ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 432 ความอันตรายบังเกิด
“พวกเราจะผ่านไปอย่างไร? เมื่อครู่ข้าทดลองดูแล้ว แต่ก็เกือบจะปลิวไปตามลม หากพวกเราไปกันทั้งสามคน เกรงว่าจะหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุไม่พ้น”
ความลึกสุดลูกหูลูกตาทำให้หลินเมิ้งหยาระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม นั่งยองลงข้างก้อนหินข้างทาง หัวคิ้วขมวดมุ่น
“อีกเดี๋ยวพวกเราใช้เชือกมัดตัวเอาไว้ด้วยกัน จากนั้นเดินไปพร้อมกับม้า ถนนเซียนมีความอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง หากเดินผ่านเพียงคนเดียวอาจถูกลมแรงพัดตกเหวเอาได้ แต่ยิ่งคนมาก ม้ามากจะสามารถผ่านไปได้อย่างปลอดภัย”
ชิวอวี้เตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว เขาลงจากหลังม้าแล้วหยิบเชือกเส้นหนาออกมา
หลังจากไตร่ตรองคำพูดชิวอวี้อยู่ครู่หนึ่ง หลินเมิ้งหยานึกอะไรบางอย่างได้ แต่สุดท้ายทำเพียงส่ายหน้า
“เจ้าอยู่ตรงกลาง พวกเราจะปกป้องเจ้าเอง”
หลงเทียนอวี้กระซิบเสียงแผ่วหลังจากนิ่งเงียบมาตลอดทาง
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง เมื่อครู่นางคิดอยากถามหยั่งเชิงว่าหลงเทียนอวี้ไม่รังเกียจซู่เหมยอย่างนั้นหรือ
แต่ดูเหมือนตอนนี้จะมิใช่เวลาเหมาะสมในการถาม
“พวกเราหนึ่งคนเดินตามม้าหนึ่งตัว อย่าได้เดินผิดตำแหน่งเป็นอันขาด ขอเพียงพวกเราเดินไปพร้อมกันสามคน รับรองว่าจะไม่มีทางตกลงไปอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเส้นทางนี้มิได้ยากต่อการเดิน ขอเพียงระมัดระวังสักนิดก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
ชิวอวี้กำชับคนทั้งคู่เสียงเข้ม พูดจบเขาก็ใช้เชือกคล้องเอวของแต่ละคนเอาไว้ด้วยกัน
ราวกับม้าทั้งสามตัวรู้ว่าต้องทำเช่นไร พวกมันเดินนำหน้าเป็นแถวเรียงกัน
“ไปเถิด”
ชิวอวี้สบตาหลงเทียนอวี้หนหนึ่งพลางเอ่ยเสียงเรียบ
ทั้งสองเกิดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แม้ถนนเซียนแห่งนี้จะไม่แคบ แต่ถึงกระนั้นก็อาจถูกลมกระโชกพัดกระทบร่างได้ตลอดเวลา
ม้าของหลงเทียนอวี้ย่ำกีบเท้าเดินไปยังถนนเซียนก่อนเป็นตัวแรก จากนั้นเขาจึงเดินตามม้าของตนเอง หลินเมิ้งหยาดึงเชือกเข้าใกล้ตัวอย่างอดไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นก็มิเกิดเหตุการณ์ถูกลมพัดจนตัวคนปลิวไป
เมื่อเห็นแล้วว่าไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น เขาจึงหันไปพยักหน้าให้หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้
เพ่งสมาธิ ทั้งสองจึงเดินตามม้าของตนเองไปยังถนนเซียน
เอ๋? หลินเมิ้งหยาที่เดินเข้ามายังถนนหินกวาดสายตามองซ้ายขวา
แปลกจริงเชียว ครั้งแรกที่นางเหยียบเท้าเข้ามา อย่าว่าแต่เดินเลย แม้แต่ยืนยังลำบาก แต่เมื่อเดินไปพร้อมกันกับม้า สายลมพลันมลายหายไปแล้ว
นางครุ่นคิด ทันใดนั้นก็ยื่นแขนออกไปข้างหนึ่ง
ชิวอวี้และหลงเทียนอวี้หันไปมองนางอย่างไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้กำลังทำอะไร
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!
