ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 437 อันเล่อจวิ้นจู่
คิดไม่ถึงเลยว่าจั่วชิวเฉินจะมีมารยาทกับเขาถึงเพียงนี้ หลงเทียนอวี้มองฮ่องเต้หนุ่มด้วยสายตาเยียบเย็น หัวใจระแวดระวัง
แม้ฮูหยินหลินจะเป็นองค์หญิงแห่งเมืองหลินเทียน แต่เรื่องนี้ผ่านมานานมากแล้ว อย่าว่าแต่หาข่าวเลย แต่เพราะเหตุใดเชื้อพระวงศ์แห่งเมืองหลินเทียนจึงให้ความสำคัญกับญาติผู้น้องถึงเพียงนี้เล่า?
เมื่อครู่เขาได้ยินและได้เห็นว่าจั่วชิวเฉินไม่สนใจกระทั่งอนุชาแท้ๆ ของตนเอง
ดูท่าจั่วชิวเฉินคิดจะใช้วิธีซื้อใจคนกับเขาแล้ว
“ใจเย็นลงก่อนเถิดน้องเขย แม้ญาติผู้น้องของข้าจะเติบโตขึ้นยังต่างบ้านต่างเมือง แต่ถึงกระนั้นข้าที่เป็นญาติผู้พี่ก็ยังคิดถึงนางอยู่เสมอ แม้ตระกูลของพวกเราจะเจริญรุ่งเรือง แต่สุดท้ายก็มีแต่บุรุษ หากพวกพี่น้องของข้าที่เหลือรู้ว่ายังมีน้องสาวผู้งดงามดั่งหยกสลักเช่นนี้อยู่ พวกเขาจะต้องยกนางขึ้นแท่นและเอาอกเอาใจนางเป็นอย่างยิ่ง ส่วนข้าดีกว่าพวกเขาหน่อยเพราะมีความใกล้ชิดทางสายเลือดมากกว่า”
จั่วชิวเฉินกล่าวอธิบายอย่างอารมณ์ดี มือหนายกขึ้นตบบ่าหลงเทียนอวี้
แย้มยิ้มกว้าง หากไม่เห็นชุดหรูหราเหลืองอร่าม จั่วชิวเฉินในเวลานี้ก็ไม่เหมือนจักรพรรดิผู้เกรียงไกรเลยแม้แต่น้อย
หลงเทียนอวี้เชื่อเขาเพียงสามส่วน ตอนนี้ไม่รู้ว่าอาการของหลินเมิ้งหยาเป็นเช่นไร ดังนั้นเขาย่อมไม่เสียเวลาทดสอบความจริงใจของจั่วชิวเฉิน
ไม่นานหมอหลวงก็รีบเข้ามารายงาน บาดแผลของหลินเมิ้งหยาน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก พวกเขาเป็นหมอมาหลายสิบปีแต่ก็พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก
พวกเขาอธิบายตามความรู้ของตนเองเพื่อเอาใจฮ่องเต้
“ทูลฝ่าบาท แม้บาดแผลของฮูหยินท่านนี้จะลึก แต่ถึงกระนั้นกระดูกก็มิได้รับความเสียหาย ขอเพียงใช้ยาดีในการรักษาและบำรุงร่างกายนางสักระยะก็ไม่มีปัญหาอันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮูหยินกินยาอะไรเข้าไป ดังนั้นจึงยังคงหลับไม่ฟื้น กระหม่อมลองทดสอบดูแล้ว แต่ฮูหยินยังคงนอนแข็งทื่อไม่ต่างจากท่อนไม้”
นางเป็นถึงญาติผู้น้องของฮ่องเต้ แม้เหล่าขุนนางจะไม่เคยพบนางมาก่อน แต่ฮ่องเต้เสด็จมาจวนจวิ้นอ๋องยามวิกาลด้วยตนเอง สิ่งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับนางมากเพียงใด
“พวกเจ้ามีวิธีการรักษาหรือไม่?”
