต่กับน้องสาวสายเลือดเดียวกันผู้นี้ นางทำได้เพียงมองดูด้วยความกังวล
เหตุเพราะหวังดีกับนาง ฉะนั้นจึงระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
“แล้วอย่างไรเล่า? ก็จริง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเจ้ารับลูกค้าหลากหลายรูปแบบ หากเจ้าบอกว่าเขามิใช่คนธรรมดา เขาก็คงเป็นคนเช่นนั้นจริง ขอเพียงข้าจับเขาให้ได้ เท่านี้ชีวิตพวกเราสองพี่น้องก็จะได้อยู่อย่างสุขสบายแล้วมิใช่หรือ?”
ซู่เหมยเอื้อนเอ่ยอย่างมิใส่ใจ ราวกับนางมิได้แยแสต่อความเป็นห่วงของหงอวี้เลยแม้แต่น้อย
ยืนอึ้งงันอยู่กับที่ อยู่ๆ หงอวี้ก็ไม่รู้ว่าควรโน้มน้าวซู่เหมยเช่นไร
ความร่ำรวยเปรียบดั่งเมฆา ครั้นมีขุนนางมากมายขอนางกลับไปเป็นภรรยารอง พวกเขาล้วนโดนนางปฏิเสธไปทั้งสิ้น นั่นก็เพราะนางรู้ดีว่าครอบครัวเศรษฐีมั่งคั่งเหล่านั้นล้วนไม่ธรรมดา
“เจ้าฟังคำพี่สักครั้งเถิด เจ้าไม่มีวันได้หัวใจของคุณชายหยวนอย่างแน่นอน แม้เจ้าจะถูกใจเขา แต่เจ้าจะได้เป็นเพียงภรรยารองเท่านั้น แม้พี่ไม่อาจมอบความร่ำรวยให้แก่เจ้าได้ แต่พวกเราสามารถหาครอบครัวที่ดีในเมืองหลินเทียนเพื่อสร้างชีวิตที่มั่นคงให้แก่เจ้าได้”
หงอวี้กุมมือซู่เหมยเพราะอยากให้นางสัมผัสได้ถึงความจริงใจของตน
ทว่าซู่เหมยกลับมองนางด้วยสายตาแข็งกร้าวก่อนจะสะบัดมือนางทิ้ง
“หาครอบครัวที่ดี? ใช้เงินจากการขายตัวของเจ้าเพื่อทำให้ข้าใช้ชีวิตเป็นเมียชาวนาอย่างนั้นหรือ? ท่านพี่ เหตุใดท่านจึงเห็นแก่ตัวเช่นนี้?”
เอ่ยค้านด้วยเสียงแข็งกระด้างไร้หัวใจระคนรังเกียจ คำพูดของนางมิต่างจากน้ำเย็นที่สาดราดรดในใจของหงอวี้
นางทุ่มเททั้งหมดเพื่อน้องสาวของตน แต่เพราะเหตุใดน้องสาวจึงเข้าใจผิดไปถึงเพียงนี้?
“ข้าเพียงแค่…”
“เจ้าคิดว่าท่านพ่อท่านแม่ไม่รู้เรื่องที่เจ้าถูกขายไปยังหอนางโลมหรือ? ข้าจะบอกความจริงเจ้าให้ก็ได้ เจ้ามิได้หายตัวไปเอง แต่ท่านพ่อท่านแม่ขายเจ้าต่างหาก พวกเขาขายเจ้าแลกกับเงินห้าตำลึง ยามนั้นพวกเราใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขที่สุด แต่น่าเสียดาย ท่านพ่อท่านแม่นึกเสียใจภายหลัง ฉะนั้นหลังจากขายเจ้าไปแล้ว พวกท่านจึงไม่ยอมขายข้าไปด้วยอีกคน”
ความเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ หงอวี้มิรู้ตัวเลยว่าใบหน้าของตนเองขาวซีดมากเพียงไหน ซ้ำนางยังไม่รู้ตัวเลยว่าร่างกายของนางกำลังโอนเอนราวกับสามารถล้มลงไปกองบนพื้นได้ตลอดเวลา
ขยับเท้าถอยหลัง ในที่สุดนางก็ควบคุมร่างกายของตนเองได้
นางเข้าใจว่าเพราะความจน ครอบครัวจึงขายนาง แต่เพราะเหตุใดน้องสาวของนางจึงมีท่าทีประหนึ่งไม่พอใจที่เงินซึ่งได้มาจากการขายพี่สาวแท้ๆ ไม่เพียงพอ
หรือในหัวใจของนาง พี่สาวคนนี้มิได้สำคัญเท่าเงินทองกระนั้นหรือ?