หัวใจของหลินเมิ้งหยาพลันสงบลง นางมองแขนตัวเองก่อนจะหัวเราะออกมา แต่ถึงกระนั้นนางยังไม่คิดจะเผยความจริงตอนนี้
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ซับซ้อนเลยแม้แต่น้อย ทว่าหากนางป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป เกรงว่าเมืองหลินเทียนจะต้องเสียเอกราชอย่างแน่นอน
บางทีเมื่อถึงเวลานั้น เมืองหลินเทียนคงไม่มีหลักประกันใดๆ แล้ว หากเกิดสงครามขึ้นเช่นนั้นคนผิดย่อมเป็นนาง
ขยับเท้าเดินไปข้างหน้าทีละก้าว สายตาของหลงเทียนอวี้มองเห็นว่าอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงฝั่งแล้ว
อยู่ๆ ร่างในชุดดำสิบกว่าคนพลันปรากฏที่ปลายถนนอีกฝั่ง
หัวคิ้วขมวดมุ่น หลงเทียนอวี้ไม่กล้านิ่งนอนใจ
ในที่สุดก็มาแล้ว!
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
เสียงเยียบเย็นหลุดจากลำคอของหลงเทียนอวี้ ดาบยาวในมือหลุดออกจากฝักแล้ว เขาตั้งท่าเตรียมพร้อมรับการโจมตี
ผีซ้ำด้ำพลอย! ชิวอวี้ที่อยู่ด้านหลังเหลือบมองเห็นคนชุดดำเหล่านั้น
พวกเขายืนประจันหน้ากับคนเหล่านั้น ที่แท้พวกมันก็มาดักรอพวกตนเองที่นี่
“ฆ่า!”
คนชุดดำไม่พูดพร่ำทำเพลง ลูกธนูตรงดิ่งไปยังสตรีที่อยู่ตรงกลาง
ดาบทั้งสองเล่มปัดป่ายเพื่อป้องกันหลินเมิ้งหยามิให้ได้รับบาดเจ็บ
เวลาเพียงชั่วอึดใจ ม้าสองตัวถูกลูกธนูพุ่งใส่ร่าง เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น ก่อนที่พวกมันจะล้มลง
หลินเมิ้งหยาร้อนใจยิ่งนักแต่นางไร้ซึ่งวรยุทธ์ สุดท้ายก็กลายเป็นภาระของพวกเขาเท่านั้น
“เจ้าปกป้องเมิ้งหยาให้ดี ข้าจะจัดการพวกเขาเอง! รีบหนีไปซะ!”
ถนนเซียนอันตรายเกินไป ทั้งยังจำกัดการเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งสอง
หากต้องกลายเป็นเป้าธนูที่นี่ สู้พุ่งตัวเข้าไปตายเอาดาบหน้าจะดีกว่า!
ดาบในมือหลงเทียนอวี้กวัดแกว่งว่องไวดั่งสายลม เขาขยับเดินหน้าเข้าไปทีละน้อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะเรียกกำลังเสริมเข้ามามากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงถูกบีบให้กลับมาหยุดอยู่ที่เดิม
หลินเมิ้งหยาร้อนใจจนถึงขั้นสุด หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาทั้งสองจะต้องถูกฝังอยู่ที่นี่เป็นแน่
ขบริมฝีปากแน่น ก่อนจะร้องตะโกนออกไป
“หยุดเดี๋ยวนี้! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาเป็นใคร? หากมิอยากก่อสงครามระหว่างแคว้น เช่นนั้นข้าแนะนำให้พวกเจ้าหยุดมือเสีย อีกอย่างข้าไม่สนหรอกว่าผู้อยู่เบื้องหลังของพวกเจ้าเป็นใคร แต่ถ้าพวกเขาตาย ตระกูลที่หนุนหลังพวกเจ้าอยู่ไม่มีทางรับผลที่ตามมาไหวอย่างแน่นอน”
ห่าธนูพลันหยุดลง หลินเมิ้งหยาเพียงแค่หยั่งเชิงเท่านั้น
นางไม่หวาดหวั่นหากพวกมันมีเป้าหมายอื่น แต่ถ้าหากพวกมันหวังให้พวกนางทั้งสามต้องตาย เช่นนั้นคงจบเห่แล้ว
หลงเทียนอวี้พร้อมทั้งชิวอวี้ตั้งท่าป้องกันอีกฝ่าย ม้าตัวที่สามยังคงยืนนิ่ง มิได้ล้มลงไป
แม้หลินเมิ้งหยาจะโศกเศร้า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า
“ได้ยินมาว่าชายาอวี้เฉลียวฉลาดมีไหวพริบ วันนี้ได้เห็นกับตาตัวเองแล้วรู้สึกว่าสมคำร่ำลือยิ่งนัก เมื่อต้องคุยกับคนฉลาด เจ้าลงทุนเพียงเล็กน้อยแต่กลับได้กำไรมหาศาล”
อยู่ๆ คนชุดดำด้านหน้าหลงเทียนอวี้ก็แหวกทางออก จากนั้นร่างในชุดดำสวมหน้ากากปีศาจพลันปรากฏตัวออกมา
“เป้าหมายของพวกเจ้าคือสิ่งใดมิสู้พูดออกมา?”