จั่วชิวเฉินเริ่มร้อนใจขึ้นมาแล้ว พวกหมอหลวงหันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก สุดท้ายเอ่ยเพียงว่าหมดหนทางและทำได้เพียงรอให้หลินเมิ้งหยาฟื้นขึ้นมาเอง
“ข้าไปดูนางหน่อย”
หนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ คิดไม่ถึงเลยว่าบาดแผลที่ไหล่จะไม่มีปัญหา แต่ยาสลบต่างหากที่กลายเป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้
ขณะที่คิดจะเดินเข้าไป จั่วชิวเฉินกลับร้องเรียกเขาเอาไว้
“น้องเขย เจ้าไปเปลี่ยนชุดก่อนเถิด”
หลงเทียนอวี้ก้มลงมองตัวเอง หลายวันมานี้เขามีสภาพเหมือนมนุษย์เสียที่ไหน ทั้งคราบเลือดคราบยาอาบท่วมไปทั้งร่าง เขาในเวลานี้มิต่างจากขอทานเลยแม้แต่น้อย
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนเถิด ร่างกายของท่านไม่สะอาด อาจทำให้ฮูหยินติดเชื้อได้ เช่นนั้นคงไม่ดีแน่”
คำพูดของหมอหลวงย่อมมีน้ำหนัก สิ่งใดที่ส่งผลร้ายต่อหลินเมิ้งหยา เช่นนั้นหลงเทียนอวี้ไม่คิดจะทำมัน
จั่วชิวเฉินรีบออกคำสั่งให้พาหลงเทียนอวี้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
ใบหน้าแย้มยิ้มกว้างดุจญาติมิตร แต่หลังจากหลงเทียนอวี้เดินลับหายไป สีหน้าพลันเคร่งขรึมลงทันที
“เจ้าคนไร้ประโยชน์นั่นเล่า? ยังไม่ฟื้นอีกหรือ?”
หมอหลวงรีบตอบคำถามด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม
“บาดแผลของเซิ่นจวิ้นอ๋องสาหัสยิ่งนัก ตอนนี้ไข้ขึ้นสูง กระหม่อมกำลังเร่งหาวิธีทำให้พระอาการของเซิ่นจวิ้นอ๋องดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
จั่วชิวเฉินผงกศีรษะลง ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของหลินเมิ้งหยา
ผ้าพันแผลถูกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว ยาที่ใช้คือยาที่ดีที่สุด แม้แต่สาวใช้ก็เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกห้าหกคน
หมอหลวงทั้งหมดยืนปรึกษากันห้อมล้อมเตียงของนาง ทว่าหลังจากเห็นฮ่องเต้เดินเข้ามา พวกเขาล้วนหมอบลงกับพื้นและหลีกทางให้
เดินผ่านกลุ่มคนเข้าไป ในที่สุดจั่วชิวเฉินก็ได้เห็นหญิงสาวบนเตียง
แม้ใบหน้าจะขาวซีด ทว่าใบหน้าของนางเหมือนกับภาพวาดที่เขาเคยได้เห็นไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว หัวใจร้องออกมาด้วยความตื่นตะลึง
เหมือน เหมือนเหลือเกิน!
ใบหน้าของญาติผู้น้องเหมือนกับเสด็จป้าไม่มีผิดเลยแม้แต่น้อย ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาเคยตามหาสตรีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเสด็จป้า แต่กลับไม่มีใครมีหน้าตาเหมือนหลุดจากพิมพ์ดั่งเช่นหลินเมิ้งหยา
นางเพียงนอนนิ่งอยู่บนเตียง แต่กลับทำให้เขามั่นใจมากว่านางเป็นบุตรีของเสด็จป้าจริงๆ
นางได้รับการสืบทอดทางสายเลือดของเสด็จป้า เขาไม่มีวันจำผิดแน่
กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นยาโชยเตะจมูก สิ่งที่เขาพูดกับหลงเทียนอวี้เมื่อครู่ล้วนเป็นความจริง
ญาติผู้น้องของเขาเปรียบเสมือนอัญมณีแห่งเมืองหลินเทียน
ทว่ามีคนบังอาจทำร้ายนาง เขาไม่มีวันปล่อยมันผู้นั้นเอาไว้แน่!
“พวกเจ้าจงฟัง นางคืออันเล่อจวิ้นจู่ [1] แห่งเมืองหลินเทียน เจิ้นไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีการรักษาเช่นไร แต่หากสามารถช่วยนางได้ เจิ้นจะมอบทองคำหนึ่งพันตำลึงและเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้อาวุโสแห่งหอป๋ายเฉา แต่หากช่วยจวิ้นจู่เอาไว้ไม่ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหมดต้องถูกประหาร ฝังร่างรับใช้จวิ้นจู่ไปชั่วกัปชั่วกัลป์”
“หา!”