“โอ้ เพิ่งจะรู้สึกเจ็บปวดหรือ? ท่านพี่ ท่านได้อยู่อย่างผาสุกมาตลอดหลายปี ท่านเคยคิดถึงข้าและท่านพ่อท่านแม่บ้างหรือไม่? ครั้นเมื่อท่านแม่ตาย ข้าคอยอยู่รับใช้นางอยู่ข้างกาย วันนี้กว่าข้าจะหาคนที่เหมาะสมเจอนั้นไม่ง่ายเลย เจ้าไม่เพียงไม่ช่วยข้า ซ้ำยังขัดแข้งขัดขาข้า ตกลงเจ้ากำลังเป็นห่วงข้าจริงหรือไม่?”
นาง…นางทำเพื่อน้องสาวมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าซู่เหมยจะคิดว่าตนเองกำลังไปขัดขวางนาง
หงอวี้รู้สึกได้ถึงความรู้สึกขุ่นมัวในใจ
ผู้หญิงคนนี้เป็นน้องสาวของนางจริงหรือ?
“ข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้ ข้าจะเอาคุณชายหยวนมาเป็นของตัวเองให้ได้ เมียรองแล้วอย่างไรเล่า ขอเพียงไม่ต้องใช้ชีวิตแบบอดมื้อกินมื้อ ไม่ว่าต้องทำอะไรข้าก็พร้อมจะทำ ท่านพี่ เจ้าจะไม่ช่วยข้าก็ได้ แต่อย่าได้ขวางทางข้า มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
ซู่เหมยข่มขู่หงอวี้ ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนอ่อนหวานพลันเปลี่ยนเป็นชั่วร้าย
หงอวี้ผงะอยู่กับที่ หยดน้ำตารินไหลออกจากเบ้าตา
นางรู้ดีว่าฐานะทางบ้านยากจน ในความทรงจำของนาง นางและน้องสาวได้กินแค่รำข้าวและมันเทศเท่านั้น
แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าน้องสาวที่เคยใสซื่อไร้เดียงสาจะกลายเป็นคนเช่นนี้
ทั้งหมดเป็นความผิดของนางอย่างนั้นหรือ?
สัญชาตญาณร้องบอกนางว่าหากซู่เหมยยังเดินผิดทางเช่นนี้ต่อไป สิ่งที่กำลังรอนางอยู่คือหนทางแห่งความตาย
ตอนนี้อย่าว่าแต่ร้องห้ามหรือโน้มน้าวนางเลย แม้แต่คำพูดสักคำซู่เหมยยังไม่คิดจะฟัง
นางเพียงอยากดูแลน้องสาวของตนเองเท่านั้น สวรรค์โปรด นางควรทำเช่นไร?
แอบร้องไห้โดยไร้เสียง นางโลมที่เคยมีชื่อเลื่องลือผู้นี้รู้สึกเจ็บปวดใจจนยากจะทานทน
หวังว่าซู่เหมยจะไม่ทำอะไรเกินตัว มิเช่นนั้นแม้แต่นางเองก็คงปกป้องซู่เหมยเอาไว้ไม่ได้
ม้าทั้งสามตัวโลดแล่นโจนทะยานไปข้างหน้า หลินเมิ้งหยาขี่ม้าอยู่ตรงกลาง โดยมีหลงเทียนอวี้และชิวอวี้ขนาบข้าง
พวกเขาล้วนมีความคิดของตัวเองในใจ จะว่าไปก็น่าขัน ทุกครั้งที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันสามคน บรรยากาศมักอึดอัดจนมิรู้จะอึดอัดต่อไปอย่างไรแล้ว
หลินเมิ้งหยาเหลือบมองทั้งซ้ายและขวา นางแอบหัวเราะในใจ แม้สีหน้าจะยังคงเคร่งขรึมก็ตาม
ใครใช้ให้หลงเทียนอวี้มีเรื่องซุบซิบนินทากับซู่เหมยโดยไม่ปรึกษานางก่อนกันเล่า?