หัวใจของหลินเมิ้งหยารู้สึกกระวนกระวายอยู่หลายส่วน ตอนนี้เหตุการณ์มิเอื้ออำนวยพวกนางเลยแม้แต่กระผีกเดียว
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่รีบร้อน ราวกับมั่นใจแล้วว่าพวกนางไม่มีหนทางรอด
“เป้าหมายของข้าง่ายดายยิ่งนัก ขอเพียงชายาอวี้นำของสิ่งนั้นออกมา”
ของ? หัวคิ้วขมวดมุ่น นอกจากยาสองสามห่อแล้ว นางก็มิได้นำสิ่งใดติดตัวมา
“ของอะไร? เจ้าลองบอกมาให้ข้าฟัง”
พยายามบังคับเสียงให้มั่นคง หลินเมิ้งหยามิอาจทำให้พวกเขารู้ว่าตนเองกำลังหวั่นวิตกได้
มิเช่นนั้นอีกฝ่ายคงยิ่งได้ใจ
“เจ้ามีของที่ข้าต้องการอย่างแน่นอน มันคือตำราชิงเจิงผู่!”
อะไรนะ?
หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายจะเป็นตำราชิงเจิงผู่
ดวงตาเบิกกว้าง นางมิเคยบอกใครมาก่อนเรื่องตำราชิงเจิงผู่
เหตุใดอีกฝ่ายจึงมั่นใจว่าตำราเล่มนั้นอยู่ที่นางเล่า?
“ตำราชิงเจิงผู่อะไรกัน? ข้าไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ท่านอ๋องเองก็รู้ว่าข้าดีดสีตีเป่าไม่เป็น เจ้าจำคนผิดแล้ว”
นางแสร้งโง่ หลินเมิ้งหยาหวนนึกได้ว่าตนเองไม่เคยเผยเรื่องนี้มาก่อน
นางร่ำเรียนวิชาแพทย์พิษจากท่านอาจารย์ ฉะนั้นนางย่อมถอนพิษเป็น
ดังนั้นนางจึงกัดฟันตอบไปว่าตนเองไม่มีตำราเล่มนั้น
“ชายาอวี้ล้อเล่นแล้ว ตำราชิงเจิงผู่หาใช่ตำราดนตรีไม่ มันคือตำราแพทย์ เจ้านายคนสุดท้ายของมันคือหมอเทวดาจั่วซูชิง”
หลินเมิ้งหยารู้สึกครั่นคร้ามในใจ จั่วซูชิงคือนามของมารดานาง!