เหล่าหมอหลวงรู้ดีว่าฮ่องเต้พระองค์นี้เป็นตรัสคำไหนคำนั้น หากช่วยจวิ้นจู่ไม่ได้ย่อมต้องถูกประหารตามธรรมเนียม แต่ถ้าหากช่วยได้ เช่นนั้นพวกเขาจะกลายเป็นผู้อาวุโสแห่งหอป๋ายเฉา นี่เป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของพวกเขาเหล่าหมอหลวงเลยก็ว่าได้
ตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งหอป๋ายเฉาจะถูกแต่งตั้งทุกรอบห้าสิบปี มีเพียงหมอหลวงที่สร้างความดีความชอบใหญ่หลวงเท่านั้นจึงได้รับการแต่งตั้ง เมื่ออยู่ต่อหน้าหอป๋ายเฉา ไม่ว่าหมอเทวดาหรือเทพเซียนก็ล้วนเป็นเพียงพวกได้อำนาจมาโดยมิชอบเท่านั้น
“ไม่ว่าจะต้องการสิ่งใดจงอย่าได้เกรงใจ ขอเพียงพวกเจ้ารักษาจวิ้นจู่ให้ดีก็พอ กุ้ยซี นับตั้งแต่วันนี้จนกระทั่งจวิ้นจู่หายเป็นปกติ หากหมอหลวงต้องการยาล้ำค่าราคาแพงชนิดใด จงมอบให้พวกเขาทั้งหมด”
ขันทีน้อยที่อยู่ข้างกายจั่วชิวเฉินตลอดเวลาน้อมรับคำสั่ง
เหล่าหมอหลวงมั่นใจแล้วว่าอันเล่อจวิ้นจู่มิใช่คนธรรมดา เหตุเพราะนางเป็นคนแรกที่ฮ่องเต้แห่งเมืองหลินเทียนให้ความสำคัญนับจากวันขึ้นครองบัลลังก์
หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย หลงเทียนอวี้ไม่ใส่ใจว่าทรงผมของตนเองเรียบร้อยแล้วหรือไม่ เขารีบกลับมาเฝ้าหลินเมิ้งหยา
อาการของนางดีขึ้นมาก สาวใช้ช่วยนางเช็ดตัวเปลี่ยนเป็นชุดใหม่แล้ว หลินเมิ้งหยาในเวลานี้เหมือนคนกำลังนอนหลับลึกเท่านั้น
ท่าทางอ่อนแอเช่นนี้หาได้ฉายแววเก่งกาจฉลาดเฉลียวเหมือนแต่ก่อน
หลงเทียนอวี้นั่งลงข้างเตียงของนาง เพิกเฉยต่อสายตาของพวกสาวใช้
สายตาของเขาจับจ้องเพียงใบหน้านวลซูบตอบของนางเท่านั้น
“ใต้เท้า ถึงเวลาป้อนยาจวิ้นจู่แล้วขอรับ”
ยาน้ำสีดำดั่งขนอีกายื่นเข้ามาตรงหน้าหลงเทียนอวี้
ยื่นมือเข้าไปรับอย่างเคยชิน ก่อนจะป้อนนางทีละคำเช่นเคย
คนทั้งหมดล้วนตกตะลึง เหตุเพราะเพียงได้เห็นยาถ้วยนั้นก็รู้ได้ทันทีว่ามีรสขมจัดเหลือประมาณ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าบุรุษผู้นี้ไม่หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาหลงเทียนอวี้ป้อนยาด้วยความเอาใส่ใจ บางทีอาจเพราะผลจากการป้อนยาของเขา อาการของหลินเมิ้งหยาจึงดีขึ้นมาก
นางดื่มยาลงไปเกินครึ่งถ้วยแล้ว
มองนางที่ค่อยๆ กลืนยาลงไปทีละน้อย หัวใจของหลงเทียนอวี้รู้สึกผ่อนคลายลงมาก
“มีโจ๊กหรือน้ำแกงไก่หรือไม่?”