ชิวอวี้เองก็หาใช่คนดีอะไร เขามักมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
คิดว่านางดูไม่ออกหรือ?
ขี่ม้าออกจากทิวป่าต้นซิ่ง ไม่นานพวกเขาก็มาถึงเนินเล็กๆ
หลินเมิ้งหยาสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกหนึ่ง เพราะเหตุนี้ท่านกัวจึงกำชับพวกเขาทั้งสามว่าถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น พวกเขาจะต้องห้ามรีบร้อนเป็นอันขาด
“สวรรค์ บนโลกใบนี้มีสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ด้วยหรือ?”
ไม่เพียงแค่หลินเมิ้งหยา แม้แต่หลงเทียนอวี้เองก็รู้สึกตื่นตะลึงไม่แพ้กัน
สายตามองทอดยาว ราวกับท้องฟ้าและผืนดินถูกขวานอันใหญ่ผ่าครึ่งเป็นสองส่วน ทางเดินในหุบเขาด้านหน้ามีความกว้างเพียงสิบเมตร ด้านข้างทั้งสองฝั่งคือหุบเหว
หันหน้ามองทั้งซ้ายและขวา พวกเขาไม่เห็นแม้กระทั่งพื้นดินด้านล่าง ราวกับว่ามันมีความลึกสุดลูกหูลูกตา
พระเจ้าช่างรังสรรค์ออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
ม้าทั้งสามก้าวขาเดินเยื้องย่างอย่างเชื่องช้า ด้านหน้าพวกเขาคือถนนทอดยาวอย่างไร้ที่สิ้นสุดสายหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงทางผ่านเดียวแล้ว
“ระวังหน่อย ด้านล่างเป็นหุบเหว”
ชิวอวี้ที่คุ้นชินเป็นอย่างดีรีบร้องเตือน หลินเมิ้งหยาลงจากหลังม้า ก่อนจะเดินไปข้างหน้าเพื่อมองดู
สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เฮือกหนึ่ง สวรรค์โปรด เบื้องหน้าของนางคือเหวลึกสุดลูกหูลูกตา แม้นางจะไม่กลัวความสูง แต่เมื่อได้มองลงไปกับตา นางพบว่าเบื้องล่างมีก้อนเมฆลอยบดบังอยู่ ดังนั้นจึงมองไม่เห็นความลึกที่แท้จริง
สูดลมหายใจเข้าปอดอีกหน หากตกลงไปแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่ร่างกายของมนุษย์เลย แม้แต่ก้อนหินเองก็คงแหลกละเอียด
“ถนนสายนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติจริงหรือ?”
หลินเมิ้งหยาเดินบนถนนที่สร้างจากหินสายนี้ด้วยความระมัดระวัง แต่เพราะนางยืนได้ไม่มั่นคงพอ ฉะนั้นเมื่อถูกลมพัด ร่างของนางจึงปลิวไปตามกระแสลม
คนหูตาว่องไวอย่างหลงเทียนอวี้รีบโอบตัวนางไว้ มือของหลินเมิ้งหยาชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“อืม พวกเราชาวเมืองหลินเทียนเรียกถนนสายนี้ว่าถนนเซียน มีเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาว่าแต่ก่อนเมืองหลินเทียนและต้าจิ้นเป็นแผ่นดินผืนเดียวกัน ต่อมาต้าจิ้นก่อสงครามไปทั่วทั้งสารทิศจึงเซียนท่านหนึ่งใช้ขวานแบ่งแผ่นดินออกเป็นสองฝั่ง ส่วนตัวเขาเดินหายไปบนถนนสายนี้”
แววตาของชิวอวี้สับสน หลินเมิ้งหยาไม่คิดอะไรมาก บางทีอาจเพราะเขากำลังคิดถึงบ้าน
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ชิวอวี้ก็มีฐานะเป็นหมอหลวงประจำตัวของฮ่องเต้แห่งต้าจิ้น ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นหมอหลวงที่มีความซื่อสัตย์และได้รับการไว้ใจจากฮ่องเต้อีกด้วย
ฉะนั้นเมื่อกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง เขาจึงรู้สึกประหม่า