ดูเหมือนคนกลุ่มนี้จะเตรียมการมาเป็นอย่างดี
“จั่วซูชิงคือท่านแม่ของข้าไม่ผิดแน่ แต่นางตายไปตั้งแต่ตอนที่ข้าเกิดแล้ว เช่นนั้นข้าจะมีของที่พวกเจ้าอยากได้ได้อย่างไร”
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดก่อนจะตอบ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะแค่นหัวเราะ
“ฮึ ฮึ ฮึ ชายาอวี้ล้อเล่นแล้ว ในเมื่อเจ้ามองข้ามโอกาสสุดท้าย เช่นนั้นอย่าหาว่าพวกข้ามิเกรงใจ เข้ามา ลงมือได้”
ราวกับอีกฝ่ายมั่นใจว่าหลินเมิ้งหยาหมดหนทางสู้แล้ว เขาออกคำสั่งเสียงเย็น
ทว่าชายทั้งสองตรงหน้าหลินเมิ้งหยากลับหยิบตะขอกรงเล็บพยัคฆ์เหินออกมา
โยนเข้าไปเกี่ยวไว้กับตัวม้า เมื่อออกแรงดึง ม้าทั้งสองตัวพลันตกลงไปเบื้องล่าง
“เร็วเข้า มาหาข้า”
ตอนนี้เหลือม้าของหลินเมิ้งหยาเพียงตัวเดียวแล้ว
สายลมกระโชกแรง หากมิใช่เพราะหลงเทียนอวี้และชิวอวี้มีไหวพริบว่องไว เกรงว่าคงถูกลมพัดไปแล้ว
“ฮึ ฮึ ชายาอวี้ หากเจ้าส่งมอบมันมาตอนนี้ พวกข้าสามารถช่วยชีวิตเจ้าได้ แต่ถ้าหากเจ้ายังดึงดันเช่นนี้ต่อไป เจ้าจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
สายลมทำให้เสียงของอีกฝ่ายล่องลอยอยู่กลางอากาศ
ทั้งสามคนและม้าหนึ่งตัวถูกล้อมไว้ตรงกลาง
หลินเมิ้งหยาตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งสามจะต้องหนีรอดไปด้วยกัน
“เจ้าอยากได้ตำราชิงเจิงผู่มากใช่หรือไม่? ได้ ข้าจะมอบมันให้เจ้า แต่ข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้ว่าตำราเล่มนั้นถูกทำลายไปแล้ว บนโลกใบนี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้เนื้อหาของมัน หากข้าตายไป เจ้าก็จะไม่มีวันได้ตำราไป หากเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นข้าจะกระโดดลงหุบเหวให้เจ้าดู”
หลินเมิ้งหยารีบแกะเชือกที่เอวออก ก่อนจะวิ่งไปที่ที่ขอบผาเพื่อเตรียมกระโดดลงหุบเหว
“ช้าก่อน! อย่านะ! พวกเรายังคุยกันได้”
อีกฝ่ายคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะมีจิตใจเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้
พวกเขาล้วนได้ยินมาว่าหลินเมิ้งหยาเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต เมื่อต้องเชิญหน้ากับคนเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือปลาตายตั้งแต่อยู่ในข้อง
ในเมื่อไม่มีทางเลือก พวกเขาต้องรับฟังเงื่อนไขของนาง
“เจ้าปล่อยให้พวกเขาทั้งสองข้ามฝั่งไปก่อน จากนั้นข้าจะข้ามไปเป็นคนสุดท้าย อย่าได้คิดตุกติกเชียว ข้าไม่กลัวตายเลยแม้แต่น้อย!”
คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะถูกข่มขู่แทน
หลินเมิ้งหยาใจชื้นขึ้นมาหลายส่วน สวรรค์รู้ดีว่านางกำลังกำเชือกเอาไว้แน่น ซ้ำแผ่นหลังยังชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ทว่าสมองของนางหาได้เลอะเลือน
หากนางอ้างว่าตนเองอาจมีหรือไม่มีตำราชิงเจิงผู่ก็ได้ เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ทุ่มเทเรี่ยวแรงมากถึงเพียงนี้
ยิ่งอีกฝ่ายสนใจ โอกาสในการเอาตัวรอดของนางก็จะยิ่งมาก
“ได้ ไม่มีปัญหา! เข้ามา ปล่อยเชือก!”
เพียงชายสวมหน้ากากปีศาจเห็นว่านางยืนอยู่ริมผา เขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งนัก
แม้ท่าทางจะยังคงสงบนิ่ง แต่นายท่านกำชับเอาไว้แล้วว่าหากมิอาจนำตำราชิงเจิงผู่กลับมาได้ เช่นนั้นพวกเขาอย่าได้เอาหน้ากลับไปให้นายท่านเห็นอีก
ยิ่งไปกว่านั้นถนนเซียนแห่งนี้อันตรายกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก หากนางเป็นอะไรไป เช่นนั้นพวกเขาต้องแย่แน่
ปลายเชือกที่ผูกติดกับลูกธนูถูกยิงลงแทบเท้าหลงเทียนอวี้ เขามิได้รีบหยิบมันขึ้นมา แต่หันหน้ากลับไปมองหลินเมิ้งหยา