วางถ้วยยาลง หลงเทียนอวี้รีบป้อนอาหารให้หลินเมิ้งหยา
คราวนี้เขาลองใช้ช้อนวัดความร้อนก่อน จากนั้นจึงป้อนหลินเมิ้งหยาทีละน้อย โชคดีเหลือเกินที่นางอาการดีขึ้นกว่าก่อนมาก
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ เขากลับยังไม่วางใจให้ผู้อื่นเป็นคนทำแทน เขาต้องทำด้วยตนเองจึงจะวางใจ
กว่าหลินเมิ้งหยาจะดื่มยาและกินโจ๊กเสร็จก็เป็นเวลาดึกสงัดแล้ว
หมอหลวงกล่าวว่าอาการของหลินเมิ้งหยาทรงตัวแล้ว ตอนนี้นอกจากบำรุงร่างกายของนาง สิ่งที่ต้องทำคือการทำให้นางฟื้นคืนสติ
เหตุเพราะอาการของนางคงที่แล้ว สติหลงเทียนอวี้เองก็กลับมามั่นคงดั่งเดิม
เมื่อรู้สึกผ่อนคลาย ความหิวกระหายและง่วงงุนจึงถาโถมเข้ามา
ทว่าที่นี่เป็นบ้านของผู้อื่น หลงเทียนอวี้หาใช่คนคุ้นเคยของพวกเขา แต่ถึงกระนั้นสาวใช้ก็มีไหวพริบพอตัว เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของบุรุษรูปงามตรงหน้า นางจึงรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงพินอบพิเทา
“เชิญใต้เท้ารับประทานอาหารก่อนเถิดเจ้าค่ะ ฝ่าบาทเตรียมเอาไว้ให้ท่านนานแล้ว”
จั่วชิวเฉิน? แม้ภาพลักษณ์ของฮ่องเต้แห่งเมืองหลินเทียนในความทรงจำของหลงเทียนอวี้จะไม่เลว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกระแวดระวังชายผู้นี้อยู่เสมอ
“ได้ นำทางเถิด”
ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายหลงเทียนอวี้ก็ตัดสินใจเดินตามสาวใช้ไปยังลานด้านหลังจวนจวิ้นอ๋อง
เพียงเดินผ่านธรณีประตูเข้ามา สายตาพลันเหลือบเห็นจั่วชิวเฉินซึ่งกำลังนั่งดื่มด่ำกับเครื่องเสวยอันแสนโอชะตรงหน้า
“มาแล้วหรือ นั่งเถิด”
เงยหน้าส่งยิ้มอ่อนโยนให้หลงเทียนอวี้ จากนั้นจึงยื่นเหล้าขาวจอกหนึ่งให้กับเขา
“ขอบพระทัย”
หลงเทียนอวี้นั่งลงโดยมิเกรงใจ แต่ถึงกระนั้นกลับไม่ขยับตะเกียบหรือดื่มเหล้าที่เพิ่งรับมา เขาทำเพียงมองจั่วชิวเฉินโดยไม่ส่งเสียง
“เจ้าเป็นคนน่าสนใจยิ่งนัก ข้าเคยได้ยินมาว่าอ๋องอวี้แห่งต้าจิ้นเป็นคนสุขุมเยือกเย็นจนแทบเรียกได้ว่าไร้ความรู้สึก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเอาใจใส่ผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งกับญาติผู้น้องของข้าเช่นนี้”
หลงเทียนอวี้กลับไม่รู้สึกว่าจั่วชิวเฉินกำลังชื่นชมตนเอง กลับกันเขารู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่หลายส่วนที่จั่วชิวเฉินเอ่ยถึงหลินเมิ้งหยาอย่างคนคุ้นเคยเช่นนี้
“นางเป็นชายาของข้าและเป็นราษฎรแห่งต้าจิ้น ข้าทำในสิ่งที่สมควรทำทั้งสิ้น”
เพียงฟังก็รู้ได้ทันทีว่าหลงเทียนอวี้ไม่พอใจ จั่วชิวเฉินไม่สนใจ เขาใช้ตะเกียบคีบผัดเต้าหู้แห้งเข้าปาก
“ทานข้าวก่อนเถิด”
หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปอีกครั้ง หลงเทียนอวี้ไม่รู้ว่าจั่วชิวเฉินมีเป้าหมายอะไรกันแน่ แต่เพราะกระเพาะเริ่มส่งเสียงร้องโครกครากชวนขายหน้า หลงเทียนอวี้จึงทำเพียงก้มหน้ากินอาหารคลายหิว
คนทั้งคู่ยังมิได้กินมื้อเย็น ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจกินอาหารของตนเอง
บรรยากาศภายในเงียบสงัด แม้แต่เสียงกระทบของตะเกียบก็ไม่ได้ยิน ทว่าพวกเขากลับดื่มด่ำกับอาหารตรงหน้าจนอิ่มท้อง
แม้จะหิวโหยมากสักเพียงไหน ทว่าท่วงท่าการกินกลับยังคงสง่างาม เผยให้เห็นการถูกอบรมบ่มนิสัยอย่างดีมาตลอดหลายปี
ขันที่กุ้ยซีที่อยู่รับใช้ข้างกายฮ่องเต้มาตลอดรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
แม้ท่วงท่าจะสง่างาม แต่ความเร็วดั่งลมพายุ เป็นความขัดแย้งที่กลมกลืนกันอย่างน่าประหลาด
——————-
หมายเหตุ
จวิ้นจู่ [1] คือตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงหรือท่านหญิงขั้น 1